บทที่ 215 นังเฒ่าไร้ยางอาย
หลังจากเคี่ยวซ้ำซุปทั้งคืนจนกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วหมู่บ้านจางหนิง หลายคนอยากรู้ว่าหลี่เยว่หานกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าหลี่เยว่หานเพียงกล่าวว่าใช้ซี่โครงหมูมาเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้มู่ชวน
เดิมทีพวกเขาอยากจะขอลองชิมสักอึกสองอึก แต่เมื่อได้ยินว่านางทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของลูกชายก็อับอายเกินกว่าจะเอ่ยปากขอ
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และทุกคนต่างยกย่องหญิงม่ายตัวน้อยคนนี้ที่นางเต็มใจจ่ายเงินเพื่อดูแลลูก ๆ ของตนเอง
หลี่เยว่หานไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จัดการนึ่งข้าวในหม้อดินยามเที่ยง ตักน้ำซุปข้นออกมาผสมกับข้าว แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำซุปในหม้อจะเริ่มเข้มข้นขึ้นจนเห็นเป็นสีขาวขุ่น
ตกบ่ายหลี่เยว่หานพบว่าจวนจะได้ที่แล้วจึงรีบเทน้ำซุปใส่ลงไปในหม้อดิน จัดแจงตั้งไฟแรงและตักน้ำมันวัวออกมาหนึ่งช้อนเต็ม เทเครื่องเทศใส่ลงไปในหม้อจนเกิดกลิ่นหอมฟุ้ง จากนั้นจึงนำกระดูกวัวใส่กลับลงไปในหม้อน้ำซุปอีกครั้ง เติมน้ำแร่ลงไปในหม้อหนึ่งกระบวย ต้มจนเลือดและเอาฟืนออกครึ่งหนึ่ง
ซุปกระดูกแกะเกือบจะได้ที่แล้ว ยกเว้นพวกเครื่องเทศที่ต้องใส่เพิ่มอีกสองเท่า แต่ยังต้องไม่เติมพริกลงไป
หลังจากนั้นหลี่เยว่หานก็หยิบหม้อดินสะอาดออกมาอีกใบ เธอเทน้ำมันวัวลงไปและรอจนกระทั่งเดือด จึงใส่พริกสับและเครื่องเทศอื่น ๆ ผัดคลุกเคล้ากันจนส่งกลิ่นหอม
กระทั่งเครื่องเทศทั้งหมดกลายเป็นสีดำ หลี่เยว่หานจึงค่อย ๆ ขูดเครื่องเทศออกทีละช้อน ใส่ก้อนเครื่องเทศลงไปในน้ำเย็นและรอให้มันแข็งตัว
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายในหมู่บ้านก็แทบจะรับประทานอาหารกันไม่ลง…
หลี่เยว่หานใช้เวลาสามวันในการปรุงน้ำซุปหม้อไฟทั้งสองชนิด และผู้คนในหมู่บ้านจางหนิงก็เพลิดเพลินเป็นเวลาทั้งสามวันเช่นกัน จนกระทั่งหลี่เยว่หานปิดหม้อ ในที่สุดทุกคนในหมู่บ้านก็ไม่ต้องสูดดมกลิ่นหอมจนน้ำลายไหลอีกต่อไป…
เพียงชั่วพริบตาเดียววันจ่ายตลาดก็มาถึงอีกครั้ง หลี่เยว่หานใส่หม้อดินเผาขนาดใหญ่สองใบลงไปในตะกร้าชนิดพิเศษ จากนั้นจึงแบกตะกร้าที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อสองวันก่อนพาเด็กทั้งสองไปขึ้นเกวียนท่านอาหรงและมุ่งหน้าไปยังอำเภอหวาซี
“จิ๊ ๆ น้องหานเยว่ เมื่อสองสามวันก่อนทำอันใดอยู่หรือ เห็นกลิ่นหอมฟุ้งทุกวันเลย” ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้โจวจะอาศัยอยู่ข้างบ้านหลี่เยว่หาน แต่โดยปกติแล้วหลี่เยว่หานไม่ค่อยต้อนรับแขกนัก นอกจากนี้นางยังต้องแบกลูกน้อยไว้บนหลังขณะทำซุปหม้อไฟ ดังนั้นแม้แต่พี่สะใภ้โจวเองก็ไม่รู้ว่าหลี่เยว่หานทำอะไร
