บทที่ 213 สวรรค์มีตา
“บังเอิญว่าสุนัขบ้านข้าออกคอกสุนัขใหม่มาพอดี เห็นบอกว่าสุนัขตัวเมียออกลูกมาสองตัวสุขภาพแข็งแรงกันทุกตัว เจ้าก็แวะไปที่บ้านข้าแล้วเลือกเอาไปสักตัวสิ” พี่สะใภ้อวี๋กล่าวและจับมือหลี่เยว่หานอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดีงาม ไม่หวั่นเกรงคำพูดเหลวไหลของคนอื่น ไม่เช่นนั้นคงไม่ไปช่วยวังหลานหรอก”
“บอกกันตามตรง ข้าพยายามพูดแนะนำวังหลานตั้งแต่ครั้งแรกที่นางถูกตัดสินแล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าพูดกี่หนนางก็เอาแต่ร้องไห้ระงม ข้าทำอันใดไม่ได้เลยได้แต่มองดูนางเดินไปทางที่ผิด แต่ลึก ๆ ในใจข้าก็ไม่ได้สบายใจนักหรอก”
“โชคดีที่มีเจ้าอยู่ วังหลานจึงไม่ถูกตัดสินจำคุกและยังเริ่มมีกิจการเป็นของตัวเอง เป็นสิ่งที่ดีให้แก่หมู่บ้านของเราและบ้านตระกูลข่ง เจ้าคือผู้มีพระคุณของพวกเขา!”
พี่สะใภ้อวี๋กล่าววกวนเป็นวงกลมราวกับกำลังรอเวลาของนางอยู่
หลี่เยว่หานไม่ได้แสดงสีหน้าและกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นเพราะวังหลานมีความสามารถต่างหาก งานฝีมือของนางทำให้นางได้รับความสนใจจากเจ้าของร้านขายผ้าอวี้เยว่ ต่อให้ข้าอยากจะช่วยนางแต่ข้าก็ทำอันใดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพิ่งมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ยังไม่ทันได้ตั้งหลักปักฐาน จะไปลุยน้ำโคลนเยี่ยงนั้นได้อย่างไร?”
“จะว่าไปก็ถูก” พี่สะใภ้อวี๋พยักหน้า “ว่ากันตามตรงข้ามีเรื่องจะขอร้องให้เจ้าช่วยหน่อย”
“พี่สะใภ้อวี๋ได้โปรดบอกข้ามาเถิด” หลี่เยว่หานยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง
“ที่บ้านข้ามีน้องสาวคนเล็กอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุได้สิบขวบแล้ว เก่งเรื่องงานเย็บปักถักร้อยมาก” พี่สะใภ้อวี๋กล่าวและถอนหายใจอีกครั้ง “แต่ข้าไม่สามารถส่งนางไปเรียนกับท่านอาจารย์ได้ ไม่เช่นนั้นฝีมือการเย็บของนางคงจะดีกว่านี้ ข้าลองคิดดูแล้วล่ะน้องหานเยว่ ในเมื่อเจ้าขอให้เจ้าของร้านขายผ้าอวี้เยว่เชิญวังหลานไปเป็นช่างปักชั้นสองได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่ามันพอจะมีหนทางให้ข้าส่งนางไปทำงานที่ร้านขายผ้าได้บ้างไหม?”
หลี่เยว่หานแสดงสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พี่สะใภ้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยท่าน แต่ท่านก็รู้ถึงทักษะการเย็บปักถักร้อยของวังหลาน นางสามารถเย็บผ้าได้ขนาดนั้นแต่ยังเป็นได้เพียงช่างปักชั้นสอง น้องสาวของท่านเพิ่งอายุได้สิบขวบเท่านั้น อายุเพียงเท่านี้คงไม่สามารถเข้าไปทำงานได้หรอก”
“ข้ารู้ ๆ” พี่สะใภ้อวี๋รีบอธิบายเมื่อเห็นว่าหลี่เยว่หานกำลังเข้าใจผิด “ข้าแค่อยากให้น้องสาวไปเรียนรู้วิธีการเย็บปักถักร้อยในร้านขายผ้าอวี้เยว่ และพวกข้ายินดีจะจ่ายค่าเล่าเรียน!”
