– อาคิยามะ เออิชิ –
กว่าการตรวจสุขภาพจะเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงพักเที่ยง
ปีนี้ผมสูงขึ้นมา 2 เซนติเมตร และน้ำหนักขึ้นมา 2 กิโลกรัม กำลังสงสัยว่า 2 เซนติเมตรในร่างกายนี่หนักตั้ง 2 กิโลกรัมเลยเหรอ ผมกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อช่วงเช้าพากันมาถึงโรงอาหารอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
แม้จะพูดมากไปบ้าง แต่ก็ถือว่าคุยสนุก ด้านโซเฮย์เองก็เริ่มจะคุ้นชินและโต้ตอบได้บ้างแล้วแม้ว่าเสียงจะเบาไปสักหน่อย ผมล่ะอยากจะให้เขามั่นใจในตัวเองแบบตอนที่เขาทำงานพิเศษบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นบางที่เราอาจจะเป็นคู่หูที่คุยได้ทุกเรื่องมากกว่านี้
กำลังคิดหาวิธีฝึกโซเฮย์พร้อมกับฟังทุกคนคุยกันว่าจะกินอะไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกที่ไม่คุ้นหูเท่าไร แต่คำเรียกกลับคุ้นมากจนต้องหันไปมองโดยอัตโนมัติ
“ฮ่าาา… รุ่นพี่กัปตันจริงๆ ด้วย ผมเองครับ อาซาฮิ… โคโมเฮบิ อาซาฮิ รุ่นพี่จำผมได้มั้ยครับ?”
ตรงหน้าเป็นนักเรียนชายที่ตัวสูงพอๆ กับผม ดูจากเนกไทและเข็มกลัดแล้วเป็นเด็กปี 1 แถมเป็นเด็กปีหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดีซะด้วย
การเจอคนรู้จักจากตอน ม.ต้น ในโรงเรียนนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป แต่การเจอคนที่สนิทกันชนิดที่เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องได้นั้นนับว่ามีน้อย ดังนั้นการเจอกับเขาจึงสร้างความประหลาดใจและดีใจให้ผมอย่างมาก
โคโมเฮบิ อาซาฮิ
เด็กชายร่างสูงที่เมื่อตอนเข้ามา ม.ต้น ปี 1 เขาสูงกว่าผมอีก เป็นเด็กดื้อที่ต่อต้านพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ด้วยการทำตัวเกเร แต่เพราะพ่อแม่เป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคมบวกกับหมอนี่เองก็จัดว่าเป็นพวกหัวดีเลยใช้เส้นสายเข้ามาเรียนที่มัธยมต้นซุนโคได้
จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกคือตอนที่หมอนี่ไปสารภาพรักกับทาเคโนะอุจิที่บังเอิญตามหาเรื่องผมที่แอบนอนกลางวันอยู่หลังตึกเรียน เหตุการณ์ตอนนั้นจึงกลายเป็นว่าผมได้เป็นประจักษ์พยานยืนยันการสารภาพรักครั้งนั้น
โชคร้ายของเขาที่ถูกทาเคโนะอุจิปฏิเสธทันที แต่เป็นโชคร้ายกว่าของผมที่โดนยัยนั่นลากออกมาเป็นเหตุผลที่ใช้ในการปฏิเสธ โดยบอกว่ากำลังคบกับผมอยู่แบบลับๆ
หลังจากนั้นคือการท้าทายและแข่งขันจากรุ่นน้องสุดห้าวที่ผมโดนลากเข้าไปพัวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนสุดท้ายก็กลับกลายจากคู่แข่งเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เคารพรัก
“โอ้วว… จำได้ๆ ฮ่าๆๆ นายเอาจนได้ซินะ ตอนนั้นเห็นดื้อเอาแต่ซ้อมชมรม สอบเข้ามาได้ตามที่พูดจริงๆ ด้วย”
“แหะๆๆ ยังห่างไกลจากรุ่นพี่อีกเยอะครับ ต้องขอบคุณรุ่นพี่เลยที่ตอนนั้นแนะนำผมตั้งหลายเรื่อง ถ้าไม่มีรุ่นพี่ผมคงไม่ได้มาไกลขนาดนี้”
“พูดอะไรอย่างนั้น นายน่ะเก่งด้วยตัวเองนะ อย่าดูถูกตัวเองนักซิ”
“แต่ความดีความชอบส่วนใหญ่ก็ต้องยกให้รุ่นพี่นั่นแหละครับ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่กับรุ่นพี่ผู้จัดการ ผมคงกลายเป็นคนไม่เอาอ่าวไปแล้ว อ๊ะ! สวัสดีครับรุ่นพี่ผู้จัดการ”
[‘หือ..??’]
