– อาคิยามะ เออิชิ –
“logxMN เท่ากับ logxM + logxN ค่ะ”
“อืม ถูกต้อง ตั้งใจเรียนเข้าอย่าให้ความพยายามที่ผ่านมาเสียเปล่า ส่วนนายเด็กใหม่ ตั้งใจเรียนซะ”
“ครับ” /” ค่ะ”
ผมนั่งลงแล้วขยับแว่นตาที่เอียงข้างไปเล็กน้อยให้เข้าที่
อุตส่าห์ตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะตั้งใจเรียนให้สมกับที่เปลี่ยนอิมเมจเป็นนักเรียนดีเด่นแต่ก็ไม่วายถูกโอโตเมะดึงดูดสายตาไปจนได้
ก็จะไม่ให้ดึงดูดได้ยังไง แม่คุณเล่นหันมามองกันทุก 10 นาที ได้เลยมั้ง ไอ้เราก็พลาดเองที่ยังไม่ได้ทักทายให้ดีตั้งแต่แรก
– [‘จะแอบไม่พอใจหรือเปล่าน้อ’] –
พอคิดว่าเธอคงจะกลัวผมเมิน ผมเลยตัดสินใจรอให้โอโตเมะหันมาอีกรอบ คราวนี้จะยิ้มทักทายดีๆ กับแม่คุณเขาสักหน่อย
แล้วมันก็ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง ผมที่นั่งเท้าแขนรอด้วยท่าทางที่คิดว่าเท่ที่สุด สามารถทักทายเธอได้แล้วแต่ไม่รู้เธอจะเข้าใจมั้ย แถมความสำเร็จยังลุกลามไปถึงขนาดดึงความสนใจจากคนที่อยู่หน้ากระดานได้ด้วย
– “เธอ นักเรียนใหม่…” –
– [‘เฮือกก… ฉิบหอง’] –
ผมรีบกลับมานั่งตัวตรงทันทีพร้อมกับตอบเสียงเรียกของอาจารย์หน้าห้อง
– “ครับ” / “ครับ” –
– [‘อ้าว…?’] –
มีอีกเสียงที่ตอบอาจารย์เหมือนกัน แถมดังมาจากข้างๆ ผมเนี่ยแหละแค่เสียงเบากว่า
– [‘หมอนี่ก็เพิ่งย้ายมาใหม่นินะ’] –
และเหมือนอาจารย์ก็เพิ่งจะคิดได้เหมือนผม เขาบอกให้อีกคนนั่งลง แล้วจึงค่อยเรียกชื่อผม แบบช้าๆ
– [‘เอ๊ะ… หมอนี่ยืนไปตอนไหนน่ะ?’] –
คิดแบบนั้นในขณะที่ผมก็ยืนขึ้นบ้าง
– “…ไหนว่ามาซิ” –
– [‘ว่าอะไรล่ะ? เมื่อกี้ฟังซะที่ไหน มัวแต่มองโอโตเมะทั้งนั้น’] –
รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนประถมที่มัวแต่เล่นกับเพื่อนแล้วโดนอาจารย์จับได้ อืมมม… อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ เลิ่กลั่กหรือเปล่า
อืมม… ใช่แหละ ผมยืนเลิ่กลั่กอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจว่า ในเมื่อเราเป็นผู้ไม่รู้ย่อมต้องถามผู้รู้จึงจะได้คำตอบ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจถามย้อนอาจารย์กลับไปว่าเมื่อกี้เขาถามอะไร
ได้ยินเสียงคิกๆ ดังมาจากโอโตเมะแบบชัดเลย ชัดมากด้วย หันไปก็เห็นแม่คุณปิดปากขำผมอยู่ จากนั้นทั้งห้องก็หัวเราะกันลั่น
อ่าาา… ช่างเป็นการเดบิวต์ ม.ปลาย ครั้งที่สองที่ครื้นเครงเสียจริงๆ
หลังจากปรามให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อาจารย์ก็ได้หันไปถามโอโตเมะบ้าง คงโดนเพราะเป็นคนเปิดหัวเราะคนแรกกระมัง ก็โชคดีแหละที่เธอตอบได้ ผมเลยได้นั่งลงโดยไม่โดนลงโทษอะไร
