– โอโตเมะ อามายะ –
“ว่าไงเหรอ นิโนะมิยะคุง?”
เป็นการทักทายปกติธรรมดาที่เคยทำมาตลอดและนิโนะมิยะก็ยิ้มให้ฉันแบบนี้ตลอด เป็นรอยยิ้มที่สามารถละลายสาวๆ ได้หากมองมันตรงๆ แต่ฉันชินแล้วเลยไม่รู้สึกอะไร ไม่ซิ… ช่วงหนึ่งมันเคยทำให้ฉันอึดอัดใจ และครั้งหนึ่งมันเคยทำให้ฉันรำคาญ
“ว่าจะถามคุณโอโตเมะน่ะว่าวันนี้กลับบ้านด้วยกันมั้ย? ผมต้องไปธุระให้ที่บ้านแถวนั้นพอดีน่ะ”
“ฉันยังไม่มั่นใจว่าจะกลับตอนไหนน่ะ แล้วนิโนะมิยะคุงไม่มีซ้อมชมรมเหรอ?”
“มี แค่ว่าเผื่อเรากลับพร้อมกันน่ะ”
“อ่ออ งั้นไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างกลับนั่นแหละสะดวกดี”
“งั้นเหรอ… งั้น….”
“พอดีฉันต้องไปช่วยงานที่ห้องสภาแล้ว งั้นไว้เจอกันนะ”
“อ่ออ งั้นโชคดี”
“อืม นิโนะมิยะคุงก็ด้วย”
พูดจบแล้วฉันก็เดินออกมาเลย รับรู้ได้ว่ามีคนในห้องสองสามคนมามองแต่ฉันไม่สนใจ การที่กลายเป็นจุดสนใจหรือเป็นประเด็นเพราะพูดคุยกับนิโนะมิยะนั้นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับฉันไปแล้ว
ปีที่แล้วเรามีข่าวลือร่วมกันหลายอย่างและบางข่าวลือสร้างความเดือดร้อนให้ฉันค่อนข้างมาก แน่นอนว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะมันมีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง พอกำจัดคนชักใยออกไปได้เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดำเนินไปในสถานการณ์ที่ดีขึ้น
แต่ข่าวลือที่มีคนเชื่อมากๆ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องจริงเข้าในสักวันหนึ่ง แม้ในกรณีของฉันมันจะไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น แต่การจะแก้ข่าวลือเรื่องของฉันกับนิโนะมิยะให้หมดไปนั้นนับว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะพูดอธิบายจนปากเปียกปากแฉะยังไงหรือแสดงออกมากแค่ไหนคนไม่เชื่อมันก็ไม่เชื่อ ถึงขนาดที่เอาฉันไปว่าว่าที่ออกเดตกับผู้ชายคนอื่นก็เพื่อกลบข่าวลือเท่านั้น ลับหลังก็ยังคบกับนิโนะมิยะอยู่ดี
ก็นั่นแหละ เจอแบบนี้แล้วก็คงทำได้แค่ปล่อยไป อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด แค่ตัวเตรียมตัวรับมือให้ดีก็พอ
แน่นอนว่าวิธีรับมือของฉันนั้นง่ายมาก แค่ต้องทำตัวเองให้ดีเด่นในสายตาอาจารย์ ช่วยงานรุ่นพี่จนเป็นที่รู้จักไปทั่วเพื่อสร้างคอนเนคชั่น ระหว่างนั้นก็รักษาระยะห่างกับนิโนะมิยะให้ดี เป็นแนวคิดสามอย่างที่ง่ายมากๆ แต่พอทำจริงแล้วยากมากๆ บอกเลยว่าตอนนั้นถ้าฉันไม่มีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจอยู่รอบตัวล่ะก็ ตัวฉันคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้
ความจริงเรื่องที่นิโนะมิยะยังอยู่ห้องเดียวกันกับฉันนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจ นักเรียนส่วนใหญ่ที่อยู่ 30 อันดับแรกของป้ายประกาศรายชื่อผลสอบจะไปกองรวมกันที่ห้อง 11 และ 12 ซะเยอะ แม้บางส่วนจะกระจายไปอยู่ห้องอื่นแต่ก็มีน้อย
ฉันโยนเรื่องนิโนะมิยะทิ้งไปทันทีที่มาถึงประตูที่จะนำฉันออกไปยังระเบียงทางเดินหนีไฟ สถานที่ที่ไม่ค่อยจะมีใครมาไม่ว่าจะในโลกของการ์ตูนหรือโลกของความเป็นจริง
หลังประตูบานนี้คือสถานที่ที่ฉันนัดอาคิยามะให้มาเจอกัน นั่นหมายความว่าทุกคนน่าจะอยู่กันหลังประตูบานนี้ แต่ทว่า…
[‘หายไปไหนกัน?’]
