– โอโตเมะ อามายะ –
“ขอปฏิเสธ”
โดยไม่ฟังรายละเอียด อาคิยามะปฏิเสธกลับมาแบบไม่มีถนอมน้ำใจกันสักนิด
“เดี๋ยวซิ ฟังรายละเอียดก่อน”
“ฟังแล้วคำตอบก็ยังเหมือนเดิม ฉันไม่เข้าไปทำงานในสภานักเรียนกับเธอหรอก”
เขามองหน้าฉันแล้วก็หันไปมองทางยูบิจังในขณะที่ปฏิเสธเราอีกครั้ง
[‘แบบนี้ลำบากแล้ว’]
“ทำไมล่ะ? นายติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก แค่ไม่อยากทำน่ะ”
[‘ตาบ้านี่…’]
“ช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ช่วยเธอหรือช่วยคุณทาเคโนะอุจิ?”
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมอาคิยามะถึงพูดแบบนั้น จะช่วยฉันหรือช่วยยูบิจังมันก็ช่วยเราทั้งคู่
[‘หรือช่วยฉันไม่ได้ แต่ช่วยยูบิจังได้งั้นเหรอ?’]
ความคิดด้านลบเริ่มก่อตัวและฉันรีบสลัดมันออกไปทันทีที่รู้ตัว จังหวะเดียวกันนั้นเองที่ยูบิจังเริ่มพูดบ้าง
“พวกเราทั้งคู่อยากขอความร่วมมือจากเธอน่ะ ไม่ต้องเข้าร่วมสภานักเรียนก็ได้ เพราะอันที่จริงฉันก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเราจะชนะการเลือกตั้ง แต่ถ้าเธอช่วย ฉันคิดว่าเราจะชนะ”
อาคิยามะขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังยอมฟังที่ยูบิจังพูด เห็นแบบนั้นแล้วฉันทั้งโล่งใจแล้วก็อึดอัดใจไปพร้อมๆ กัน
[‘ทำไมทีฉันถึงพูดปฏิเสธออกมาได้ทันทีเลยล่ะ?’]
ก็คิดน้อยใจอาคิยามะแหละ แต่เพราะนี่มันเรื่องงาน ฉันจึงอยู่เงียบๆ ปล่อยให้ยูบิจังไล่เรียงแผนการต่างๆ ที่เราสองคนช่วยกันคิดขึ้นมา
หลักใหญ่ใจความคือเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคิยามะโดนพักการเรียนอยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกันมันก็สร้างทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียให้กับเขาในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่าชื่อเสียย่อมเยอะกว่า แถมเมื่อมีตัวฉันเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นผ่านทางอาคิยามะโดยตรงด้วย ข่าวลือต่างๆ นานาเลยออกจะเลอะเทอะมั่วซั่วไปบ้าง
ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ข่าวลือเสียๆ หายๆ นั้นมันส่งผลกระทบโดยตรงกับฉันและยูบิจังที่ลงสมัครเลือกตั้งประธานนักเรียน คู่แข่งเราตอนนี้จะต้องเอาข้อเสียเปรียบตรงจุดนี้มาโจมตีเราแน่นอน
ดังนั้นแทนที่จะรอให้เขาใช้ข่าวลือและชื่อเสียมาเป็นจุดแข็งของตัวเองและทำลายเรา สู้เราเป็นฝ่ายสร้างข่าวลือและชื่อเสียงขึ้นมาเองดีกว่า แบบนั้นมันจะสามารถควบคุมทิศทางของข่าวลือให้เป็นประโยชน์กับเราได้มากกว่า
ตอนที่ฉันเสนอว่าจะใช้วิธีให้อาคิยามะคุงมาเข้าร่วมกับเรานั้นยูบิจังตกลงเห็นด้วยทันที เธอเองก็มองว่าเรื่องคราวนี้ถ้าวิเคราะห์เจาะจงลงไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงแล้วยังคงสามารถสร้างภาพพจน์ที่ดีให้อาคิยามะได้ และเมื่อสร้างภาพจำแบบนั้นได้แล้ว ปัญหาที่ฉันเข้าไปพัวพันกับเขาก็จะหายไปด้วย อีกทั้งยังสามารถสร้างภาพเพิ่มเติมได้อีกเท่าที่เราต้องการ
อย่างเช่นการสร้างให้อาคิยามะเป็นคนที่รักความถูกต้องยุติธรรม รักเพื่อนฝูง ยอมไม่ได้เมื่อเห็นคนถูกรังแก หรือแม้แต่การเป็นคนที่ไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องมามีอิทธิพลเหนือตัวเอง
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างภาพได้ว่าเขาเป็นคนที่มีความกล้าในการแสดงออก กล้าปฏิเสธสิ่งไม่ดี กล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง กล้ายืนหยัดต่อสู้แม้จะตัวคนเดียว
“แล้วเรื่องที่ฉันไปชกต่อยจนโดนลงโทษนี่ล่ะ พวกเธอจะแก้ปัญหานี้ยังไง?”
