– อาคิยามะ เออิชิ –
ระเบียงทางเดินคลาคล่ำไปด้วยบรรดานักเรียนชายหญิงที่บ้างกำลังเดินไปเดินมา บ้างก็กำลังพูดคุยกันอยู่ ผมเดินผ่านพวกเขาเหล่านั้นไปโดยที่ไม่มีใครสนใจผมมากนัก มุ่งหน้าตรงไปยังห้องพักอาจารย์ที่เมื่อครั้งก่อนเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง
ผมเคาะประตูก่อนจะขออนุญาตเข้าไปข้างใน หลังจากแจ้งอาจารย์ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วเขาก็ชี้ไปทางอาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอสวมชุดเดรสกระโปรงยาวสีขาวหม่น นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานซึ่งตอนนี้หันมาทางผม
เท้าเธอเปลือยเปล่า ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ารองเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกถอดวางไว้ใต้โต๊ะทำงาน แล้วก็ดูเหมือนเท้าของเธอจะไม่ถึงพื้นเมื่อเธอนั่งในท่านี้
[‘หรือปลายเท้าจะถึงนะ?’]
ผมทักทายเธอในขณะที่คิดเรื่องนี้ในหัว จากนั้นก็แจ้งเธอว่าผมคือคนที่ย้ายมาใหม่และขอลาไปทำธุระเมื่อวานนี้ เธอร้องอ้อจากนั้นก็หันกลับไปเปิดแฟ้มเล็กน้อย
“อาคิยามะคุงซินะ”
[‘เสียงก็เหมือนเด็กแฮะ’]
“ครับ”
“ย้ายมาจากมัธยมปลายอาคิรุไดจริงเหรอ?”
“ครับ…”
ชิ้ง…
เหมือนมีเสียงเอฟเฟคนี้ดังในหัวเมื่ออาจารย์สาว เอ๊ะ…หรือเด็กสาว… อาา… อาจารย์ที่น่าจะเป็นที่อาจารย์ที่ปรึกษาของผมหันมาจับจ้องผมด้วยสายตาคมกริบ
[‘เหมือนอันนะตอนจ้องจับผิดเลยแฮะ’]
“เธอไม่ได้โกงข้อสอบใช่มั้ย?”
[‘หา… อะไรล่ะนั่น?’]
ผมงงจนไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที และเธอก็เหมือนจะเพิ่งรู้ว่าคำถามนี้ค่อนข้างอ่อนไหว เธอขอโทษผมก่อนจะบอกให้ผมนั่งรอแปบนึง เดี๋ยวไปห้องเรียนพร้อมกัน จากนั้นเธอก็ไปหาเก้าอี้มาให้ผมนั่งรอใกล้ๆ เธอ ตอนนั้นแหละที่ผมมั่นใจ
[‘ปลายเท้าไม่ถึงพื้นแฮะ’]
—
เสียงออดที่นี่ต่างจากที่โรงเรียนเก่าของผมแต่ก็ฟังรู้ว่านี่คือสัญญาณเข้าเรียนเหมือนกัน
ผมเดินตามอาจารย์สึบุซึกิ โฮฮารุ อาจารย์ที่ปรึกษาที่มีความสูงอยู่แต่ประมาณหน้าอกผมไปยังห้องเรียน 5-10
ระหว่างที่รอให้อาจารย์เข้าไปพูดแนะนำกับเพื่อนๆ ในห้องก่อนนั้น ผมที่ยืนรอข้างนอกก็จัดการล้วงแว่นที่เตรียมมาเมื่อเช้าออกมาใส่ จากนั้นก็ลูบผมไม่ให้ชี้ฟู จัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อยโดยเฉพาะเนกไทที่เบี้ยวอีกแล้ว
“เข้ามาได้เลย”
เสียงใสๆ ของอาจารย์สึบุซึกิดังออกมาจากในห้อง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงก้าวเท้าเปิดประตูห้องเรียนเข้าไป
ไม่เหมือนฉากเปิดตัวพระเอกในมังงะที่ทั้งห้องเงียบกริบและมองมาที่พระเอกเป็นสายตาเดียว
ผมสังเกตคราวๆ แล้วในห้องมีบางคนที่หันไปคุยกับเพื่อน บางคนเหม่อมองไปนอกหน้าต่างแบบที่ผมชอบทำ และบางคนก้มหน้ามองอะไรสักอย่างใต้โต๊ะ มีเสียงพูดคุยเบาๆ ให้พอได้ยินแต่ฟังไม่ออก จับใจความไม่ได้ว่าใครพูดอะไรกัน
