– อาคิยามะ เออิชิ –
“พวกเธอมีอะไรจะสารภาพมั้ย?”
นั่นคือคำพูดแรกที่อาจารย์ผู้ชายตรงหน้าพูดออกมาเมื่อผมนั่งลงในห้องพักครู
ข้างๆ กันเป็นคู่กรณีที่เมื่อกี้หนีหายไปกันหมด ไม่รู้ว่าไปถูกตามตัวมาตอนไหน
“ว่าไง ใครเริ่มก่อน?”
เงียบ… เงียบเหมือนพร้อมใจกันมา ส่วนตัวผมเริ่มจะรู้สึกว่าหนาวเสียแล้ว คำกล่าวที่ว่าแอร์ห้องพักครูเย็นกว่าห้องเรียนสงสัยจะเป็นความจริง
“งั้นเธอ นักเรียนใหม่ เล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
การถูกเรียกว่าเด็กใหม่เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคยนักแล้วก็ไม่ค่อยชอบด้วย แต่ผมรู้ว่าไม่ควรจะแสดงความคิดเห็นเรื่องนั้นออกมาตอนนี้
ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่ผมเกือบจะถูกนั่งทับในขณะที่งีบอยู่บนโต๊ะของตัวเอง ไล่เรียงเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่อาจารย์เข้ามาในห้องโดยเว้นเรื่องที่โอโตเมะเข้ามาช่วยดูแลหลังเสร็จศึกเอาไว้
จากนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องในมุมมองของคู่กรณีของผมบ้าง บางช่วงก็ฟังดูแปลกๆ แตกต่างจากที่ผมเล่าเหมือนจะเป็นหนังคนละม้วน แต่บางช่วงก็ตรงกัน โดยเฉพาะช่วงที่ถูกผมกระทำเนี่ย เล่าได้เห็นภาพยังกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเลยทีเดียว
หลังจากบรรดาอาจารย์ใช้เวลาปรึกษากันครู่หนึ่งก็อนุญาตให้เรากลับห้องเรียนได้โดยแจ้งคร่าวๆ ไว้ว่าบทลงโทษจะพิจารณากันทีหลังและจะมีการแจ้งผู้ปกครองให้ทราบด้วย
นับเป็นข่าวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ได้เข้ามาเรียนที่นี่เลย เพราะยังไม่ทันพ้นอาทิตย์ผมก็ถูกตามผู้ปกครองเสียแล้ว ไม่รู้คุณพ่อกับคุณแม่จะผิดหวังในตัวผมมากขนาดไหน
ผมเดินออกมาจากห้องในสภาพที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ทั้งกังวลเรื่องคุณพ่อคุณแม่ ทั้งรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ และหนักไปทั้งตัว อาการปวดหัวที่เหมือนจะดีขึ้นเมื่อตอนคุยกับโอโตเมะก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
[‘หนีไปนอนห้องพยาบาลดีมั้ยนะ?’]