[‘นั่นน่ะเหรอ… ก็…’]
“เรื่องนั้นขอแค่เราทำให้คนเปลี่ยนความคิดได้ การชกต่อยของเธอก็จะกลายเป็นแค่การป้องกันตัวโดยชอบธรรม อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง แต่หากมองผ่านๆ ก็จะคิดว่านายเก่งเกินไปก็ได้”
[‘แบบนั้นแหละๆ’]
“เปลี่ยนความคิดคนไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเธอมีเวลาขนาดไหนกัน?”
“วันศุกร์นี้เราจะพูดแสดงวิสัยทัศน์แล้วเราจะเสนอเรื่องนี้บนเวที”
“แบบนั้นไม่ทันหรอก เวลาน้อยเกินไปเปลี่ยนความคิดคนไม่ทัน คนจะคล้อยตามยาก”
[‘งั้นเหรอ แต่ฉันกับยูบิจังคิดว่ามันดีกับนายนะ’]
“แต่เราไม่มีทางเลือกมากนัก อีกฝ่ายต้องใช้โอกาสนี้ตัดคะแนนทางเราแน่”
“งั้นก็ใช้วิธียอมรับผิดไป”
“เธอหมายถึงอะไร?”
[‘นั่นซิ อะไรคือยอมรับผิด?’]
“แผนปรับความคิดน่ะน่าจะดีแล้ว แต่น่าจะต้องเพิ่มอะไรเข้าไปหน่อย”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจ”
“ก็แทนที่จะสร้างภาพให้ฉันดูเป็นคนดีเพียงอย่างเดียว พวกเธอก็ประกาศความผิดของฉันออกมาด้วย ประกาศให้รับรู้ด้วยว่าวิธีการที่ฉันใช้นั้นยังไม่ถูกต้อง ยังต้องปรับปรุงแก้ไข และฉันสมควรแล้วที่ได้รับโทษจากการกระทำที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ว่าเรื่องนั้นจบไปแล้วและฉันตอนนี้ได้รับการลงโทษแล้ว หลังจากนี้ทุกคนก็จะช่วยกันดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่อไป แบบนี้ฉันก็จะได้ดูเป็นคนธรรมดาที่จับต้องได้ คนอื่นๆ ก็จะคิดว่าพวกเขาสามารถเอาฉันเป็นตัวอย่างได้ ที่เหลือก็ใช้การแสดงนิดหน่อยเพื่อให้คนเห็นว่าสิ่งที่เราเสนอไปนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนจะได้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสนับสนุนพวกเธอ”
[‘ฉันสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมถึงนายกับยูบิจังดูเข้าขากันจังเลยล่ะ อย่างกับคนที่เคยทำงานด้วยกันมางั้นแหละ’]
“แบบนั้นก็น่าจะดีนะ อามายะจังล่ะ ว่าไง?”