“อย่างนั้นหรือ?” หลี่เยว่หานประหลาดใจ นางคิดว่าพี่สะใภ้อวี๋จะใช้โอกาสนี้ขอให้นางส่งน้องสาวไปเป็นช่างปักชั้นสอง แต่ดูเหมือนว่านางจะคิดผิดไป
“ใช่ น้องสะใภ้ข้าไม่ใช่คนโง่เขลาสักหน่อย เหตุใดจึงจะไม่รู้ว่าน้องสาวตนเองมีความสามารถเท่าไหร่” พี่สะใภ้อวี๋ยิ้ม “ครอบครัวข้ามีพี่ชายอีกสองคน ส่วนข้าเป็นลูกคนที่สาม ข้ามีน้องชายและน้องสาวอย่างละคน ส่วนน้องสาวเป็นคนสุดท้อง นางชื่นชอบงานเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก ๆ แม่ข้าไม่ได้เป็นคนสอนนางหรอกและข้าเป็นคนค้นพบงานปักของนางด้วยตนเอง ข้าทนไม่ไหวที่พรสวรรค์ของนางจะถูกกลบเอาไว้แบบนี้ ดังนั้นข้าจึงคิดขอความช่วยเหลือจากเจ้าว่าพอจะส่งซิ่วฟางไปเรียนรู้งานฝีมือได้หรือไม่”
“เรื่องนั้นคงไม่น่ายาก” หลี่เยว่หานยิ้ม “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กล้ารับร้อง แต่น้องสาวของพี่สะใภ้อวี๋ก็เหมือนน้องสาวข้า ครั้งหน้าหากได้มาตลาดอีก ได้โปรดท่านพาน้องสาวและนำงานปักของนางมาด้วย แล้วเราจะไปเสี่ยงโชคกัน!”
“ดีมากจริง ๆ!” พี่สะใภ้อวี๋น้ำตาคลอเบ้า
“ไอหยามันเป็นเรื่องดี เหตุใดท่านจึงร้องไห้ น้ำตาของท่านกำลังทำให้ข้าตกใจแล้ว” หลี่เยว่หานตบหลังมือพี่สะใภ้อวี๋เบา ๆ
“ข้ามีความสุข มีความสุขมาก!” พี่สะใภ้อวี๋กล่าวและถอนหายใจ “เจ้าเพิ่งมาที่นี่คงไม่รู้เรื่องอันใด ข้าพยายามหาอาจารย์มาสอนวิชาปักผ้าให้น้องสาวจึงเดินทางเข้าไปหาวังหลาน นางตอบตกลงแล้วด้วย แต่จากนั้นบรรดาสะใภ้ในหมู่บ้านก็ตามมาด่าทอข้าถึงหน้าบ้าน กล่าวว่าข้าเป็นผู้นำแต่กลับไปตีสนิทหญิงม่ายที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ทำลายประเพณีของชายหญิงในหมู่บ้าน จนต้องล้มเลิกเรื่องนี้และเก็บมันไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย”
“อันที่จริงวังหลานอายุน้อยกว่าข้าถึงสองปี ข้ารู้นิสัยใจคอของนางดี ไม่เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของนางเลย แต่… แต่คนคนเดียวไม่สามารถต้านทานคำคัดค้านจากหลาย ๆ คนได้หรอก”
พี่สะใภ้อวี๋ถอนหายใจอีกครั้ง “โชคดีที่สวรรค์มีตาประทานคนอย่างเจ้าให้มาอยู่ในหมู่บ้านจางหนิงของเรา ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือคนที่ถูกตัดสินให้ถูกลงโทษ แต่ยังเสาะหาวิชาชีพดี ๆ ให้วังหลาน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่ใช่คนเลวทราม บรรดาสะใภ้ทั้งหลายในหมู่บ้านไม่เก่งเรื่องงานฝีมือแถมยังเถียงสู้เจ้าไม่ได้ บางคนจึงเข้ามาหาเจ้า ส่วนบางคนก็มาขับไล่เจ้าไป ตอนแรกข้าเป็นห่วงเจ้าจึงให้เหล่าอวี๋ออกมาปราบปรามความชั่วร้ายในหมู่บ้าน แต่พอตอนนี้เห็นเจ้าไม่สุภาพกับพวกเขาแล้วก็พลอยโล่งใจ เพียงแต่ว่า… ชื่อเสียงของเจ้าคงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่…”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่เว่หานก็หัวเราะด้วยความจริงใจ “ข้ารู้ว่าผู้คนในหมู่บ้านของเราเรียกข้าลับหลังว่าหญิงพาลประจำหมู่บ้าน แต่แล้วอย่างไรเล่า ข้าเป็นหญิงม่ายมีลูกติดสองคน หากข้าไม่ทำตัวโหดร้ายแล้วหมาแมวที่ไหนมากลั้นแกล้งข้าจะทำอย่างไร”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็เขยิบเข้ามาหาพี่สะใภ้อวี๋ “ว่ากันตามตรงนะพี่สะใภ้ ข้าคิดดูแล้วหากพวกเขากล้าเข้ามาอีก คราวนี้ข้าจะทุบตีพวกเขา”