ความคิดชั่วช้าอย่าง ‘ไหนๆ ก็โดนเรียกผู้ปกครองแล้ว โดดซะเลยน่าจะดี’ โผล่ขึ้นมาในหัว แต่เจ้าตัวสำนึกดีโผล่ ปุ๊ง… ขึ้นมาขัดความคิดนี้ไว้ซะก่อน
แล้วตัวกิเลสก็โผล่มาบ้าง ทั้งคู่ตบตีกันอยู่บนหัวของผมราวกับจะยึดเอาตรงนั้นเป็นสังเวียนตัดสิน วุ่นวายไปมาจนผมชักจะรำคาญ
“เอ่อ… อาคิยามะคุง”
การตีกันของสองความคิดในจิตใจของผมถูกขัดจังหวัดจากเสียงเรียกที่เหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจ เจ้าของเสียงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาจากข้างหลัง เมื่อเขามาถึงผมจึงเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“ขะ..ขอบ…ขอบคุณนะ… ที่ช่วยผมไว้”
โฮตานิพูดขอบคุณผมแบบตะกุกตะกัก สงสัยเขาจะยังกลัวผมอยู่ หรือไม่ก็เป็นคนขี้เกรงใจ หรือไม่ก็ อ่าาา… จะเป็นไรก็ช่างเขาเถอะ
“…แล้วผมก็ขอโทษที่ช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย”
[‘อ่อ… เป็นคนดีเกินไปนี่เอง แต่แปลก…’]
แปลกที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนแปลก แต่บุคลิกของเขามันแปลกๆ
“ไม่เป็นไร… ยังไงตอนนี้เรา… ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว แต่ฉันสงสัย… ทำไมนาย… ตอนอยู่ที่โรงเรียน… ถึงต่างจากตอนที่ทำงาน… พิเศษนักล่ะ”
“เอ๊ะ!? คุณรู้ได้ไงว่าผมทำงานพิเศษ”
“ฉัน… เคยไปกินเนื้อย่าง… ที่ร้านที่… นายทำงานน่ะ”
“จะว่าไงดี นั่นไม่ใช่งานพิเศษหรอก”
โฮตานิดูอึ้งๆ เล็กน้อยที่รู้ว่าผมเคยเห็นเขาตอนทำงาน แต่ก็ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง แต่ผมน่ะคิดเรื่องอื่นอยู่
[‘งี้ที่นายคอยช่วยปลุกฉันนี่ก็ไม่ใช่ว่านายจำฉันได้หรอกเรอะ’]
“ร้านนั้นเป็นบ้านของผมเอง เจ้าของร้านก็คือคุณพ่อ เพราะอยู่กันแค่สองคนผมเลยคอยช่วยที่บ้านน่ะ”
“เหหห… แบบนั้นยอดไป… เลยนะ ได้กินเนื้อย่าง… ทุกวัน… ด้วยหรือเปล่า”
โฮตานิขำที่ผมพูด อืม… ดูท่าวันนี้ผมจะปล่อยมุกออกมาแบบไม่รู้ตัวบ่อยแฮะ
“บุคลิกนาย.. ตอนทำงานดูเป็นคนเก่ง… ที่มีความมั่นใจ… ในตัวเองนะ… แล้วทำไมบุคลิกที่โรงเรียน… ถึงไม่เหมือน… ตอนทำงานล่ะ”
“ผมแค่รู้สึกไม่คุ้นเคยน่ะ เวลาที่ผมอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือคนแปลกหน้ามันจะเกร็งๆ เขินๆ แล้วก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกน่ะ แต่ถ้าคุ้นเคยดีแล้วก็จะไม่เป็นไรเหมือนตอนทำงานที่บ้าน”
“เป็นพวกแปลกที่… แล้วไม่มีแรง… งั้นเหรอนายน่ะ”
“นั่นมันพวกแบบไหนกันล่ะเนี่ย”
“เอาเถอะ… ยังไงซะตอนนี้… เราก็สนิทกันแล้ว… ถือว่า… เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”
“สนิทกัน?”