“อ๊ะ? อ่ออ… ก็ดีนะ…”
มัวแต่นั่งมองทั้งคู่แล้วก็คิดไร้สาระจนลืมไปว่าตอนนี้พวกเรามารวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์อะไร
เห็นยูบิจังกลับไปคุยรายละเอียดกับอาคิยามะต่อตัวฉันที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำก็เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน รู้สึกเหมือนตรงนี้ไม่มีที่ให้เราอยู่ ยิ่งมองทั้งคู่ตอนนี้ยิ่งรู้สึกชัดเจน
ยูบิจังผู้มีใบหน้างดงาม ดวงตาเธอใสกระจ่างสะท้อนภาพเด็กชายตรงหน้าและแสดงออกถึงความกระตือรือร้นอย่างชัดเจน ใบหน้าได้รูปนั้นมีรอยยิ้มเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะพึงพอใจกับการสนทนาครั้งนี้
ส่วนอาคิยามะเองก็ไม่แพ้กัน รอยย่นบนหัวคิ้วหายไปแล้ว ทั้งที่ปากบอกว่าจะไม่ยอมมาทำงานร่วมกัน แต่ตอนนี้เขากำลังช่วยคิดและวิเคราะห์แผนการต่างๆ กับยูบิจังอย่างเต็มที่ ไม่มีท่าทีปฏิเสธเหมือนตอนของฉันเลยสักนิด
[‘คิดลบอีกแล้ววว…’]
ตั้งใจว่าจะไปหาน้ำมาล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่นสักหน่อย ฉันจึงค่อยๆ ถอยออกมาแล้วลุกขึ้น
“จะไปไหน?”
[‘อุตส่าห์ว่าจะไม่ขัดแล้วแท้ๆ’]
“ขอไปห้องน้ำหน่อยนะ”
“อ่ออ…”
อาคิยามะส่งเสียงที่เหมือนจะเป็นเสียงครางในลำคอกลับมา ฉันเห็นว่าเขาหันไปสนใจสิ่งที่ยูบิจังพูดต่อแล้วตัวเองจึงเดินออกมาเงียบๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันมันเป็นแค่เรื่องงาน แล้วคนที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือฉันเอง แต่พอได้มาเห็นพวกสองคนแบบนั้นแล้วฉันกลับสงบใจลงไม่ได้
มันเป็นเพราะอะไรนะ อาคิยามะดูเป็นคนเจ้าชู้เหรอ… หรือเพราะยูบิจังสวยเกินไป…
ไม่ใช่หรอก มันเป็นเพราะบรรยากาศต่างหาก
บอกไม่ถูกและชี้ชัดไม่ได้ แต่รับรู้ว่าบรรยากาศของทั้งคู่มันดูกลมกลืนสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ยิ่งคิดถึงภาพเมื่อครู่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันอาจจะใช่
หรือจริงๆ แล้วเรื่องนั้นมันไม่ใช่แค่ข่าวลือ…
—
วันเวลาผ่านไปไวเสมอเมื่อเรามีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะแบบนี้
ฉันกับยูบิจังใช้เวลาว่างแทบจะทั้งหมดที่โรงเรียนเพื่อวางแนวทางและสิ่งที่เราต้องทำในการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานนักเรียนที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
ข้างหน้าเวทีเป็นบรรดานักเรียนที่เข้ามานั่งฟังการแสดงวิสัยทัศน์ บ้างนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ทางเราจัดไว้ให้ บ้างยืนอยู่ไกลๆ ทางท้ายหอประชุม ราวกับกำลังรอชมเรื่องสนุก
ฉันหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำๆ สามสี่ครั้งเพื่อควบคุมไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกิน พลางชำเลืองไปทางยูบิจังที่ตอนนี้กำลังจับฉลากว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ประธานในงานวันนี้คือรุ่นพี่ฟูจินาริ เจ้าของตำแหน่งประธานนักเรียนคนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระลงในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เธอรับฉลากจากผู้สมัครทั้งสองคนมาแล้วประกาศออกไมค์ด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