ไม่ใช่แค่ไม่เจออาคิยามะ แต่หลังประตูบานนั้นมันว่างเปล่า มีแค่ทางเดินหนีไฟโล่งๆ ที่ชะโงกมองยังไงก็โล่งโจ้งไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากฉัน
[‘พวกนั้นรู้ซินะว่าฉันจะตามมาน่ะ ฮึ่มม… วางแผนกันไว้ซินะยัยพวกนี้’]
ฉันหัวเสียนิดหน่อยที่ถูกเพื่อนตัวเองตลบหลัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำแบบนี้
[“เซริ ตอนนี้อยู่ไหนกัน พวกเธอพาอาคิยามะไปไหน?”]
ฉันยิงคำถามใส่เพื่อนรักทันทีที่เธอรับสาย อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
[“เมกุมิพาเขาไปน่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพาไปที่ไหน”]
[“หมายความว่าไง พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?”]
[“ฉันต้องไปทำงานพิเศษน่ะเลยแยกมาก่อน เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สองคนนั้นทำอะไรอาคิยามะคุงไม่ได้หรอก เดี๋ยวคืนนี้คงจะมาเล่าให้เธอฟังนั่นแหละ”]
[“หวังว่าเมกุมิจะไม่ทำเกินไปหรอกนะ”]
[“อาโอะจังก็อยู่ด้วย คงช่วยหยุดได้บ้างแหละ”]
[“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”]
เซริวางสายไปเพราะต้องเดินทางไปทำงานพิเศษ ฉันเลยเลือกจะโทรหาเมกุมิแทนเพราะคิดว่าแผนการครั้งนี้น่าจะมาจากเมกุมินี่แหละ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบอาคิยามะ เธอแค่ไม่พอใจเขาตอนที่เขาหายไป อันที่จริงไม่ใช่แค่เมกุมิหรอก ทั้งเซริ ทั้งอาโอะจัง แม้แต่ฉันเองต่างก็ไม่พอใจ แต่คนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดก็คือเมกุมินี่แหละ
[‘ไม่รับสายงั้นเหรอ?’]
พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันจึงเลือกจะโทรหาอาโอะจังแทน
[“อ๊ะ! อามายะจังเหรอ… เอ๋… อ้าว รับสายไปแล้วอ่า”]
ท่อนแรกคุยกับฉันแน่นอน ส่วนท่อนหลังน่าจะหันไปคุยกับเมกุมิ
[‘เดี๋ยวก่อนเถอะยัยเมกุมิ’]
แว่วเสียงเมกุมิแทรกเข้ามาเป็นระยะสลับกับเสียงดนตรีเบาๆ ทำให้พอเดาได้ว่าพวกเธอน่าจะอยู่ในคาเฟ่ที่ไหนซักที่
[‘ใกล้ๆ นี้มีอยู่สองสามแห่ง แล้วมันเป็นที่ไหนนะ’]
[“ตอนนี้เหรอคะ? เอ่ออ… ไม่รู้เลยค่ะ”]
พอถามไปว่าอยู่ที่ไหนกันก็ได้คำตอบมาว่าไม่รู้ แต่ตอบแบบนี้ใครเขาก็รู้ว่าโกหกกัน
[“ได้เรื่องยังไงฉันจะติดต่อไปนะคะ ขออนุญาตวางสายก่อนแล้วค่ะ”]
[“เดี๋ยวก่อนอาโอะจัง…”]
ทั้งที่ตอบกลับไปทันทีแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังไม่ทัน ฉันกดโทรหาอาโอะจังอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่รับสายแล้ว
รู้สึกหัวเสียแล้วก็น้อยใจนิดหน่อยที่ถูกเพื่อนๆ กีดกันแบบนี้ ครั้นจะวิ่งออกไปหาเองก็ไม่ได้เนื่องจากมีงานของสภานักเรียนรออยู่
[‘ทำได้แค่รองั้นเหรอ?”]
ฉันเปิดประตูกลับเข้ามาในอาคารเรียน คิดใคร่ครวญว่าจะลองโทรไปหาอาคิยามะดีมั้ย แต่ก็ถูกเสียงทักจากด้านหลังขัดขึ้นมาซะก่อน
เป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่เล็กมากนักแต่ใสและกังวาน เจ้าของเสียงเร่งฝีเท้าขึ้นมาก่อนจะมาหยุดตรงหน้าฉันที่ปิดประตูไปพอดี
“ทำอะไรอยู่เหรอ?”