ผมรู้ว่ารุ่นพี่ผู้จัดการนั้นคือใคร แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันทีที่อาซาฮิทักเธอ ผู้ที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้
“สวัสดีโคโมเฮบิคุง ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย ดีใจด้วยนะที่สอบเข้ามาได้ แต่ไม่เห็นมาบอกกันเลย เสียใจนะเนี่ย”
“ขอโทษด้วยครับรุ่นพี่ พอดีเพิ่งจะปรับตัวได้ แถมถ้าอยู่ๆ ไปหารุ่นพี่ผมอาจจะโดนแฟนคลับรุ่นพี่รุมประชาทัณฑ์เอาได้”
“มันจะเป็นงั้นได้ไงล่ะ ฟุๆๆ”
ผมมองสาวงามผู้มาใหม่สนทนากับรุ่นน้องชายที่เพิ่งเจอกันของตัวเอง ภาพความทรงจำเก่าๆ ค่อยๆ ไหลย้อนกลับมา ช่วงเวลาที่น่าจดจำนั้น…
“…ว่าจะมาชวนเอชไปกินข้าวน่ะ ไปด้วยกันมั้ย?”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เห็นแบบนี้แล้วผมก็โล่งใจ ตอนที่ได้ยินว่าพวกรุ่นพี่เลิกกันแล้วผมนี่ช็อกเลย ทั้งที่ตอนงานพิธีจบการศึกษาตั้งใจวางแผนกับทุกคนในชมรมว่าจะไปเซอร์ไพรส์พวกรุ่นพี่ แต่พอไปตามที่คุณอาซาวะบอกกลับไม่เจอใคร แถมข่าวลือก็ยิ่งแพร่กระจายออกไป แต่ตอนนี้มาเห็นกับตาแล้วก็สบายใจแล้วครับ อ๊ะ! ขอโทษครับ พอดีใจแล้วก็พูดไม่หยุดเลย งั้นผมขอตัวนะครับ ไม่รบกวนรุ่นพี่แล้ว ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
อาซาฮิหายลับไปท่ามกลางเหล่านักเรียนที่เดินกันขวักไขว่ในโรงอาหาร ทาเคโนะอุจิที่ทักทายกันและพูดคุยกับโซเฮย์นิดหน่อยก็เดินไปหาเพื่อนที่อยู่ตรงไหนสักที่เช่นกัน
เหลือทิ้งไว้เพียงผมกับเหล่าเพื่อนพ้องร่วมห้องที่ตอนนี้มีสภาพเป็นเหมือนลูกระเบิดที่ทำท่าจะระเบิดได้ตลอดเวลาแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไปก็ตาม
—
– โอโตเมะ อามายะ –
[‘หอมจัง~ ปกติกลิ่นเขาเป็นแบบนี้ตลอดหรือเปล่านะ?’]