—
กลับมาสู่ช่วงเวลาปัจจุบันหลังการทนง่วงนอนในคาบวิชาสังคมอันเป็นคาบสุดท้ายของเช้านี้มาได้แบบที่ความรู้ไหลเข้าหัวได้ไม่ถึงครึ่ง
ผมปิดหนังสือแล้วเหยียดแขนบิดขี้เกียจทันที การกระทำเช่นนี้ส่งผลให้เกิดเสียงกระดูกลั่นจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กันหันมามองผมด้วยความตกใจ
ผมขอโทษเธอเล็กน้อยแล้วจึงเก็บหนังสือลงใต้โต๊ะ ตั้งใจว่าจะไปโรงอาหารเพราะโดนยัยตัวแสบสี่คนนั่นขู่ไว้เมื่อเช้าแต่ปัญหาก็คือผมไม่รู้ว่าโรงอาหารอยู่ตรงไหน
ใจอยากจะชวนโอโตเมะไปนะแต่ว่าเธอไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอเสียแล้ว เลยกะว่าจะชวนนักเรียนใหม่ที่นั่งข้างกันไปด้วยกันเผื่อจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่พอหันไปก็เห็นว่าเขาเปิดกระเป๋าที่เต็มไปด้วยขนมออกมา
[‘พร้อมมาก’]
ผมคิดว่าเขาพร้อมจริงๆ นะ เตรียมของมากินตอนพักกลางวันแบบนี้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเขาชอบกินขนมมากขนาดนั้นเลยเหรอ
ครั้นจะตัดใจหันไปถามทางคุณอาโออิ เธอก็เดินไปรวมกับเพื่อนๆ เหมือนโอโตเมะ ไม่มีใครสนใจผมสักคนต่างจากเมื่อเช้าลิบลับ
หันไปหันมาก็พบว่าทุกคนมีกลุ่มมีก้อนของตัวเองหมดแล้ว แม้แต่นักเรียนใหม่ เรียกโฮตานิดีกว่า ก็มีเพื่อนๆ มารุมล้อมอยู่สี่ห้าคน
ผมที่จนใจจึงหันไปจะถามเด็กผู้หญิงที่ตกใจเสียงบิดขี้เกียจของผม แต่ปรากฏว่าเธอก็ไม่สนใจผมอีก แถมยังเฉลยเรื่องที่ผมสงสัยว่าโฮตานิชอบกินขนมมากจริงหรือเปล่าด้วย
“นี่ โซเฮย์ ฉันบอกแล้วนิว่าฉันไม่เอาไส้ทูน่าน่ะ ทำไมยังซื้อมาอีก”
“เอ่ออ… คืออ… ในร้านมันไม่มีไส้ที่เธอบอกน่ะ ฉันก็เลย…”
“นายเลยตัดสินใจเองเนี่ยนะ… เชื่อเขาเลย…”
“เอาน่า เธอก็ให้หมอนี่ไปซื้อมาใหม่ซิ ที่โรงอาหารก็มี ไปเร็วหน่อยน่าจะซื้อทันนะ”
“ดีเลย งั้นโซเฮย์ซื้อขนมปังเมล่อนมาให้ฉันด้วยนะ”
“อ๊ะ งั้นฉันเอาชากุหลาบนะ ฝากด้วย”
“โอ้ ฉันด้วยๆ …”
จากภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินทำให้ผมตัดสินได้ทันทีว่ากลุ่มคนที่มาล้อมโฮตานิอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก พวกนี้แค่คิดว่าโฮตานิเป็นเบ๊ให้ตัวเองเท่านั้น
จำได้ว่าตอนเข้าไปเรียนที่อาคิรุไดวันแรก ตอนที่พวกโคสุเกะเข้ามาทักกัน พวกนั้นก็บอกอยู่ว่าพวกรุ่นพี่มักจะมาหาตัวนักเรียนใหม่ที่ไม่มีเบื้องหลังไปเป็นเบ๊ คิดแล้วก็คงไม่ต่างจากที่ผมเห็นในตอนนี้
[‘มีมันทุกโรงเรียนจริงๆ ไอ้พวกแบบนี้’]
