บทที่ 219 ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกสาวสกุลจ้าว
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?” หลี่เยว่หานเหลือบมองเวินเทียนเหล่ย “ข้าเคยพบหมอฟางเพียงสองครั้ง ข้าจะสมรู้ร่วมคิดกับเขาได้อย่างไร อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เดิมทีคือการลงมืออย่างกะทันหันของนางเฉา ดังนั้นข้าจะคาดเดาได้อย่างไร”
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เวินเทียนเหล่ยถามด้วยความกังวล
หลี่เยว่หานไม่รู้ว่าเวินเทียนเหล่ยรู้ความลับของลัญจกรหยกหรือไม่ จึงไม่อาจบอกตามตรงได้ เธอทำได้เพียงพึมพำ “ข้ารู้เคล็ดลับที่สามารถปกปิดสภาพชีพจรที่แท้จริงได้ เว้นแต่คนผู้นั้นจะอายุเกินร้อยปี ฝึกฝนการแพทย์มาหลายปีจึงจะสังเกตเห็น ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์จะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ไม่อาจค้นพบได้”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น เวินเทียนเหล่ยก็มองหลี่เยว่หานด้วยความสงสัย “มีสิ่งที่ทรงพลังเช่นนี้ด้วยหรือ?”
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เชื่อ แต่เมื่อลองครุ่นคิด เนื่องจากหลี่เยว่หานสามารถแกล้งตาย ตอนออกจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นพร้อมกับหลิงซีได้ ก็แสดงว่าต้องมีเคล็ดลับบางอย่างที่ตนเองไม่รู้จริง ๆ
แม้ว่าเวินเทียนเหล่ยจะอยากรู้อยากเห็นมาก แต่เขาก็มีสติ ไม่อยากสอดรู้สอดเห็นความลับของคนอื่น เขาจึงพยายามระงับความอยากรู้อยากเห็น และไม่ได้ถามคำถามต่อไป
“เมื่อไปถึงบ้านแล้ว ข้าจะทำสูตรอาหารแบบใหม่ให้ท่านลองชิม” หลี่เยว่หานคิดแต่เรื่องหม้อไฟ แม้ว่าที่บ้านจะไม่มีหม้อทองแดงสำหรับทำหม้อไฟที่เหมาะสม แต่ก็ยังพอมีหม้อเหล็กและเตา ทำให้พอจะทำหม้อไฟได้อยู่
“ในใจเจ้าไม่คิดเรื่องอื่นใดนอกจากการหาเงินหรือ?” เวินเทียนเหล่ยอดถามไม่ได้
“ยังมีเรื่องลูกอีกสองคน” หลี่เยว่หานพูดจบ ก็เปิดม่านรถม้าเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบ้านอยู่ไม่ไกลแล้ว เธอจึงรีบส่งหลิงซีเข้าไปในอ้อมแขนของเวินเทียนเหล่ย แล้วโบกมือให้มู่ชวนนอนลงด้วย จากนั้นมองไปที่เวินเทียนเหล่ย แล้วพูดว่า “ต้องแสดงให้เต็มที่ ท่านอย่ามีพิรุธ!”
หลังจากพูดจบ หลี่เยว่หานไม่รอให้เวินเทียนเหล่ยตอบ เธอหลับตาลง แล้วสีหน้าที่สดใสก็จางหายไปในทันที ทำให้ใบหน้าดูซีดเผือดลงกว่าเดิมมาก
เมื่อเห็นดังนั้น เวินเทียนเหล่ยก็ทั้งโกรธทั้งขำ ไม่รู้ว่านางใช้วิธีใด แต่เวินเทียนเหล่ยเดาว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเมิ่งฉีฮ่วน
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ รถม้าก็มาจอดที่หน้าบ้านของหลี่เยว่หาน
เวินเทียนเหล่ยกระโดดลงจากรถ โดยอุ้มหลิงซีไว้ในอ้อมแขน เสี่ยวหลิงซีหยิบกุญแจบ้านออกจากแขนเสื้อ แล้วเปิดประตู จากนั้นเวินเทียนเหล่ยก็สั่งให้คนรับใช้ ค่อย ๆ ยกหลี่เยว่หานและมู่ชวนออกจากรถม้า พาพวกเขาเข้าไปข้างในบ้าน
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของพวกเขา ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ได้ไปตลาดตื่นตระหนก ทุกคนเห็นว่าหลี่เยว่หานถูกหามออกจากรถม้า ในสภาพปางตาย จึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มพูด
“ข้าเพิ่งได้ยินมาจากตรงทางเข้าหมู่บ้านว่านางเฉาผู้หญิงปากร้ายของตระกูลจ้าว เป็นคนทำร้ายน้องหานเยว่ ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก ก่อนหน้านี้หานเยว่ไม่เคยยอมใคร ทั้งทางกายและวาจา!”