ความสงสัยเกิดขึ้นในขณะที่ฉันกับเพื่อนเดินออกจากห้องเรียนเพื่อไปตรวจสุขภาพกัน
เนื่องจากเป็นการตรวจที่แยกชายหญิง ดังนั้นพวกเราสี่คนถึงได้เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ในขณะที่อาคิยามะกับโฮตานิต้องไปรายงานตัวกับฝั่งผู้ชาย
แต่จิตใจฉันไม่ได้อยู่ที่การตรวจสุขภาพสักเท่าไรหรอกนะคะ ก็แบบว่า เสื้อวอร์มของอาคิยามะน่ะ ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเยอะเลย
คือฉันรู้ว่าเขาตัวใหญ่ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ใส่ย่อมต้องใหญ่ตามไปด้วย แต่พอได้ลองมาสวมดูแบบนี้แล้วถึงได้รู้ว่ามันใหญ่กว่าที่ฉันจินตนาการไว้เสียอีก แถมยังหอมมากด้วย ไม่รู้ใช้น้ำยาซักผ้าอะไรกลิ่นถึงได้หอมขนาดนี้
“นี่… ถ้าดมมากกว่านี้เขาจะหาว่าเป็นโรคจิตเอานะ คิกๆๆ”
เซริที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมาแซวฉันที่เผลอยกแขนเสื้อขึ้นมาดมอีกแล้ว
[‘งื้อออ… ก็มันหอมอ่ะ ถ้าโดนอาคิยามะกอดจะหอมแบบนี้มั้ยนะ? อื้อออ ><’]
มองค้อนใส่เพื่อนๆ ที่หัวเราะคิกคักกัน ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรแค่รู้สึกอายเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อมาคิดว่าแผนที่เพื่อนๆ ช่วยกันวางไว้ประสบความสำเร็จได้สวยงามแบบนี้
คิดย้อนกลับไปแล้วมันช่างเป็นแผนที่ดูเด็กน้อยและไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าสำเร็จ แต่เซริบอกว่าแผนนี้ไม่ใช่เพื่อให้อาคิยามะมาสนใจ แต่เป็นแผนเพื่อดูว่าฉันมีความสำคัญหรือน้ำหนักในใจของเขาเท่าไร จะเรียกว่าเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อวางแผนรุกครั้งต่อไปก็ว่าได้
แผนง่ายๆ คือลองยืมของส่วนตัวของเขา ถ้าเขาให้ก็พอมีหวังว่าเรายังมีน้ำหนักในใจเขา แต่ถ้าเขาไม่ให้ก็แสดงว่าเทียบกับสิ่งของแล้ว ฉันไม่มีน้ำหนักอะไรให้เอ่ยถึง
ตอนแรกฉันคิดว่าแผนนี้ไม่น่าจะเวิร์ค แล้วก็ไม่คาดหวังด้วยว่าอาคิยามะจะเอาเสื้อมาให้ยืมตามที่ขอ เนื่องจากเป็นการขออย่างกะทันหัน แถมเหตุผลที่ยกมาอ้างก็ข้างๆ คูๆ ดูไม่น่าเชื่อถืออีก
แต่เขาก็เอามาให้ ทำเอาฉันทั้งแปลกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นแหละที่ฉันรู้ว่าตัวเองคาดหวังให้เขาใส่ใจกันมากขนาดไหน
“ที่เตะขาแล้วบอกว่าลามกไปนั่น หมอนั่นจะคิดจริงจังหรือเปล่านะ”
“หือ? ว่าไงนะ”
เซริหันกลับมาถาม ฉันจึงรู้ตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา เลยรีบบอกปัดเพื่อนรักไปว่าไม่มีอะไร แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะทั้งสามหันมายิ้มแบบคนรู้ทัน
ฉันที่ทำอะไรไม่ได้เลยเอาหน้าซุกไปบนมือที่ถูกแขนเสื้อคลุมปิดจนมืด