โฮตานิมีสีหน้ายุ่งยาก ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบและไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เอาจริงๆ ก็คิดว่าคงไม่มีใครชอบ แต่คงทำอะไรไม่ได้ อาจจะถูกขู่หรือถูกแบล็กเมล์อะไรสักอย่าง
พวกในห้องเรียนเองก็แค่มองดูอยู่ห่างๆ คงคิดว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ แถมไอ้กลุ่มนี้ก็ดูช่ำชองเสียเหลือเกิน การเข้ามายุ่งด้วยจะทำให้เรื่องยุ่งยากกระเด็นใส่ตัวเองเสียเปล่าๆ
ผมลุกตามโฮตานิที่รีบเดินออกไปห้องเรียนไป เป้าหมายไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเขา แต่เพราะรู้ว่าเขาจะไปโรงอาหารซึ่งผมก็จะไปที่นั่นแต่ไม่รู้ทาง ในเมื่อไปทางเดียวกันแล้วก็ให้เขานำทางไปน่าจะง่ายกว่างมทางเอง
ระหว่างทางโฮตานิแวะกดน้ำที่ตู้กดน้ำก่อน ผมสงสัยนิดๆ ว่าทำไมไม่มากดทีหลัง มัวแต่กดน้ำแบบนี้เดี๋ยวขนมปังเมล่อนอะไรนั่นก็หมดก่อนพอดี
สงสัยก็ส่วนสงสัย ผมไม่คิดจะรอจนเขากดน้ำเสร็จหรอก ผมเดินไปเรียกเขาเบาๆ และถามเขาถึงทางไปโรงอาหาร
โฮตานิตกใจนิดหน่อยที่ผมไปเรียกแต่พอเห็นว่าเป็นผมก็ตอบกลับมาปกติถึงเสียงจะเบาไปหน่อยก็เถอะ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีมือจากไหนไม่รู้ตบเข้าหลังศีรษะของโฮตานิจนเกือบหน้าคะมำ
“เฮ้ย ไอ้ขาใหญ่ ข้าวกลางวันของฉันได้หรือยัง?”
เจ้าคนที่ถามดูแล้วเป็นรุ่นพี่ปีสาม ส่วนคนที่ตบเหมือนจะเป็นปีสอง ผมมองโฮตานิที่รีบวิ่งไปโรงอาหารจนลืมน้ำที่เพิ่งกดออกมา
[‘จะว่าไงดีล่ะ น่าสงสารแฮะ’]
หันกลับมามองรุ่นพี่ที่ถามหาข้าวจากโฮตานิ เขาเองก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว เราจ้องกันครู่หนึ่งจนคนที่ยืนข้างๆ คงทนไม่ไหว
“มองอะไรของแก ไอ้เนิร์ด!!”
“เปล่า”
ผมตอบ ไม่ได้สนใจเขานักก่อนจะก้มหยิบน้ำในตู้กดแล้วเดินตามโฮตานิไปโรงอาหาร
ภาพของโรงอาหารโรงเรียนนี้ช่างแตกต่างจากโรงอาหารของโรงเรียนอาคิรุไดยิ่งนัก
มันใหญ่ ดูหรู ดูแพง ดูยังกับล็อบบี้โรงแรมยังไงยังงั้น
ผมเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับความรู้สึกตื่นตาตื่นใจในความอลังการของมัน พลางมองดูบรรดานักเรียนจำนวนมากเดินสวนกันไปมา
“พี่ชายยย…!!!”
เสียงใสดังมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปมองก็เห็นสาวน้อยหนึ่ง สาวแกลหนึ่ง สาวผมดำหนึ่ง และสาวร่าเริงอีกหนึ่ง
แต่เชื่อผมซิ อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเธอหลอกเชียว ยัยพวกนี้เนี่ยตัวแสบทั้งนั้น
“เพิ่งมาโรงเรียนวันแรกแต่รู้ทางมาโรงอาหารด้วย เก่งจังเลยนะคะรุ่นพี่”
“จ้าๆๆ”
“อย่าไปสนใจยูมิเลยค่ะ รุ่นพี่กินอะไรหรือยัง? มากินกับพวกเรามั้ย?”
