– อาคิยามะ เออิชิ –
เกือบตาย…
พอถอนหายใจแล้วหลุดคำนี้ออกมาผมก็โดนโซเฮย์หัวเราะใส่จนท้องคัดท้องแข็ง
เตะเขาไปเบาๆ ทีนึงแต่แรงเตะทำได้แค่ลดเสียงหัวเราะของเขาลง ไม่ได้ทำให้เขาสลดแต่อย่างใด
[‘ช่างเหอะ…’]
เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาหัวเราะหนักขนาดนี้ จะว่าดีใจที่เพื่อนมีความสุขก็ได้แต่มันไม่สุด เพราะตอนนี้จิตใจผมเหนื่อยล้าซะจนอาจจะหยุดเต้นในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้ก็ได้
กว่าจะหลุดรอดออกจากดงระเบิดที่เจ้าอาซาฮิเผลอวางไว้โดยที่ไม่รู้ตัวมาได้ก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง แถมทาเคโนะอุจิเองก็… แค่บังเอิญผ่านมาแสดงละครอย่างที่ตกลงกันไว้ หรือตั้งใจจะทำอะไรหรือเปล่า…
[‘อ่าาา… มีแต่เรื่องน่าปวดหัว’]
“ไม่มีแรงไปทดสอบสมรรถภาพเลยอ่าาา… โซเฮย์เพื่อนรัก นายช่วยจับคู่แล้วอู้ไปกับฉันหน่อยนะ”
“แบบนั้นไม่ดีนะคุณเออิชิ”
“นายก็เห็นนี่ว่าฉันเหนื่อยกับการตอบคำถามเจ้าพวกนั้นขนาดไหนน่ะ แล้วจะให้ฉันเอาแรงที่ไหนไปทดสอบบ้าอะไรนี่อีกล่ะ”
“เอ่ออ… ไม่ใช่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“เรื่องไหน?”
“ที่คบกับคุณทาเคโนะอุจิ?”
[‘หือ?? โซเฮย์ของเรากล้าถึงขั้นถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้กันแล้ว โอ้วว… เป็นปลื้ม’]
“นายคิดว่าไงล่ะ?”
“ผมพูดแล้วจะไม่อัดผมใช่มั้ย?”
“นายเพิ่งจะมากลัวเนี่ยนะ?”
“เมื่อกี้เป็นอีกคนน่ะครับ โฮตานิ โซเฮย์ เพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้”
“นายนี่พอสนิทแล้วกวนดีนะ”
“ขอประทานโทษครับ”
บทสนทนาไร้สาระทว่าผ่อนคลายของเราสองคนดำเนินไปท่ามกลางความร้อนภายในโรงยิมที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะจุคนเกือบๆ สี่ร้อยคนเอาไว้
ไอเย็นจากพัดลมขนาดใหญ่ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนลดลงแต่ก็ยังช่วยให้อากาศไหลเวียน ซึ่งมีก็ถือว่าดีกว่าไม่มี
คำสั่งจากบรรดาคณาจารย์วิชาพละซึ่งเหมือนนัดกันมาบอกว่าให้จับคู่กันกับเพื่อนร่วมห้องได้อย่างอิสระแต่ต้องแยกชายหญิง ส่วนใครที่หาคู่ไม่ได้ให้จับคู่กับเพื่อนห้องอื่นที่หาคู่ไม่ได้เช่นกัน
ความตั้งใจของผมตั้งแต่ต้นคือการจับคู่กับโซเฮย์เพราะทั้งตัวผมและเขาต่างก็เป็นนักเรียนเข้าใหม่ไม่มีเพื่อนร่วมห้องที่สนิทกันทั้งคู่ เราเลยหันมาสนิทกันเอง
ถ้าถามว่าสนิทขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าพออาจารย์ประกาศจบเราก็หันมาสบตากันพร้อมกับยกยิ้มกึ่งเชื้อเชิญกึ่งขอร้องให้แก่กัน
“งั้นก็ฝาก…”
“อาคิยามะ…”
อยู่ดีๆ ก็มีเสียงที่ไม่คาดคิดดังมาจากด้านหลัง ถ้อยคำฝากเนื้อฝากตัวกับโซเฮย์จึงยังไม่ทันได้พูดออกไป กลับกัน… ดูท่าอาจจะได้พูดคำขับไล่ไสส่งกันก่อน
“…ฉันอยากจับคู่กับนาย”
[‘มาไม้ไหนล่ะเนี่ย?’]