[‘ทีหลังแฮะ’]
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เมื่อเสียงประกาศออกไปว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ยูบิจังดูจะผิดหวังเล็กน้อยกับดวงในการจับฉลากของตัวเอง ฉันให้กำลังใจเธอสั้นๆ แล้วเราก็เริ่มการทบทวนแผนการในกรณีที่เราเป็นฝ่ายตามกันอีกครั้ง
การแสดงวิสัยทัศน์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ยูเซย์คุงและรองประธานของเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบนเวทีที่ทางสภาจัดเตรียมโต๊ะและเก้าอี้ไว้ให้ จากมุมมองด้านข้างแบบนี้ฉันรู้สึกว่ามันดูเหมือนกับการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเลย
โชคไม่ดีนักที่ข่าวของเขาค่อนข้างจะเป็นข่าวร้ายของเรา ยูเซย์คุงที่เป็นคณะกรรมการควบคุมวินัยของโรงเรียนยกธงรบประกาศกร้าวจะจัดระเบียบโรงเรียนแห่งนี้ให้น่าอยู่และน่าเรียนมากยิ่งขึ้น เขารับปากว่าบรรดาผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเพื่อเรียนนั้นจะถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ส่วนบรรดาผู้ที่รบกวนการเรียนของคนอื่นจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
ฉันคิดว่าจุดยืนนี้เหมาะสมกับเขาดี แสดงชัดเจนถึงจุดเด่นของเขาออกมาอย่างชัดแจ้ง แม้จะมีไม่น้อยที่ดูไม่ค่อยจะชอบแนวทางอันแข็งกร้าวของเขา แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่ชอบ โดยเฉพาะคนที่ถูกแกล้ง ถูกรังแก หรือถูกรบกวนระหว่างเรียนน่าจะสนใจแนวทางของเขาไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนที่มันเป็นปัญหาคือการที่เขายกตัวอย่างเหตุการณ์ของเมื่อสัปดาห์ก่อนขึ้นมาพูด
เป็นความจริงที่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของใครออกมา แต่เรื่องนี้รู้กันไปทั้งโรงเรียน ฉันผู้เข้าไปมีส่วนร่วมกับตัวการหลังก่อเรื่องก่อราวย่อมถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ตรงจุดนี้แหละที่สามารถเอามาใช้ทำลายความเชื่อมั่นในตัวของยูบิจังได้เป็นอย่างดี
[ “สำหรับผมแล้ว การมีผู้นำเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักแยกแยะดีเลวนั้นนับว่าเป็นหายนะขององค์กรครับ…” ]
“ไม่ใช่ว่าหลอกด่ากันทางอ้อมหรือไงเนี่ย?”
ยูบิจังที่ได้ยินฉันบ่นหัวเราะคิกคักเบาๆ ฉันคิดว่าเธออาจจะไม่ใส่ใจอะไรเพราะปกติก็เห็นปล่อยผ่านหลายๆ เรื่อง แต่พอหันไปมองหน้าเท่านั้นแหละ
[‘ไม่ใช่ละ ยิ้มแบบนี้เตรียมเอาคืนเต็มที่เลยนี่นา’]
“ที่เอ็งข้าไม่ว่า ที่ข้าเอ็งอย่าโวยค่ะ”
[‘นั่นไง’]
ยิ่งรู้จักกันไปนานๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่ายูบิจังแอบมีด้านที่น่ากลัวพอสมควร แต่หากมองในมุมมองของเด็กวัยเรา แบบนี้ก็คงถือว่าเป็นเรื่องปกติ
สามสิบนาทีผ่านพ้นไปแล้ว ยูเซย์คุงและคู่หูของเขาเดินลงจากเวทีอย่างสง่าผ่าเผย
ต้องยอมรับเลยว่าเขาทำงานกันมาอย่างดี การพูดแสดงวิสัยทัศน์วันนี้เลยออกมายอดเยี่ยม โดยเฉพาะความมั่นอกมั่นใจและความเชื่อมั่นในแนวทางของตัวเองนั้นนับว่าแข็งแกร่ง เอาแค่เรื่องที่ว่ากล้าโจมตียูบิจังในที่สาธารณะโดยไม่กลัวบรรดาแฟนคลับเธอมาถล่มนี่ก็น่านับถือใจของเขาแล้ว
“ไปกันเถอะ อามายะจัง”
“อื้อ! ไปกันเถอะ”
MANGA DISCUSSION