ผมเดินเข้าไปยืนข้างอาจารย์สึบุซึกิที่ตอนนี้ยืนบนกล่องไม้ที่ถูกซ่อนไว้หลังโพเดียม ตอนนี้เองที่หลายๆ คนเริ่มมองมาที่ผม โดยเฉพาะสายตาจับจ้องที่มามองจากหลายๆ คนนั้นดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ
“ปีนี้ห้องเรารับนักเรียนย้ายเข้าใหม่สองคนซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี ครูอยากให้พวกเธอทำความรู้จักและสนิทสนมกันไว้ เอา นักเรียนใหม่ แนะนำตัวหน่อย”
“ครับ”
ผมตอบรับคำของอาจารย์จากนั้นก็เขียนชื่อตัวเองตัวใหญ่ๆ บนกระดาน ก่อนจะหันมาทักทายเพื่อนร่วมชั้นเรียนใหม่
“ผมชื่ออาคิยามะ เออิชิครับ เพิ่งย้ายกลับมาจากเมือง I งานอดิเรกคือการอ่านหนังสือครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
เสร็จสิ้นคำแนะนำตัวผมโค้งเล็กน้อยเป็นการทักทายแต่ทั้งห้องเงียบกริบ เงียบจนน่าตกใจ
อาจารย์สึบุซึกิกระแอมเล็กน้อยแล้วจึงบอกให้ผมไปนั่งแถวกลางหลังห้องติดกับเด็กใหม่อีกคนที่ย้ายมาเหมือนกัน
ผมไม่มีปัญหาเลยในการนั่งตรงนั้น ออกจะถูกใจด้วยซ้ำถ้าไม่มีสายตาจับจ้องชนิดที่รู้สึกได้มาจากโต๊ะที่อยู่ติดริมหน้าต่างซึ่งก็คือตำแหน่งถัดไปจากเด็กใหม่อีกคน
ระหว่างที่เดินไปยังที่นั่งก็รู้สึกได้ถึงสายตาอีกสามสี่คู่ที่มองตามมา แม้จะเดินผ่านมาแล้วก็ยังรู้สึกได้ว่ามันทิ่มแทงข้างหลังอยู่
[‘อยู่กันครบเลยไม่ใช่หรือไง?’]
ตอนแรกว่าจะมาเซอร์ไพรส์เขา ตอนนี้เจอเซอร์ไพรส์กว่ากลับทำเอาผมเกร็งนิดหน่อยแต่พยายามเก็บอาการไว้
ผมนั่งลงและทักทายเด็กนักเรียนที่ย้ายมาใหม่เหมือนผม เขาแนะนำตัวว่าชื่อโฮตานิ โซเฮย์ ผมคุ้นๆ หน้าเขาแต่นึกไม่ออกทันทีว่าเคยเจอที่ไหน
จากนั้นก็ชะโงกหน้าไปทักทายคุณอาโออิเล็กน้อย เธอพยักหน้ารับง่ายๆ แล้วจึงหันกลับไปมองกระดาน ผมเลยหันไปทักทายเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ผมอีกคน แต่เธอไม่ยอมพูดกับผมซะงั้น
แล้วช่วงเวลาโฮมรูมก็จบลง อาจารย์สึบุซิกึออกจากห้องเรียนไปและบรรยากาศในห้องเรียนก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย บางคนหันไปคุยกับเพื่อน บางคนเตรียมของสำหรับคาบเรียนถัดไป และหลายคนหันมามองทางผม
แน่นอนว่าผมทำเป็นมึนไม่รู้ไม่ชี้รื้อค้นกระเป๋าตัวเองหยิบโน่นหยิบนี่ขึ้นมา ทำตัวราวกับว่าเป็นพวกเด็กเรียนที่ขยันขันแข็งเสียเต็มที่
—
– โอโตเมะ อามายะ –
“นั่งที่ได้แล้วค่ะ ออดดังไปแล้วนะ”
ท่ามกลางความอลหม่านเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอาจารย์จะมาเร็วขนาดนี้ เพื่อนร่วมห้องบางคนของฉันถึงกับเดินชนโต๊ะของเพื่อนจนต้องขอโทษขอโพยกันทั้งที่หน้าเหยเก