จู่ๆ ก็มีหนุ่มหล่อโปรไฟล์สูงมาขอจับคู่ทดสอบสมรรถภาพด้วย บอกเลยว่าถ้าเป็นผู้หญิงผมคงใจเต้นตึกตักจนเผลอเป็นลมล้มในอ้อมแขนของเจ้าชายตรงหน้านี้ไปแล้ว
แต่โทษที บังเอิญผมเป็นผู้ชาย…
ผมไม่สนใจนิโนะมิยะที่ยืนรอเหมือนจะให้ผมจับคู่กับเขาให้ได้ ตั้งใจว่าจะหันไปหาโซเฮย์อีกรอบ แต่ไอ้คนตรงหน้านี่ก็ไม่ยอมเลิกไม่ยอมลาสักที
“จะหนีอีกแล้วเหรอ?”
รู้สึกเหมือนต่อมรำคาญจะทำงานหนักขึ้นนิดหน่อย ผมมองเด็กนักเรียนชายตรงหน้า เมื่อก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรกเขาสูงกว่าผมนะ แต่ตอนนี้ผมมองเขาได้ด้วยสายตาในระดับเท่าเทียมกัน
“ฉันไม่เคยหนี แต่ก็ไม่มีธุระอะไรกับนาย”
“แต่ฉันมี เยอะด้วย…”
“นั่นมันเรื่องของนาย”
“นายจะไม่คุยจริงๆ เหรอ?”
“อยากคุยนายก็คุยไปคนเดียวเถอะ”
ผมตอบคำถามนิโนะมิยะแต่สายตาเริ่มมองหาโซเฮย์ที่โดนเด็กผู้ชายท่าทางเฟรนลี่คนหนึ่งพาตัวไป
[‘เพื่อนหมอนี่? ทำกันเป็นขบวนการ?’]
“โอโตเมะรู้มั้ยเรื่องที่นายทิ้งคุณทาเคโนะอุจิไป?”
สำเร็จ… ไอ้บ้าหน้าหล่อนี่ดึงความสนใจผมได้สำเร็จจริงๆ
“ฉันไม่ได้ทิ้ง แต่เป็นฝ่ายถูกทิ้งต่างหาก”
“นายกล้าพูดทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งให้เธอร้องไห้อยู่คนเดียวน่ะนะ?”
“ฉันถูกบอกเลิกนะ บอกเลิกต่อหน้าต่อตาคนใหม่คนยัยนั่นเลยด้วยซ้ำ”
“คนใหม่อะไร? นายพูดเรื่องอะไร? คุณทาเคโนะอุจิมีแค่นาย…”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกนายอยู่ด้วยกันมาตลอด มีเหรอเรื่องแค่นี้หมอนั่นจะไม่บอกนาย”
“นายหมายถึงใคร?”
“เพื่อนนายไง…”
“ฉันไม่เข้าใจ…”
นิโนะมิยะแสดงท่าทางว่าไม่เข้าใจที่ผมพูด ผมเองก็ชักไม่เข้าใจที่เขาพูดเหมือนกัน
[‘บทบาทมันสลับกันหรือเปล่า?’]
เผลอคิดไร้สาระแค่ครู่เดียว เสียงประกาศจากอาจารย์สักคนเป็นสัญญาณให้แต่ละคู่เตรียมรับการทดสอบได้ดังขึ้น
ผมหันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่าโซเฮย์จับคู่ลงทะเบียนกับเพื่อนของนิโนะมิยะไปเสียแล้ว อันที่จริงตรงบริเวณนั้นเหมือนจะมีแค่ผมกับเขาเท่านั้นที่ยังไม่ได้จับคู่
‘ใครที่หาคนคู่ด้วยไม่ได้ ให้ไปจับคู่กับคนห้องอื่น’
[‘ให้ตายเถอะ’]
แค่ครู่เดียว ครู่เดียวแท้ๆ ที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วหันกลับมาโต้ตอบนิโนะมิยะ ทำให้โอกาสในการเลือกจับคู่ของผมหมดไป
ที่จริงผมควรได้รับสิทธิ์ให้ไปจับคู่กับห้องอื่น แต่นั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อไม่เหลือใครในห้องตัวเองแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันดันเหลือหนึ่งคนถ้วนแบบพอดิบพอดี
ผมจับคู่กับนิโนะมิยะแบบเลี่ยงไม่ได้ และหมอนี่ก็พยายามพูดคุยกับผมตลอด ถามอยู่นั่นแหละจนชักจะรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นมาแข่งกัน ถ้านายแพ้ต้องตอบทุกอย่างที่ฉันถาม…”
[‘นี่คิดว่ายังอยู่ ม.ต้น หรือไง?’]