“เฮ้อ ก็เพราะว่ามู่โทวน่ะสิ เจ้าลูกคนนี้ออกเดินทางหลายเดือนเพื่อกลับมาหาข้า ต้องตากลมตากแดดอยู่กลางแจ้ง ทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ข้าจึงตั้งใจเคี่ยวซุปกระดูกหมูให้เขาอยู่หลายวัน ดื่มแล้วจะได้ตัวสูง ๆ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ทุกคนถึงกับมองหน้าหลี่เยว่หานด้วยความคลางแคลงใจ โดยธรรมดาแล้วพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของหลี่เยว่หาน
ทว่าเมื่อหันกลับมามองลูกชายที่ผอมแห้งแรงน้อย เขาตัวไม่สูงนักหากเปรียบเทียบกับบรรดาเพื่อนฝูง ในฐานะมารดานางคงจะทุกข์ใจ จึงกัดฟันกำเงินไปซื้อกระดูกหมูสองโครง
คราวเมื่อย้อนคิดถึงสภาพของมู่ชวนที่มาถึงหมู่บ้านในช่วงแรก ใบหน้าของเขาผอมสูบ ดูไม่มีแรงกำลังวังชา แต่พอมาดูวันนี้ ใบหน้าของเด็กน้อยสดใสขึ้นมามาก จึงทำให้พวกเขาเชื่อคำพูดของหลี่เยว่หาน
“แม่ม่ายหานเต็มใจใช้เงินเลี้ยงดูลูกจริง ๆ สินะ” จู่ ๆ ใครบางคนก็กล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนเงียบไปในทันที
ใครกันจะกล้าเรียกแม่ม่ายต่อหน้าหญิงม่าย… นอกจากนี้ ตั้งแต่หลี่เยว่หานมาถึงหมู่บ้านก็ไม่มีใครก่อเรื่องมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เธอช่วยขับไล่ตระกูลฉางและยังช่วยวังหลานหางาน ทุกคนเคยรังเกียจที่หญิงม่ายตระกูลฉางกับตระกูลข่งทำเรื่องสกปรก ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกพวกนางว่า ‘แม่ม่าย’
ทว่าหลี่เยว่หานกลับแตกต่างออกไป
“ฮ่าฮ่า” หลี่เยว่หานหัวเราะแห้ง ๆ ขณะที่ภายในใจกำลังพึงรำลึกถึงฉีต้าจ้วงที่ไม่มีอยู่จริงอย่างเงียบ ๆ ด้วยใบหน้าที่มืดมนลง “บางคนมีพ่อแม่แต่ก็ไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดู ทำตัวปากสุนัขที่เต็มไปด้วยอุจจาระ มีปากทั้งทีก็ไม่รู้จักพูดจาให้เหมาะสม เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไปวัน ๆ”
ไม่ว่าพวกเขาจะน่ารังเกียจแค่ไหน แต่หลี่เยว่หานจะทำตัวไร้ความปรานีทันทีเมื่อต้องสาปแช่งผู้คน ดังนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์เรื่องงานปักก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าสร้างปัญหาให้หลี่เยว่หาน และคนที่กล่าวประโยคนั้นในวันนี้คือนางเฉาลูกสะใภ้ตระกูลจ้าว แม่ของจ้าวซินเอ๋อร์
หลังจากที่ได้ยินเรื่องของจ้าวซินเอ๋อร์ หลี่เยว่หานรู้สึกไม่พอใจในตัวนางเฉามาก ยิ่งไปกว่านั้นวันนั้นเนี่ยเตอเป่าเป็นคนไปช่วยจ้าวซินเอ๋อร์ออกมา จึงมีข่าวลือในหมู่บ้านว่าทั้งสองคนแอบพลอดรักกันเป็นการส่วนตัว จ้าวซินเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นจึงกล่าวต่อสาธารณชนว่านางจะกตัญญูต่อบิดามารดาที่บ้าน และจะไม่แต่งงานจนกว่าจะอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์
หากเป็นแม่หญิงประพฤติตนงามก็สมควรแก่เวลาที่จะพูดเรื่องแต่งงาน แต่ในใจนางเฉากลับคิดว่าหากหลี่เยว่หานช่วยบุตรสาวตน เนี่ยเตอเป่าก็จะไม่มาทำให้ชื่อเสียงของจ้าวซินเอ๋อร์มัวหมอง ตอนนี้ใช้เวลาอยู่ในบ้านตลอดทั้งปีก็ดีแล้ว ไม่มีแม่สื่อคนไหนกล้ามาทาบทามให้ไปแต่งงานอีก แต่ถ้าอยากจะแต่งงานก็ควรให้แม่เฒ่ามาสู่ขอ