ฉันโชคดีที่ไม่ได้เป็นผู้ประสบภัยลักษณะนั้นเพราะเดินมากลับมานั่งที่ของตนเองทันทีที่เสียงสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้น กำลังเช็กความพร้อมของตัวเองสำหรับวิชาแรกพลางบ่นในใจนิดหน่อยที่เมื่อกี้ไม่ได้คุยเรื่องของอาคิยามะกับเพื่อนๆ เลย ทันใดนั้นหูก็ได้ยินประกาศแปลกใหม่จากอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“วันนี้ห้องเราจะมีเพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาอีกหนึ่งคน เมื่อวานเขาติดธุระเลยไม่ได้มาโรงเรียน อยากให้ทุกคนช่วยต้อนรับเขาหน่อย”
[‘เอ๊ะ? นักเรียนย้ายมาใหม่อีกคนเหรอ? ไม่ใช่ว่ามีแค่คนเดียวหรอกเหรอเนี่ย? ไม่เห็นยักกะรู้เรื่องเลย’]
ฉันละความสนใจจากอุปกรณ์การเรียนของตัวเองชั่วคราว มองไปยังประตูทางเข้าห้องเรียนที่เปิดออกหลังจากอาจารย์สึบุซึกิเรียกนักเรียนใหม่คนนั้นให้เข้ามา
[‘เมื่อวานได้นักเรียนนักเลงมาคนนึง วันนี้หวังว่าจะเป็นนักเรียนแบบปกติบ้างนะ’]
“เอ๊ะ?!”
เผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ดีที่มันไม่ได้ดังมาก คนที่หันมามองจึงมีแค่เพื่อนที่นั่งข้างๆ กัน จากนั้นจึงเป็นพวกเมกุมิและอาโอะจัง จริงๆ เซริก็น่าจะด้วย
แต่ช่างเรื่องนั้นก่อน เรื่องที่สำคัญและชวนให้ตกใจกำลังดำเนินไปอยู่หน้าชั้นเรียนของฉัน
เด็กชายร่างสูงในชุดสูทเบลเซอร์สีกรมอันเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะกำลังยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์สึบุซึกิ เขาสูงมากจนกระทั่งอาจารย์ที่ยืนอยู่บนลังไม้หลังโพเดียมยังดูเตี้ยกว่า
เส้นผมที่ยาวและเรียบแปล้ราวกับรีดมาปกปิดหน้าผากและแว่นตาที่เขาสวมอยู่เกือบครึ่ง แต่ไม่อาจปกปิดกรามคมและสีผิวเข้มของเขาได้ กลายเป็นสองสิ่งที่ดูขัดแย้งกันอยู่ในตัว
จะเป็นเด็กสุดเนิร์ดที่ให้ความรู้สึกเป็นหนอนหนังสือสุดฉลาดแต่ร่างกายอ่อนแอก็ไม่ใช่ จะดูเป็นพวกสายเอกโทรเวิร์ตนักกีฬาบ้าปาร์ตี้ก็ไม่ใช่อีก
[‘แต่งตัวอะไรของหมอนี่? เมื่อวานที่เจอกันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้สักหน่อย แต่ไหงวันนี้กลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว’]
ฉันสับสนนิดหน่อยกับรูปลักษณ์แปลกใหม่ของอาคิยามะในวันนี้ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ตกใจตั้งแต่แรก
[‘ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้!?’]
อยากจะตะโกนถามอาคิยามะที่กำลังเขียนชื่อตัวเองบนกระดานแต่สามัญสำนึกห้ามเอาไว้ได้ทันเลยต้องนั่งจ้องเขาเงียบๆ แทน
[‘ชื่อเขาเขียนแบบนี้เองเหรอ? อืมม… ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมหรือเปล่า?’]
กำลังคิดเพลินๆ พร้อมกับฟังอาคิยามะแนะนำตัวไปเรื่อยสมองก็ไปเอ๊ะกับเหตุการณ์ที่เมื่อคืนนี้คุยกันว่าเจอกันวันนี้ หรือว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ห้องเดียวกับฉันอยู่ก่อนแล้ว
[‘งั้นแล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ?’]