คำถามมาพร้อมกับสายตาที่มองผ่านฉันไปที่ประตูแล้วจึงวกกลับมาที่ฉันอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรหรอกเพราะหลังประตูนั่นแทบจะไม่มีใครก้าวออกไปเลย
“ตามหาเพื่อนน่ะ”
ฉันตอบเพื่อนสาวตรงหน้าไปตามความจริงเพราะไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง แต่ท่าทางของเธอตอนทำหน้าประหลาดใจกลับไปดึงดูดสายตาจากนักเรียนชายที่เดินผ่านไปผ่านมาชนิดที่ว่ามองกันจนเหลียวหลัง
[‘มองแบบนั้นมันน่าเกลียดไปแล้วเจ้าพวกบ้า’]
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีนัดเจอกันตรงนี้น่ะ แต่หายไปไหนกันหมดแล้วไม่รู้”
“อ่ออ…”
ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทางตอนร้องอ่อนั่นต้องบอกว่าน่ารักน่าชังกันเลยทีเดียว โอยยย… นี่เธอตั้งใจหรือเปล่าเนี่ย
[‘ไอ้พวกข้างหลังเธอนั่นเดินชนกันแล้ว’]
ฉันมองผ่านอุบัติเหตุที่มีตัวต้นเหตุเป็นเพื่อนสาวของตัวเองไปเพราะเห็นบ่อยจนชินตา
ในเวลาปกติก็ไม่เกิดอะไรแบบนี้หรอก แต่เวลาที่ยูบิจังอยู่กับเพื่อนที่สนิทกันเธอจะแสดงด้านที่ดูเป็นธรรมชาติของตัวเองออกมาซึ่งมันต่างจากด้านที่แสดงออกกับคนทั่วไป
ประเด็นคือไอ้ด้านนี้ของเธอมันดันไปบัพความน่ารักของตัวเธอเองให้สูงขึ้นไปอีก คนทั่วไปที่ปกติจะมองเห็นแต่ด้านนิ่งๆ คูลๆ ของเธอที่ดูสวยแบบเย็นชา พอมาเจอด้านที่น่ารักสดใสราวกับดอกไม้งามยามรุ่งอรุณเข้าไปก็เลยเกราะแตก แค่ยิ้มเดียวก็มีดาเมจมากพอจะทำให้ hp หมดหลอดได้เลย สมกับเป็นบอสลับสุดโหดที่ทำให้เหล่าชายหนุ่มพ่ายแพ้หมดท่า
“จะไปห้องสภาแล้วเหรอ?”
มัวแต่เพ้อเจ้อคนเดียวจนเกือบลืมพูดต่อ โชคดีหน่อยที่ยูบิจังเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร เธอเปลี่ยนจากสีหน้าสงสัยกลับมาเป็นใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
“อื้อ ว่าจะไปเลยแหละ อามายะจังมีธุระใช่มั้ย? งั้นวันนี้เราแยกย้ายกันก่อนก็ได้นะ”
[‘อ่าา… จิตใจดีงามสมกับเป็นท่านเทพธิดาจริงๆ’]
“ไม่เป็นไร ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก ไปกันเลยมั้ย?”
“งั้นเหรอ…”
“ทำหน้ากังวลอะไรของเธอเนี่ย ไปกันเถอะ งานของพวกเรายังมีอีกเยอะนะ”
“นั่นซินะ วันนี้ก็รบกวนด้วยนะอามายะจัง”
“ไว้ใจได้เลย”
ฉันก้าวเดินไปพร้อมกับยูบิจังมุ่งหน้าสู่ห้องสภานักเรียน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของยูบิจังยังคงสร้างดาเมจได้ตลอดทางโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องลงมือทำอะไรจริงจังเลย
[‘ยูบิจังนี่สุดยอดในหลายๆ ความหมายเลยแฮะ แบบนี้แค่ยิ้มเดียวผู้ชายก็น่าจะยอมทำทุกอย่างให้แล้วมั้ง?’]
พูดถึงคนที่ยอมทำทุกอย่าง เมื่อวานก็มีอยู่คนนึงที่พูดแบบนั้นกับฉัน
พอคิดถึงว่ามีคนยอมทำแบบนั้นให้เราก็รู้ถึงความตื่นเต้น รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ชนะ มีความเหนือกว่า สมองรู้แหละว่าไม่ควรคิดหรือรู้สึกแบบนี้ แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
[‘ยูบิจังจะรู้สึกแบบนี้มั่งมั้ยนะ? เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ถ้าหมอนั่นมาเห็นยูบิจังในโหมดแบบนี้ล่ะ? จะหลงยูบิจังด้วยมั้ย?’]