“ก็นายคุย… กับฉันได้เป็นปกติ… ไม่พูดติดขัด… เหมือนตอนแรก… แล้วนิ”
“อ๊ะ นั่นซินะ”
“หลังจากนี้ก็… ฝากตัวด้วยล่ะ… โชเฮย์”
“อ๊ะ… อื้มม… ฝากตัวด้วยเออิชิคุง”
แล้วเพื่อนใหม่ของผมก็พาผมส่งห้องพยาบาลด้วยเหตุผลที่ว่าผมน่าจะนั่งเรียนไม่ไหวเพราะแค่พูดคุยยังหอบเลย
โชเฮย์บอกว่าเดี๋ยวเขาจะบอกอาจารย์เองว่าผมไม่สบาย ซึ่งก็เข้าทางเจ้าตัวกิเลสเลย มันครอบงำความคิดผมทันทีทำให้ผมตกปากรับคำโดดเรียน เอ้ยยย… ตกปากรับคำไปนอนพักตามที่เพื่อนบอกแต่โดยดี
—
– โอโตเมะ อามายะ –
– “โฮตานิบอกว่าไปส่งอาคิยามะที่ห้องพยาบาลมาเรียบร้อยแล้ว” –
คำบอกกล่าวของเซริก่อนที่เธอจะกลับไปทำงานพิเศษช่วยให้ความหนักอึ้งในอกมลายหายจนเกือบหมดสิ้น
เนื่องจากทุกคนที่ถูกเรียกตัวไปกลับมากันหมดแล้วแต่อาคิยามะไม่ได้กลับมา แถมส่งข้อความไปก็หายเงียบ ไม่ขึ้นว่าอ่านด้วยซ้ำไป นั่นทำให้ช่วงบ่ายของวันนี้ฉันเรียนด้วยความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวสุดๆ
หลังจากร่ำลาเพื่อนๆ แล้วฉันรีบมุ่งตรงไปห้องพยาบาลทันที หวังว่าจะใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดก่อนจะไปช่วยงานยูบิจังมาดูอาการของอาคิยามะซะหน่อย
แต่ห้องพยาบาลล็อก
ได้แต่ยืนมองป้ายที่เขียนว่า ‘อาจารย์ติดประชุม’ พลางสงสัยว่าแบบนี้อาคิยามะไปอยู่ที่ไหน
ลองเช็กใน RaNE ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับ ลองโทรหาก็ไม่รับสาย ราวกับว่าเขาหายสาบสูญไปอีกแล้ว
[‘นายจะทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้นะรู้มั้ย’]
ฉันรู้ว่าคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรดี แต่เรื่องห้ามความคิดนี่มันทำกันได้ที่ไหน
ฉันสูดลมหายใจลึกๆ เลือกปรับจูนความคิดของตัวเองใหม่แล้วก็ตัดสินใจรอให้เขาตอบกลับมาเองดีกว่า
[‘ถ้าว่างเดี๋ยวก็ตอบกลับมาเองแหละ’]
เพราะช่วงนี้เรามีข้อตกลงที่เข้าใจกันแบบนั้น ดังนั้นตอนนี้ฉันก็ควรจะรีบเคลียร์งานของตัวเองซะ เพื่อที่ว่าพอเขาว่าง ฉันจะได้มานั่งคุยกับเขาได้
—
หลังการทำงานคือช่วงเวลาของการพักผ่อนเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ลงทุนไป
ฉันกับยูบิจังตกลงกันไว้ว่าสุดสัปดาห์นี้เราจะพักผ่อนกันเพื่อที่ว่าสัปดาห์หน้าเราจะได้ไปทุ่มเทให้กับการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานนักเรียนกันอย่างเต็มที่
“งานที่ต้องเตรียมตอนนี้ก็พร้อมหมดแล้ว หลังจากนี้ก็เหลือแค่การเตรียมใจให้พร้อมสำหรับวันจริงแล้วล่ะ”
“พูดยังกับจะไปออกรบเลยนะยูบิจัง”
“อามายะจังนั่นแหละ ไม่เกร็งมั่งเลยเหรอ ฉันเนี่ยแค่คิดก็ตื่นเต้นไปหมดแล้ว”
“ก็บอกแล้วนิว่าฉันน่ะไม่ใช่คนที่จะออกไปพูดซะหน่อย”
“แบบนั้นมันขี้โกงเกินไปแล้วนะ”
“ช่วยไม่ได้นะคะประธาน~~”
ตามที่ว่าไปนั่นเอง ตอนนี้การเตรียมการต่างๆ ของฉันและคู่หูพร้อมหมดแล้ว ดังนั้นในขณะที่เรากำลังเดินไปเปลี่ยนรองเท้าพร้อมกันเราจึงพูดคุยกันว่าสุดสัปดาห์นี้เราจะพักผ่อนกันอย่างไรดี
“จริงซิ วันนี้ที่ห้องของอามายะจังเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”
[‘เกือบลืมเลยนะเนี่ย’]
“อืมม… วุ่นวายใหญ่โตเลย”
“อาคิยามะคุงเป็นอะไรมากมั้ย?”