ความสงสัยทำให้ฉันจ้องอาคิยามะแบบจับผิด แต่แทนที่จะทำให้เขาจะสะดุ้งตกใจ ฉันกลับจะหลุดขำออกมาแทน
[‘ใครสอนให้แต่งตัวแบบนี้เนี่ย? เสียของชะมัด’]
ฉันมองตามอาคิยามะที่เดินกลับมานั่งที่ของตัวเองซึ่งเป็นที่นั่งข้างโฮตานิอันเป็นนักเรียนใหม่เหมือนกัน นั่นเท่ากับว่าเขาอยู่ถัดจากเซริไปสองที่นั่ง
เห็นเขาทักทายโฮตานิเสร็จแล้วก็เหมือนจะหันไปทักทายเซริ ก่อนที่เซริจะหันกลับมามองฉัน จากนั้นจึงได้ยินเสียงเมกุมิที่หันมาถามเบาๆ อ่านปากออกประมาณว่า ‘ใช่มั้ย?’ ฉันพยักหน้าตอบกลับไป ก่อนจะหันไปยิ้มเล็กน้อยให้อาโอะจังที่มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่เหมือนมีเรื่องกังวลในใจ แล้วสุดท้ายก็หันไปมองข้างหลังอีกรอบ
อาคิยามะกำลังรื้อค้นอะไรสักอย่างในกระเป๋าไม่ได้สนใจเสียงหรือสายตารอบข้างรวมถึงฉันด้วย ถึงจะไม่ค่อยพอใจที่ทักทายเซริได้แต่ไม่ทักทายฉันแต่ก็พอเข้าใจว่าที่นั่งมันไกลกัน
[‘แต่ให้ตายเถอะ แค่หันมามองพยักหน้าให้กันบ้างไม่ได้หรือไงยะ!!’]
บ่นเขาในใจแต่เขาก็ยังไม่รู้ เอออ… รู้ก็แปลกแหละ ฉันตัดสินใจโยนอาคิยามะตัวจิ๋วในหัวออกไปและเตรียมตัวเรียนเนื่องจากอาจารย์เข้ามาสอนแล้ว
แต่คนเราก็แปลก ยิ่งบอกว่าอย่าไปคิดถึงนะ สมองเรากลับยิ่งทำสิ่งตรงข้าม อย่างฉันที่บอกตัวเองว่าอย่าไปสนใจเขานะ แต่ว่าแค่ครึ่งคาบฉันหันไปมองเขาแล้ว 3 รอบ เฉลี่ยแล้วหันไปมองทุก 10 นาทีเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันทำนี้ไม่ได้เล็ดลอดสายตาของอาคิยามะไปได้หรอก เขาที่นั่งข้างหลังย่อมเห็นฉันที่นั่งข้างหน้าได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเดี๋ยวหัน เดี๋ยวหัน แบบนี้ ยังไงก็ต้องเห็น และในการหันครั้งที่ 4 ฉันก็ได้สบตากับเขาอย่างที่ตั้งใจ
[‘ไม่ๆๆ … ไม่ได้ตั้งใจ…’]
แต่อาคิยามะน่ะตั้งใจแน่ เขาตั้งศอกซ้ายบนโต๊ะเอาหน้าพิงกำปั้นของตัวเองแล้วยิ้มให้ฉัน ปากขมุบขมิบคำที่น่าจะเป็น ‘อรุณสวัสดิ์’ ล่ะมั้งออกมา
[‘ทำท่าแบบนั้นแล้วหล่อตายล่ะ’]
เกือบจะหลุดขำออกมาแล้วแต่เหมือนอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องจะรู้สึกถึงการโต้ตอบของเราทั้งคู่เสียก่อน
“เธอ นักเรียนใหม่…”
“ครับ” / “ครับ”
[‘เอ้า… ขานพร้อมกันซะงั้น’]
“ไม่ใช่เธอโฮตานิ… เธอน่ะ อาคิ… ยามะ”
“ครับ?”
“อยากตอบคำถามข้อนี้มั้ย?”
“อ่าาา… ไม่ครับ”
“หืมมม…”
“อ่าาา… งั้นตอบก็ได้ครับ”
“เอ้า… ไหนว่ามาซิ”
“ขอโทษครับ อาจารย์ถามว่าอะไรนะครับ?”
สิ้นเสียงอาคิยามะทั้งห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงหลุดหัวเราะเบาๆ ของฉันที่เล็ดลอดออกมาก่อน แต่เพราะทั้งห้องเงียบ เสียงมันเลยดูเหมือนดัง หลังจากนั้นเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ จึงตามมา
“เงียบบบ… เงียบหน่อย เธอน่ะ โอโตเมะซินะ ไหนช่วยเพื่อนตอบคำถามหน่อยซิ”
“ค่ะ…”
MANGA DISCUSSION