ผมคิดว่านิโนะมิยะอาจจะได้รับกระทบกระเทือนทางสมองจนความจำเสื่อมหรืออะไรสักอย่าง เขาถึงได้กล้ามาท้าคนที่เคยเป็นเพื่อนอย่างผมแข่งทดสอบสมรรถภาพเหมือนเมื่อสมัยก่อน
“ถ้าฉันแพ้ ฉันจะไม่มายุ่งวุ่นวายอะไรกับนายอีก”
[‘ข้อเสนอน่าสนใจ แต่น้อยไปหน่อย’]
“ถ้าฉันชนะ นายห้ามมายุ่งกับฉันและคนใกล้ตัวฉันอีก โดยเฉพาะโอโตเมะ”
นิโนะมิยะจ้องตากับผมอยู่สองสามอึดใจเหมือนกำลังชั่งใจในผลได้ผลเสีย ผมคิดว่าถ้าตัวเองอยู่ในตำแหน่งของเขาก็คงต้องคิดอยู่พอสมควร
ก็นิโนะมิยะน่ะไม่เคยชนะผมในการแข่งทดสอบสมรรถภาพเลยยังไงล่ะ หึๆๆ
“ตกลง… แข่งกัน 8 รายการ คนที่ทำได้ดีมากกว่าเป็นผู้ชนะ”
“ถ้าเสมอล่ะ?”
“ค่อยหาวิธีตัดสิน”
“ก็ดี”
“ข้อตกลงบรรลุผล”
“ข้อตกลงบรรลุผล”
ราวกับได้ย้อนกลับไปสมัย ม.ต้น ปี 2 ที่เราแข่งขันทดสอบสมรรถภาพครั้งแรก ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างกระหายในชัยชนะไม่ต่างจากครั้งนี้
หากจะมีอะไรที่ต่าง… มันก็คงเป็นตัวตนของพวกเราที่ต่างไปจากตอนนั้นกันทั้งคู่
—
การแข่งขันกับนิโนะมิยะนั้นไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เจ้าหมอนี่เป็นอัจฉริยะที่หยิบจับอะไรก็ทำได้ดีตั้งแต่ครั้งแรก เป็นอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริงยิ่งกว่ารุ่นพี่นาคาจิมะ ดังนั้นถ้าผมอยากชนะ งานนี้ต้องทุ่มสุดตัว
แต่ทุ่มสุดตัวยังไงมันก็ยังไม่ง่าย การทดสอบในร่ม 4 รายการ อันเป็นของถนัดของผมแต่ผมกลับเก็บชัยชนะมาได้แค่สามรายการคือ แรงบีบมือ ดึงข้อ และงอตัวไปข้างหน้า ส่วนลุกนั่ง 30 วินาทีนั้นแพ้ไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
[‘เสียเปรียบซะแล้วซิ’]
4 รายการหลังเป็นรายการกลางแจ้งและเป็นรายการถนัดของนิโนะมิยะ
แล้วก็ไม่ผิดคาด นิโนะมิยะเอาชนะผมไปได้จริงๆ ในรายการวิ่ง 50 เมตร วิ่งเก็บของ และวิ่งทางไกล แต่ก็พลาดท่าให้ผมในรายการยืนกระโดดไกล เท่ากับว่าตอนนี้เราต่างชนะ 4 แพ้ 4 ผลออกมาอย่างนี้ก็ทำได้แค่ว่าต้องหาอะไรมาตัดสินกัน
ขณะที่กำลังยืนหอบหายใจกันอยู่เพราะเพิ่งจะวิ่งทางไกลเสร็จ ต่างคนต่างก็มองหน้ากัน ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรจู่ๆ ก็มีมือปริศนามาสะกิดผมจากด้านหลัง
คิดว่าเป็นโซเฮย์เลยกะว่าจะหันไปบ่นที่ทิ้งกันสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงตรงหน้ากลับเป็นระเบิดลูกหนึ่ง อ๊ะ… เพื่อนร่วมห้องที่ไปกินข้าวด้วยกันเมื่อเที่ยงคนหนึ่ง
เขาถามผมว่าสนใจจะเข้าชมรมฟุตบอลมั้ย? ทำเอาผมที่เพิ่งจะปรับลมหายใจได้ถึงกับงงว่าทำไมมาชวนกัน
“ไม่ยักกะรู้ว่านายสุดยอดขนาดนี้ โดนรูปลักษณ์เด็กหนุ่มมืดมนนั่นหลอกเอาเสียได้ ขอโทษจริงๆ นะ ว่าแต่สนใจมาอยู่ชมรมฟุตบอลด้วยกันมั้ย?”