“ถุย เจ้าไม่เห็นหรือว่านางเฉาตัวร้ายนั่นตัวใหญ่เพียงใด และน้องหานเยว่มีขนาดตัวอย่างไร เพียงแค่นางเฉานั่งบนตักของน้องหานเยว่ ขาของน้องหานเยว่ก็หักได้แล้ว นับประสาอะไรกับการลงไม้ลงมือทำร้าย”
“เหตุใดพวกนางทำรุนแรงถึงเพียงนั้น? แม้ว่าน้องหานเยว่จะอารมณ์ไม่ดี แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะริเริ่มสร้างปัญหาก่อนเป็นแน่”
“นี่ เจ้ายังไม่รู้สินะ ไม่ใช่เพราะลูกสาวของตระกูลจ้าวหรือ นางเฉามักจะเอาใจลูกสาวตัวเองเสมอ แต่หานเยว่ปฏิเสธที่จะช่วยจ้าวซินเอ๋อร์ขายตัวอย่างงานปัก นางจึงอาฆาตแค้นขึ้นมา”
……
เมื่อมาถึงจุดนี้ จ้าวซินเอ๋อร์ก็เดินหอบมาถึงประตูบ้านของหลี่เยว่หาน เมื่อนางได้ยินทุกคนพูดว่านางทำร้ายแม่ตัวเอง นางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าบึ้งตึง แล้วมองชาวบ้าน ก่อนพูดว่า “ข้าได้ตัดสัมพันธ์พ่อลูกกับจ้าวต้าเป่าแล้ว ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้ดึงข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกหากจะคุยเรื่องครอบครัวของพวกเขา!”
พูดจบ นางก็บุกเข้าไปในบ้านของหลี่เยว่หาน
“โอ้ รนหาที่ตายจริง ๆ แม่ของนางถูกเจ้าหน้าที่จับมัดไว้ เพราะนางเองแท้ ๆ ให้ตายเถอะ จ้าวซินเอ๋อร์ต้องการตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่ของนางในตอนนี้! จุ๊ ๆ ๆ ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ไม่ต่างจากการเลี้ยงหมาป่าตาขาวจอมเนรคุณ!”
“ใช่หรือไม่ล่ะ นางเฉาเอาอกเอาใจนางมาก แล้วตอนนี้… จุ๊ ๆ ๆ…”
……
ตอนนี้จ้าวซินเอ๋อร์สนใจเพียงเวินเทียนเหล่ยเท่านั้น นางไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับนาง
ทันทีที่นางเข้าไปในประตูบ้านของหลี่เยว่หาน จ้าวซินเอ๋อร์ก็เห็นชายหนุ่มสองคนเฝ้าประตูห้อง นางเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเห็นเวินเทียนเหล่ยนั่งอยู่หน้าเตียงของหลี่เยว่หาน โดยอุ้มหลิงซีไว้ในอ้อมแขนของเขา ส่วนมู่ชวนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว
“คุณชายเวิน!” จ้าวซินเอ๋อร์ถูกขวางอยู่นอกประตู ไม่อาจเข้าไปได้ นางจึงตะโกนเสียงดัง “ชายหญิงล้วนแตกต่าง ให้ข้าดูแลพี่หานเองเถอะเจ้าค่ะ!”
“…” เวินเทียนเหล่ยหันไปมองจ้าวซินเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกลำบากใจ
เหตุใดหญิงสาวคนนี้ถึงได้ไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้?
เวินเทียนเหล่ยไม่รู้ว่าจ้าวซินเอ๋อร์พูดขู่ว่าจะตัดสัมพันธ์กับครอบครัวจ้าว หากเขาได้ยิน เขาจะยกนิ้วให้จ้าวซินเอ๋อร์แน่นอน
คนที่ทำตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นคนที่โง่เขลายิ่งนัก
“คุณชายเวิน?” เมื่อเห็นเวินเทียนเหล่ยมองนางโดยไม่เอ่ยคำใด จ้าวซินเอ๋อร์ก็อดหน้าแดงด้วยความเขินอายไม่ได้ ท่าทางของนางที่อยู่หน้าประตูก็ขวยเขิน “เหตุใดท่านถึงมองข้าเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?”