ดังนั้น นางเฉาจึงเกลียดชังหลี่เยว่หานมาก นางคิดว่าการที่จ้าวซินเอ๋อร์หลอกใช้เนี่ยเตอเป่าเป็นเครื่องมือในวันนั้นไม่ผิดอะไร ในความคิดของนาง เนี่ยเตอเป่าก็เป็นแค่เศษเดนคนหนึ่งที่มีความปรารถนาต่อลูกสาวของนางจึงยินดีเข้ามาให้ความช่วยเหลือ รวมถึงนั่นคงเป็นความปรารถนาของหลี่เยว่หานเช่นกัน
“แม่ม่ายก็คือแม่ม่าย บั้นท้ายของเจ้าไม่สะอาดแล้ว ปากก็ยังโสมมอีก” นางเฉาตอบกลับด้วยความโกรธ
หลี่เยว่หานจำได้ว่านางเป็นแม่ของจ้าวซินเอ๋อร์ หลังจากคิดทบทวนเรื่องน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันที และไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคือง เพียงแต่ยิ้มเบา ๆ “ข้าก็คิดว่าใคร ที่แท้ก็แม่ของจ้าวซินเอ๋อร์นี่เอง ได้ยินมาว่าแม่สื่อหลายคนบุกไปขอทาบทามซินเอ๋อร์มาแต่งงานถึงหน้าบ้านตระกูลจ้าว แต่แม่ของซินเอ๋อร์เอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว ตอนนี้คงอยากจะเก็บสาวงามบานสะพรั่งไว้ข้างกายแล้วรอให้แก่หงำเหงือกก่อนสินะ จุ๊ ๆ ๆ น่าเสียดายจัง”
หากกล่าวถึงการทะเลาะวิวาท ไม่สำคัญว่าตนจะพูดจารุนแรงหรือหยาบคาบแค่ไหน สิ่งสำคัญคือตนสามารถกระตุ้นอารมณ์โกรธของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก
สำหรับนางเฉาแล้ว ตอนนี้จ้าวซินเอ๋อร์คือจุดอ่อนที่เจ็บปวดที่สุดของนาง
หลังจากที่หลี่เยว่หานกล่าวจบ นางเฉาก็อุทานว่า ‘โอ้’ “เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร? หากไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เต็มใจช่วยซินเอ๋อรขายงานปัก เนี่ยเตอเป่าจะฉวยโอกาสนี้มาทำลายชื่อเสียงของซินเอ๋อร์หรือ!”
“เจ้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นแม่ของซินเอ๋อร์ แล้วเหตุใดจึงไม่ช่วยนางขายงานปักเล่า?” หลี่เยว่หานมองดูนางเฉา “ข้านึกว่าแม่ของจ้าวซินเอ๋อร์ตายไปแล้วเสียอีก แต่นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ? เจ้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?”
“นังเด็กเมื่อวานซืน วันนี้ข้าจะฉีกปากเจ้าออกจากกันให้คอยดู!” นางเฉาโมโหมากจนควันออกหู ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่รถเกวียนจะออกเดินทาง ผู้โดยสารบนรถยังมีจำนวนไม่มากนัก นางเฉาที่โกรธจัดรีบพุ่งเข้าไปคว้าหลี่เยว่หาน ทว่าหลี่เยว่หานกลับหลบได้อย่างง่ายดาย นางเฉาจึงยื่นมือออกไปคว้ามวยผมของหลิงซี ใบหน้าของหลี่เยว่หานดูเย็นชาขึ้น เธอลุกขึ้นยืนและเตะนางเฉาจนตกจากเกวียนเสียงดัง ‘ตุบ’
หลี่เยว่หานยืนอยู่บนเกวียนมองดูนางเฉาที่ตกจากเกวียนกำลังร้องไห้คร่ำครวญด้วยสีหน้าเย็นชา “นังเฒ่าไร้ยางอาย ไม่ว่าเจ้าจะต่อสู้หรือต่อล้อต่อเถียงกับข้านั้นไม่สำคัญ แต่ยามใดที่เจ้ากล้าแตะต้องลูกชายลูกสาวของข้า ข้าจะทุบตีเจ้าให้เลือดตกยางออก!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็กระโดดลงมาจากเกวียน เตะเสยที่คางของนางเฉาอย่างแม่นยำ ทำให้นางเฉาที่กำลังจะลุกขึ้นจากพื้นลงไปนอนแน่นิ่งอีกครั้ง หลี่เยว่หานขึ้นไปนั่งทับบนร่างกายนางโบกสะบัดมือไปทางซ้ายทีขวาที ฝ่ามือที่กระแทกเข้ากับใบหน้าของนางเฉาหนักแน่นเอาการ
MANGA DISCUSSION