[‘ถามย้ำด้วยแฮะ ไม่ตอบคงน่าเกลียดล่ะนะ’]
“โทษทีนะ แต่ฉันเล่นฟุตบอลไม่เป็น ขอบคุณที่ชวนนะ”
“นายจะไม่ลองไปดูก่อนเหรอ?”
“ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ขอโทษจริงๆ”
“น่านะ ลอง…”
“หลบๆๆ นายโดยหมอนี่ปฏิเสธแล้ว ต่อไปตาฉัน”
“ไม่ๆ ฉันก่อน นี่ๆๆ ฉันฟุยุกินะ อยู่ห้อง 5 นายสนใจมาอยู่ชมรมเบสบอลกับเรา…”
“…ชมรมกรีฑาดีกว่า นิโนะมิยะนายเองก็ช่วยชวนหน่อยซิ”
“มาชมรมแบตดีกว่านะ…”
“…หุ่นอย่างนายมาชมรมบาสเถอะ รับรองรุ่ง”
[‘อะไร? เกิดอะไรขึ้น? นี่มันอะไรวะเนี่ย?’]
อยู่ๆ ก็ถูกรุมล้อมจากตัวแทนชมรมกีฬาสารพัดของโรงเรียน แถมแต่ละคนยังมาขอให้เข้าชมรมของตัวเอง เสียงพูดของคนโน้นตีกับเสียงพูดของคนนี้ ทำเอาผมที่ยังไม่หายเหนื่อยดีมึนงงไปหมด
กว่าจะหลุดรอดออกมาจากตรงนั้นก็ต้องรับปากทุกชมรมไปว่าจะแวะไปเยี่ยมเยียนแต่ละชมรมแล้วจะตัดสินใจอีกที ส่วนนิโนะมิยะนั้นหายไปตอนไหนไม่รู้ สุดท้ายก็เลยยังไม่ได้ตกลงตัดสินแพ้ชนะกัน
—
– โอโตเมะ อามายะ –
ทีแรกคุยกันว่าพักเที่ยงให้เอาเสื้อมาคืนแต่พอถึงเวลาเจ้าตัวคนที่บอกดันหายหน้าไม่กลับเข้ามาห้องเรียนเหมือนทุกทีซะงั้น
[‘แบบนี้ก็ดีจะได้เอาไปซักก่อนด้วย’]
ฉันกินข้าวอิ่มแล้วนั่งเล่นรอเขาอยู่จนถึงเวลาทดสอบสมรรถภาพแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เลยทำได้แค่เอาเสื้อเขาใส่กระเป๋าไว้แล้วตามเพื่อนๆ ออกไปที่โรงยิม
ที่นั่นฉันเห็นอาคิยามะยืนอยู่ไกลๆ ความสูงของเขาทำให้ตัวเขาค่อนข้างเด่นแม้จะยืนอยู่ในกลุ่มคนแบบนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีนิโนะมิยะอีกคนที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เด่น พอทั้งคู่มายืนอยู่ด้วยกันแล้วก็เลยยิ่งเด่นเห็นชัดแต่ไกล
[‘เอ๊ะ? แล้วทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ?’]
เป็นความสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้เพราะเซริลากแขนให้ไปลงทะเบียนคู่กันเสียก่อน
การทดสอบสมรรถภาพปีนี้ก็ไม่ต่างจากปีก่อนเท่าไรนัก ทดสอบกันทั้งหมด 8 รายการ แบ่งชายหญิง โดยแต่ละฝ่ายจะมีเกณฑ์ของใครของมัน และในแต่ละปีก็จะให้ผู้ชายเริ่มก่อน จากนั้นก็จะเป็นฝ่ายหญิง
ฉันกับเพื่อนๆ ที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วพากันออกมานั่งรอบนอัฒจันทร์พลางพูดคุยถึงการทดสอบของพวกผู้ชายด้านล่าง
MANGA DISCUSSION