“แน่นอน วันนี้พี่ชายบอกว่าจะเลี้ยงขนมแหละ”
“ฉันยังไม่รับปากเลยนะอันนะ”
“พี่มั่นใจเหรอที่พูดแบบนั้นน่ะ พวกฉันรู้แล้วนะว่าพี่อยู่ห้องไหน”
“ทำไมถึงรู้ไวขนาดนั้น…”
“ฝีมือเรย์โกะน่ะ”
“เรื่องของรุ่นพี่น่ะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันหรอกค่ะ”
“เธอทำฉันกลัวนะเรย์โกะ”
“ว่าแต่ทรงผมกับแว่นนี่มันอะไรกันคะรุ่นพี่ ยูมิไม่เข้าใจ”
“อ่อ อยากลองเปลี่ยนอิมเมจดูน่ะ เป็นไง? หล่อมะ?”
“ฮ่าๆๆ ไม่หล่อเลยค่า~~”
“มู่… เสียใจนะยูมิ~~”
“โอ๋ๆๆ มาๆ เดี๋ยวยูมิให้กอดน้าา”
“หยุดเลยยูมิ!!”
“เอ๋ อันนะหวงพี่ชายหรอ?”
“หวงไม่หวง ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ให้กอดย่ะ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่อากิกับเรย์โกะพารุ่นพี่ไปโน่นแล้วนะ”
“อ๊ะ บ้าจริง…”
“ฮิๆๆ อันนะซิสค่อนล่ะ~”
สุดท้ายก็กลายเป็นกลุ่มที่โหวกเหวกโวยวายกันห้าคนอยู่ในโรงอาหารท่ามกลางสายตาประชาชีที่มองเข้ามาด้วยความสนใจ
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ภาพเด็กเนิร์ดใส่แว่นเดินกับเด็กสาวสดใสพร้อมกันสี่คนเนี่ยคงไม่ใช่อะไรที่เห็นกันได้บ่อยๆ ในชีวิตจริงหรอก
หลังการทานอาหารกลางวันร่วมกันและถูกผลาญเงินในกระเป๋าตังค์ไปกับค่าขนม ทั้งสี่สาวก็พาผมเดินเที่ยวชมตึกของเหล่านักเรียนปีหนึ่ง
สำหรับนักเรียนปีสองส่วนใหญ่ของที่นี่ ตึกเรียนนี้ก็คงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำในหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่สำหรับผมที่เพิ่งเข้ามาแล้วนี่ถือเป็นการทัศนศึกษาที่ดีเลย
ห้องแรกที่มาคือห้องของเรย์โกะ ห้อง 4-4… ทาคาสึมะ เรย์โกะ สาวผมดำตามแบบกุลสตรีในอุดมคติ เธอมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารักมองแล้วให้ความรู้สึกคล้ายๆ ตุ๊กตา แต่ว่าเนื้อในนั้นแม่นี่เป็นเสือสาวที่อันตรายทั้งต่อตัวและหัวใจของบรรดาหนุ่มๆ สุดๆ โชคดีละนะที่ผมไม่โดนเธอเล็งเอาไว้น่ะ ไม่งั้นคงปวดหัวแย่
ห้องต่อมาคือห้อง 4-6 ฟูจิโมโต้ ยูมิ อยู่ห้องนี้ เด็กสาวคนนี้จัดว่าเป็นสาวแกลมาตั้งแต่ ม.ต้น เสื้อผ้า หน้า ผม เธอคนนี้เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกอย่าง ทำสุดชนิดที่ว่ากฎระเบียบให้ถึงตรงไหนเธอก็ไปถึงขอบตรงนั้น แถมเป็นสายเอกโทรเวิร์ตเต็มขั้น ผมไม่ค่อยถนัดรับมือกับการถึงเนื้อถึงตัวของเธอเท่าไร ถ้าอันนะอยู่ก็จะคอยเบรกให้ประจำ
ถัดไปเป็นห้อง 4-9 ห้องของยามาดะ อากิ เธอคนนี้สำหรับผมแล้วถือว่าปกติสุดในบรรดาเพื่อนสนิทของอันนะ เป็นเด็กร่าเริงสดใส นิสัยดีมาก เธอชอบมาอ้อนผมให้อารมณ์เหมือนมีน้องสาวคนเล็กอีกคน ส่วนคนโตคืออันนะ