“เท่าที่เห็นถ้าไม่นับอาการไข้ ก็ไม่เป็นไรนะ”
“เขาป่วย?”
“ใช่ ไข้สูงด้วย”
“งั้นก็ถือว่าเป็นโชคดีของเด็กเกเรพวกนั้น”
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“อ่ออ… ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่อามายะจังได้คุยกับเขามั่งหรือยัง?”
“ยังเลย เขาไม่กลับเข้าเรียนในตอนบ่ายแถมติดต่อไม่ได้ด้วย หรือว่าฉันจะลองโทรหาเขาอีกดีมั้ยนะ”
พอยูบิจังบอกว่าลองดูซิ ฉันก็ใจง่ายเชื่อเพื่อนทันที ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลาที่อาคิยามะน่าจะว่าง
เสียงสัญญาณรอสายอันเป็นเอกลักษณ์ของแอปพลิเคชัน RaNE ดังอยู่ประมาณ 5 วินาทีก็ดับไป ปลายสายมีเสียงงัวเงียที่แหบพร่าเล็กน้อยตอบกลับมา
[ “เอ๊ะ!! เย็นขนาดแล้ว” ]
หลังพูดคุยจนได้รู้ว่าบุคคลสูญหายที่ฉันตามหาไปหลับอยู่ที่ห้องพยาบาลมาตลอดทั้งบ่าย มวลก้อนที่เหมือนค้างอยู่ในกระเพาะอาหารก็เหมือนจะได้เจอทางระบายออก
ฉันบอกจุดนัดพบอาคิยามะที่ดูเหมือนจะตกใจที่ตัวเองหลับไปนานขนาดนั้น แล้วก็คล้ายจะได้ยินเสียงอาจารย์ประจำห้องพยาบาลเรียกเขาหรือบ่นอะไรเขาสักอย่างนี่แหละ
[“กำลังไปแล้ว”]
[“อือ เดี๋ยวเจอกัน”]
ฉันวางสายก่อนจะหันไปบอกยูบิจังที่ยืนรออยู่ว่าเดี๋ยวจะไปส่งอาคิยามะกลับบ้าน ให้เธอกลับไปก่อนได้เลย
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนอามายะจังแล้วกัน สองคนน่าจะดีกว่าคนเดียว เผื่อมีปัญหาจะได้ช่วยกัน”
“แบบนั้นมันจะรบกวนเธอ…”
“ไม่หรอก หรืออามายะไม่อยากให้ไป”
[‘แค่กังวลนิดหน่อยว่าอาคิยามะจะคิดยังไงตอนเห็นน่าเธอน่ะ’]
“จะเป็นงั้นได้ไง ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะ”
“ด้วยความยินดี”
เราสองคนยืนรออาคิยามะอยู่ที่ทางออกอาคารเรียน พูดคุยกันฆ่าเวลาไปเรื่อย ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง
“ขอโทษที่ให้รอ…”
อาคิยามะเอ่ยขึ้นขณะที่ฉันกับยูบิหันไปมองเขา แล้วความกังวลของฉันก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้
คำว่า ‘ขอโทษที่ให้รอ’ นั่นเขาน่าจะพูดกับฉันนั่นแหละ และมันน่าจะมีคำพูดต่อจากนั้นอีก เพียงแต่ตอนนี้คำพูดที่เหลือนั่นไม่สามารถหลุดออกมาจากปากที่อ้าค้างน้อยๆ นั่นของเขาได้เสียแล้ว
ภายใต้บรรยากาศยามเย็นที่แสงแดดอ่อนจางจนท้องฟ้าเปลี่ยนไปเป็นสีแดง