[‘งื้อออ… ตาบ้า…. หอมจัง…’]
—
ภาพของเหล่าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้สนใจอะไรกับการตรวจวันนี้มากไปกว่าความสบายที่ได้งดการเรียนกับเหล่าเด็กสาวที่กังวลแล้วกังวลอีกว่าน้ำหนักจะขึ้นหรือเปล่าจนเมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวมา
เป็นบรรยากาศที่เห็นได้ทุกครั้งตั้งแต่ที่ฉันเริ่มตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงเรียนมาตั้งแต่สมัยประถมปลาย
รูปแบบการตรวจก็จะคล้ายๆ กันไปในแต่ละปี อาจจะมีแตกต่างกันบ้างตามแต่ละช่วงวัย แต่โดยรวมแล้วไม่ได้น่าตื่นตกใจเป็นพิเศษ
อย่างปีนี้ก็ไม่ต่างจากปีที่แล้วที่เริ่มจากการที่อาจารย์ที่ปรึกษาเอาเอกสารการตรวจสุขภาพมาแจกให้พร้อมกับหลอดเก็บปัสสาวะซึ่งต้องเก็บมาเองจากที่บ้าน พร้อมกันนั้นก็ย้ำเตือนเหล่าวัยรุ่นผู้มีพลังงานเหลือล้นให้พักผ่อนร่างกายให้เต็มที่เพื่อให้ผลการตรวจในวันรุ่งขึ้นมีความถูกต้องแม่นยำที่สุด
ส่วนในวันตรวจจริงก็จะมีการตรวจวัดสายตา ความดัน วัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก โน่นนี่นั่นไม่ต่างจากการตรวจทั่วไปที่เรามักจะทำตอนก่อนพบหมอที่โรงพยาบาล
ถัดไปก็จะเป็นการตรวจทั่วไปที่จะเป็นการนั่งประจันหน้ากับหมอที่มาตรวจ ตรงนี้แหละที่น่ากังวล เพราะต้องมีการตรวจคลื่นและฟังเสียงหัวใจซึ่งมันจำเป็นต้องเปิดเสื้อแบบเปลือยเปล่าไม่มีอะไรมาปิดกันตรงหน้าหมอ แล้วก็ยังต้องมีการคลำเต้านมเพื่อตรวจหาความผิดปกติอีก
หลังจากนั้นก็ต้องไปเอกซเรย์ปอด ซึ่งก็เป็นการตรวจที่ห้ามใส่อะไรไว้ข้างในเสื้ออีกเช่นกัน ทำให้ส่วนใหญ่แล้วนักเรียนหญิงมักจะเลือกใส่แค่เสื้อพละโดยไม่ใช่เสื้อชั้นในและสวมเสื้อวอร์มคลุมทับอีกชั้น แม้จะมีสายตาจากบรรดาเด็กนักเรียนชายมองมาบ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลมากนัก
ส่วนที่ต้องกังวลจริงๆ คือคุณหมอที่จะมาทำการตรวจให้มากกว่า เพราะมีรุ่นพี่บางคนบอกว่าตนเคยตรวจกับหมอผู้ชายที่ถึงเราจะรู้ว่าเขาทำไปตามหน้าที่แต่มันก็อดคิดไม่ดีไม่ได้
ตัวฉันไม่เคยเจออะไรแบบนั้น เพื่อนๆ เองก็ไม่เคยเจอ แล้วก็ไม่คิดอยากจะเจอแบบนั้นกันด้วย
พวกเราเดินคุยกันถึงเรื่องนี้เบาๆ ไปจนถึงจุดรายงานตัวแล้วจึงแยกย้ายกันไปเพราะเลขที่ไม่ได้ติดกัน ใช้เวลาไม่นานนักการตรวจก็เริ่มขึ้น
เนื่องจากมีนักเรียนจำนวนมาก การตรวจจึงใช้เวลานานพอสมควร โดยจะไปเสียเวลารอกันนานตรงการตรวจทั่วไป ฉันยืนรอเอกซเรย์พร้อมกับเทียบผลการตรวจร่างกายก่อนหน้านี้กับเพื่อนๆ ไปพลางๆ