คิดไปคิดมากลายเป็นว่ามีเรื่องให้กังวลขึ้นมาอีกแล้ว ฉันล่ะอยากจะควักสมองตัวเองออกมาด่ามันให้หลาบจำสักที
—
– อาคิยามะ เออิชิ –
ผมนั่งดูดน้ำที่เปล่าที่พนักงานเสิร์ฟมาให้ระหว่างรอเมนูที่สั่งไปพลางมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศผสานไปกับเสียงดนตรีที่มีจังหวะผ่อนคลายเบาๆ บวกกับข้อความตอบกลับจากอันนะช่วยให้ความร้อนใจของผมมลายหายไปหมด
ตรงหน้าผมมีสองสาวที่ดูต่างกันชนิดที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนละขั้วแต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วกลับให้ความรู้สึกกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างน่าประหลาดกำลังเถียงกันอยู่
“เธอรับทำไมล่ะเนี่ย?”
“เอ๋…”
“ฉันอุตส่าห์ไม่รับแล้วนะ”
“อ้าว… รับสายไปแล้วอ่า”
ฝ่ายที่รับโทรศัพท์คือคุณซากุระ ส่วนฝ่ายที่บ่นคือคุณอาซาคุระ พวกเธอทั้งคู่คือเพื่อนของโอโตเมะที่ลากผมออกมาจากโรงเรียน จริงๆ มีคุณอาโออิอีกคนแต่เหมือนเธอจะมีธุระเลยแยกตัวไปก่อน
[‘โอโตเมะโทรมา?’]
ฟังจากบทสนทนาคนโทรมาคงไม่พ้นโอโตเมะ ดูท่าแล้วเธอคงไปหาพวกเราตรงระเบียงบันไดอันเป็นจุดหมายที่เธอนัดผมแต่แรก แต่ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เธอโดนเพื่อนๆ หักหลังแล้วล่ะ
แอบสะใจนิดๆ ที่โอโตเมะโดนเองซะบ้าง จะได้รู้ว่าตอนที่ผมโดนคุณอาโออิพาตัวออกมาโดยที่เพิ่งรู้ว่าไอ้ที่เธอนัดเจอกันนั้น จริงๆ แล้วเป็นการนัดเพื่อเจอกับเพื่อนๆ เธอมันรู้สึกยังไง
บอกไว้ก่อนเลยนะว่าไม่ได้โกรธแค้นอะไรกันหรอก แค่เสียความรู้สึกเล็กน้อยเท่านั้น หึๆๆ
คุณอาซาคุระยังคงบ่นคุณซากุระเบาๆ ฝ่ายคุณซากุระเองก็ง้อเธอเป็นระยะ ดูแล้วเพลินตาเหมือนนั่งดูคู่รักยูริพ่อแง่แม่งอนในอนิเมะที่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมากันอยู่สองคน
ผมยังคงคาบหลอดต่อไปแม้น้ำในแก้วจะหมดไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้สนใจอะไรผม ส่วนผมไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของการนัดพบกันครั้งนี้คืออะไร แม้พอจะเดาได้แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดผมก็ทำได้แค่นั่งคาบหลอดไป
แล้วพนักงานสาวหุ่นเพรียวที่สูงจนเตะตาก็กลับมาอีกครั้ง เธอวางถ้วยไอศกรีมไว้ตรงหน้าสองสาวและวางเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์กลางไว้ตรงหน้าผม
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเลย”
ทันทีที่พนักงานคนนั้นกลับไป คุณอาซาคุระก็เข้าเรื่องทันที ทำเอาคุณซากุระที่เพิ่งตักไอศกรีมเข้าปากถึงกับสำลัก
ผมยื่นทิชชูให้เธอ จากนั้นจึงหยิบเฟรนช์ฟรายส์ติดมือมาสองชิ้น ส่งชิ้นหนึ่งเข้าปาก ส่วนอีกชิ้นคีบไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ เคี้ยวไปจ้องคุณอาซาคุระไป
“อึกก… อะแฮ่มม… เอาล่ะ อาคิยามะ ก่อนอื่นพวกฉันต้องขอโทษด้วยที่บังคับเรียกนายออกมาแบบนี้ เรื่องนี้โอโตเมะก็ไม่รู้ เพราะงั้นถ้านายจะไม่พอใจก็ให้ไม่พอใจแค่พวกฉันสามคน”
ผมพยักหน้าแสดงท่าทางว่าเข้าใจแล้วพร้อมกับส่งเฟรนช์ฟรายส์เข้าปากไปเรื่อยๆ
“พวกฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อย และอยากจะให้นายตอบอย่างจริงจังด้วย”
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับคำถามและท่าทีของพวกเธอล่ะนะ ก่อนอื่นเลยฉันขอบอกก่อนว่าไม่ค่อยชอบเลยกับการที่จู่ๆ โดนพาตัวมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันโกรธหรอกนะแค่รู้สึกเหมือนโดนหลอก ดังนั้นถ้าฉันรู้สึกว่าพวกเธอไม่จริงใจอีก ฉันก็จะตอบกลับไปในลักษณะเดียวกัน”
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ
MANGA DISCUSSION