แสงนั้นส่องทะลุกระจกอาคารเข้ามาเล็กน้อย มันสะท้อนกับพื้นหรืออาจจะเป็นผนัง หรืออะไรสักอย่างก่อนจะมาตกกระทบลงบนตัวของยูบิจัง ส่งผลให้เธอดูราวกับเป็นเทพธิดาที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์จริงๆ
อาคิยามะเหม่อมองภาพนั้นตาค้าง เขานิ่งอึ้งจนตัวแข็งทื่อ แวบหนึ่งก่อนที่ยูบิจังจะเอ่ยทัก ฉันคิดว่าบางทีเขาอาจลืมวิธีการหายใจไปแล้วก็ได้
[‘นายเองก็หลงเสน่ห์เธอเหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ซินะ’]
รู้ตัวว่านี่เป็นความรู้สึกด้านลบที่เรียกกันว่าความน้อยใจ แต่ว่าฉันน้อยใจอะไรกันล่ะ
น้อยใจที่เขาไม่มองฉันเหรอ… หรือน้อยใจที่เขาสนใจแต่ยูบิจัง… หรือว่าที่จริงแล้วฉันแค่หวงก้างไม่อยากให้เขาไปมองผู้หญิงคนอื่น…
“สวัสดี อาคิยามะคุง”
“อะ… อ่อ สวัสดี ยะ… คุณทาเคโนะอุจิ”
“เธอดีขึ้นแล้วเหรอ? อามายะจังบอกว่าเธอเป็นไข้”
“นะ…นอนพักไปแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว จริงซิ โอโตเมะ… เฮ้… โอโตเมะ”
“อ๊ะ ว่าไง?”
ดันเผลอคิดอะไรแปลกๆ อยู่คนเดียวเลยไม่ได้ฟังที่ทั้งคู่คุยกัน
อาคิยามะทำหน้าสงสัยแล้วถามว่าเป็นอะไร ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าคิดอะไรไม่ดีกับเพื่อนของตัวเองเลยเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
“ว่าแต่นายยังต้องไปบ้านคุณนาคาจิมะอีกเหรอ?”
“อื้อ บอกคุณพ่อกับคุณแม่ไว้แล้ว แล้วก็มีเรื่องที่ต้องไปสารภาพด้วย”
“นายไปไหวเหรอ? ไหนก้มลงมาหน่อย”
“ก็ดีขึ้นแล้ว…”
“ตัวยังร้อนอยู่เลย ได้วัดไข้หรือยัง?”
“ถ้าวัดไข้เราก็จะมีไข้นะ แต่ถ้าไม่วัดเราก็จะไม่มี”
“ตรรกะบ้าอะไรของนาย”
“ฉันดีขึ้นเยอะแล้วจริงๆ”
“งั้นก็ตามใจ แต่เดี๋ยวฉันตามไปส่งนายด้วย”
“เธอจะไปทำไม? แล้วใครจะไปส่งเธอกลับบ้าน”
“ฉันกลับพร้อมยูบิจัง”
“แต่บ้านพวกเธอไปคนละทางนิ”
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวฉันสองคนหาทางเอง”
“แต่…”
“ไม่ต้องเถียงกันแล้วคร่า เดินทางกันเลยดีกว่า ช้ากว่านี้ได้ค่ำกันก่อนพอดี”
ยูบิจังเข้ามาขัดการถกเถียงของฉันกับอาคิยามะพร้อมกับดันหลังเราสองคนให้เริ่มออกเดิน
พวกเราสามคนก้าวออกมาจากอาคารเรียนมุ่งหน้าบ้านของอาคิยามะด้วยกัน โดยมีฉันอยู่ทางซ้าย ยูบิจังอยู่ทางขวา และอาคิยามะที่เดินตัวลีบแปลกๆ อยู่ตรงกลาง
MANGA DISCUSSION