เมกุมิกับอาโอะจังไม่สูงขึ้นเลย แต่น้ำหนักกลับขึ้นมากันคนละกิโลสองกิโล ฉันกับเซริสูงขึ้นมาคนละ 1 เซนติเมตร เซริน้ำหนักลดไป 3 กิโลกรัม พร้อมกับโดนหมอที่มีอายุหน่อยดุเรื่องที่ไม่ยอมพักผ่อนให้เพียงพอก่อนมาตรวจ ส่วนฉันขึ้นมา 2 กิโลกรัม แต่เพราะเมกุมิกับอาโอะจังก็น้ำหนักขึ้น ฉันจึงยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะต้องคุมน้ำหนักแต่อย่างใด
กว่าการตรวจทุกอย่างจะเสร็จสิ้นลงได้เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเวลาพักกลางวัน ช่วงเวลาที่นักเรียนปี 2 กว่าร้อยละ 80 มุ่งหน้าไปโรงอาหารเพราะไม่ได้เอาข้าวกล่องมา
มองไปทางโรงอาหารแล้วรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เลือกจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 20
เราคุยกันว่าจะกลับไปจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วนั่งกินข้าวกล่องชิลๆ กันในห้องเรียน
“วันนี้น่าจะเงียบกว่าทุกทีนะคะ”
อาโอะจังเอ่ยคาดการณ์สภาพห้องเรียนตอนเที่ยงนี้ ฉันเองก็เห็นด้วยกับเธอเพราะคนส่วนใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ข้างนอก
“แบบนี้ก็ดี อาโอะจังชอบแบบเงียบๆ มากกว่าไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่แหละค่ะ… อ๊ะ!! ขอโทษค่ะ!!”
[‘คนที่ต้องขอโทษมันทางนั้นหรือเปล่า?’]
ฉันยืนมองกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงชั้นปีเดียวกันที่เดินสวนมา พวกเธอทุกคนสวมเสื้อวอร์มตัวใหญ่ไม่มีคนไหนที่แขนโผล่พ้นแขนเสื้อออกมาสักคน
ทั้งห้าหกคนนั้นเดินเรียงหน้ากระดานกันเต็มระเบียงทางเดินแบบไม่แบ่งทางให้ใคร ขนาดอาโอะจังหลบแล้วก็ยังไม่พ้น
ทั้งกลุ่มหยุดและหันมามองทางกลุ่มของฉัน พวกฉันเองก็มองกลับไป เท่าที่เห็นดูแล้วเป็นเด็กนักเรียนห้องอื่น มีคนนึงอยู่ห้องเดียวกับพวกฉันแต่ฉันจำชื่อไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากัน
ยืนอยู่แบบนั้นราวๆ3 วินาที ทางฝ่ายนั้นจึงได้เริ่มพูดออกมาก่อน ทว่าคำพูดนั้นดูไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เลย ไม่แม้จะเกี่ยวกับอาโอะจังที่เดินชนกัน หากแต่พุ่งเป้ามาที่ฉันเต็มที่
“ขอเสื้อแฟนมาใส่เหมือนกันเหรอคะคุณโอโตเมะ แหมมม… ตัวนี้ของคนไหนเหรอคะ? คิกๆๆ”
[‘พวกนี้ประสาทดีหรือเปล่า?’]
ฟังจากคำพูดแล้วเข้าใจได้ไม่ยากว่าจงใจแขวะกัน แต่ที่ไม่เข้าใจคือจะมาแขวะกันทำไม
“โทษทีนะ ไม่ใช่เสื้อแฟนหรอก”
ตอบแบบพอเป็นพิธีแต่ก็ไม่คิดจะรักษามารยาทอะไรกับคนที่ไม่คิดจะมีมารยาทด้วยก่อน
พูดจบฉันก็ออกเดินมาเลย อาโอะจังเองก็เดินตามมา แต่เซริกับเมกุมิเหมือนจะยังคาใจ ทั้งสองเอ่ยคำพูดแว่วๆ พอจับใจความได้ประมาณว่า
“โทษทีนะ พอดีเพื่อนฉันไม่ใช่พวกขี้อวดเหมือนบางคนแถวนี้น่ะ…”
MANGA DISCUSSION