“อยากอาเจียน” หลังจากที่เวินเทียนเหล่ยพูดสองคำนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา เขาก็หันไปจ้องมองหลี่เยว่หานที่ “หมดสติ” ต่อไป
จ้าวซินเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเวินเทียนเหล่ยจะพูดเช่นนี้ ไม่ว่านางจะไร้ยางอายเพียงใด นางก็ยังหน้าแดง อับอายเกินกว่าจะพูดต่อ
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ฉงหยาง เด็กหนุ่มรับใช้ของเวินเทียนเหล่ยก็เข้ามาในบ้านของหลี่เยว่หาน พร้อมกระเป๋าใบใหญ่และใบเล็ก เมื่อเห็นจ้าวซินเอ๋อร์นั่งอยู่ใต้ชายคาใกล้ ๆ เขาก็ไม่ได้รีบร้อน เขาบอกให้ใครสักคนมายกของไป แล้วตะโกนเข้าไปในห้อง “คุณชาย ของมีค่าทั้งหมดของตระกูลจ้าว ได้ถูกขนย้ายมาที่นี่แล้วขอรับ ข้าน้อยลองคำนวณคร่าว ๆ แล้วพบว่า นอกจากเงินยี่สิบห้าตำลึงแล้ว ก็มีสิ่งของที่สามารถขายได้ในราคาที่สูง น่าจะได้เพียงสิบตำลึงเท่านั้นขอรับ”
ในเวลานี้ จ้าวต้าเป่าก็มาถึงด้านนอกลานบ้านของหลี่เยว่หานด้วย แต่เขาไม่ได้เข้าไป
ในเวลานี้ เมื่อเขาเห็นฉงหยางขว้างสิ่งของลงบนพื้น ใบหน้าของเขาก็บูดบึ้ง เมื่อเขาเห็นจ้าวซินเอ๋อร์ในลานบ้าน สายตาของเขายิ่งดุร้ายยิ่งขึ้น
“ไปบอกสามีของนางเฉาให้รีบรวบรวมเงินมาโดยเร็วที่สุด ประเดี๋ยวหมอจะมาถึงแล้ว เขาจะต้องจ่ายเงิน” เวินเทียนเหล่ยไม่แสดงสีหน้า แต่เสียงของเขาดังมาจากข้างใน
“ขอรับ!” หลังจากที่ฉงหยางรับคำสั่งแล้ว เขาก็เดินไปที่ประตู มองไปยังจ้าวต้าเป่าที่มีใบหน้ามืดมนราวกับก้นหม้อ แล้วพูดว่า “เจ้าคงได้ยินสิ่งที่คุณชายของข้าพูดแล้ว หากไม่อาจรวบรวมเงินมาเป็นค่ารักษาพยาบาล และชดเชยค่าเสียหายให้พี่สะใภ้ได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะไปรายงานที่ว่าการอำเภอด้วยตนเอง แล้วทั้งครอบครัวของเจ้าจะถูกจับกุม และส่งตัวไปกองทัพ”
หลังจากได้ยินดังนั้น ก่อนที่จ้าวต้าเป่าจะทันได้โต้ตอบ จ้าวซินเอ๋อร์ที่อยู่ลานบ้านก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “พี่ชาย ข้าไม่ใช่สมาชิกของตระกูลจ้าวอีกต่อไป อย่านับข้าไปรวมในหมู่พวกเขาด้วย”
“นังลูกทรพี!” เดิมทีจ้าวต้าเป่ารู้สึกจิตใจกดดันมาก เมื่อเผชิญหน้ากับฉงหยาง ยิ่งได้ยินฉงหยางบอกว่า หากพวกเขาหาเงินมาได้ไม่ครบ ทั้งครอบครัวของเขาจะถูกจับกุม แล้วส่งตัวไปยังกองทัพ เขาก็ยิ่งโกรธมากแล้ว เมื่อได้ยินลูกสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือจนโต พูดเช่นนี้ในที่สาธารณะ จ้าวต้าเป่าก็โกรธมากจนแทบกระอักเลือด
“หมอมาแล้ว!” ในที่สุดชายหนุ่มที่ไปตามหมอมาจากต่างอำเภอก็กลับมา ก่อนที่พ่อกับลูกสาวสกุลจ้าวจะโวยวายก่อกวน เขาก็รีบผลักออกไปก่อน แล้วพาชายชราที่มีหนวดเคราและผมสีขาว ปักปิ่นสองอันบนศีรษะ เดินผ่านฝูงชนเข้าไปหาฉงหยาง
MANGA DISCUSSION