และห้องสุดท้าย 4-12 ห้องเรียนของมานามิ อันนะ เด็กสาวที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มแต่กลับเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มซะงั้น ช่างตัวเล็กแต่ใจใหญ่เสียจริง
สี่สาวพาผมทัวร์จนครบ เดินดูมันทุกห้องเรียน แถมยังแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่ของพวกเธอด้วย กว่าจะปล่อยตัวผมกลับมาได้ ผมก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะชายที่เดินควงสี่สาวไปทั่วทั้งตึกเรียนชั้นปีหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
—
คาบบ่ายก็ยังคงเป็นคาบเรียนที่ง่วงไม่ต่างจากคาบสังคมก่อนกินข้าว ไม่ซิ… ง่วงกว่าเก่าอีก
โชคดีที่ผลบุญอันเกิดจากกุศลกรรมที่ทำกับโฮตานิไว้บังเกิดผลทันตา เขาจึงคอยเรียกผมเป็นระยะเมื่อเห็นว่าผมเริ่มนิ่งผิดปกติ
แล้ววันแรกก็ผ่านไปด้วยประการฉะนี้ โฮตานิเริ่มคุยกับผมนิดหน่อยเพราะผมเอาขวดน้ำที่เขาลืมมาคืนให้ตอนกลับมาเมื่อเที่ยง
ดูแล้วเขาเหมือนจะเป็นพวกขี้อายเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นพวกมืดมนอะไร บางทีอาจจะเป็นคนที่นิสัยดีเกินไปเลยถูกคนอื่นรังแก
หลังเก็บของเสร็จเรียบร้อยโฮตานิบอกลาผมแล้วรีบวิ่งออกจากห้องตามกลุ่มเพื่อน… รึเปล่า? ของเขาออกไปทันที ส่วนผมเองก็มีนัดที่ต้องไปต่อเลยส่งข้อความบอกอันนะให้กลับไปก่อนได้เลย
ระหว่างนั้นก็เข้าไปอ่านทวนข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อเที่ยงอีกรอบ
– [เย็นนี้ว่างมั้ย? อยู่คุยกันก่อนได้หรือเปล่า?] –
ก็เป็นข้อความสั้นๆ ง่ายๆ นี่แหละนะ แค่บังเอิญถูกส่งมาจากองค์หญิง บ่าวอย่างผมเลยขัดเสียไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่อยากขัดอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่กลับจากบ้านเธอเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นอกจากส่งข้อความคุยกันเล็กน้อยแล้วผมก็ยังไม่ได้คุยอะไรกับเธออีก
“เรื่องอะไรกันน้าถึงต้องนัดไปคุยกันหลังเลิกเรียน?”
คิดสงสัยพลางเก็บข้าวเก็บของตัวเองไปพลาง เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าคุณอาโออิมายืนรออยู่ข้างโต๊ะแล้ว
“ตามมาซิ”
[‘หา? ตามไปไหน? ไม่ใช่ว่าโอโตเมะเป็นคนนัดไว้เหรอ?’]
ผมหันไปมองทางโอโตเมะทันที สิ่งที่เห็นคือเธอมองผมอยู่ก่อน และเมื่อสายตาของเราประสานกันเธอก็พยักหน้าให้ อารมณ์ก็ประมาณว่า ‘เอาตามนั้น’
เอาตามไหนเล่าแม่คุณ…
ผมขมวดคิ้วกลับให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางคุณอาโออิที่ยืนรอผมอยู่ เฮ้ออ… ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องตามน้ำไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปจัดการกับโอโตเมะทีหลัง
[‘บังอาจมาหลอกนัดกันซะได้ หึๆ ไม่เจอกันนานใจกล้าขึ้นเยอะเลย’]
MANGA DISCUSSION