“อุ๊ย อย่างนั้นไม่ได้ หากเจ้าทุบตีใครเข้าเจ้าจะถูกดำเนินคดีเอา เจ้ายิ่งเป็นหญิงม่ายตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพา หากเจ้าเข้าไปพัวพันกับคดีความจะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าจัดการได้ ไม่ได้ ๆ อย่าหุนหันพลันแล่นนัก” พี่สะใภ้อวี๋รีบปิดปากหลี่เยว่หานด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะลงมือทำเบา ๆ” หลี่เยว่หานจับมือพี่สะใภ้แล้วยิ้มหวาน
พวกนางพูดคุยกันจนมาถึงหมู่บ้านจางหนิง
เนื่องจากข้าวของของหลี่เยว่หานมีจำนวนมากและหนักเกินไป ใครมาเห็นเข้าคงจะไม่ดีแน่ ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านอวี๋จึงขับเกวียนวัวไปที่บ้านของหลี่เยว่หาน ช่วยนางขนของไปวางไว้ที่ลานบ้านก่อนจะเดินทางกลับออกไป
“ท่านแม่ ซื้อลูกอมอร่อย ๆ มาให้เสี่ยวหลิงตังหรือเปล่า” สองพี่น้องเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านอวี๋กับภรรยาจากไปแล้ว จึงวิ่งออกมาจากบ้านมาล้อมรอบตัวหลี่เยว่หาน
หลี่เยว่หานยิ้มขณะมองดูเด็กน้อยทั้งสอง เธอหันกลับมาและหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากตะกร้า “นี่ หนังสือและสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องสมุด*[1]ให้มู่โทว ส่วนดอกไม้ผ้ากับน้ำตาลข้าวสาลีให้หลิงตัง”
ในยุคสมัยนี้สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ไม่ได้มีราคาถูก และยังเป็นสิ่งของที่ชาวไร่ชาวนาทั่วไปไม่สามารถซื้อได้
ทว่าหลี่เยว่หานมีเงินอยู่ในมือจำนวนมาก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถใช้เงินอย่างโจ่งแจ้งได้ แต่เธอก็ไม่ได้ประหยัดเงิน
และไม่มีทางที่คนภายนอกจะแอบเข้ามาดูในบ้านของเธอได้
“มู่โทว” หลี่เยว่หานกำลังจะเข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัว แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกเรื่องสุนัขได้จึงบอกมู่ชวนว่า “ไร่องุ่นของเราจำเป็นต้องมีสุนัขคอยเฝ้า ตอนที่ข้ากลับมาภรรยาของท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าสุนัขที่บ้านเพิ่งคลอดลูก เจ้าไปดูว่ามีตัวไหนที่เข้าตาหรือไม่ หากมีก็จงนำกลับมาสักตัว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ชวนก็เอียงศีรษะหัวเราะตาหยี “ท่านแม่คงลืมไปว่าบ้านเรามีสุนัขอยู่แล้ว”
“อา?” หลี่เยว่หานงุนงง “เจ้าหมายถึงหลิงตังหรือ?”
“ท่านแม่!” เสี่ยวหลิงตังไม่พอใจทันที เมื่อตนเองถูกเปรียบเทียบว่าเป็นเด็กดื้อ*[2]
“ท่านแม่คงจะลืมไปแล้วจริง ๆ” มู่ชวนโบกมือให้หลี่เยว่หานโน้มตัวลงมา แล้วจึงกระซิบข้างหูหลี่เยว่หานว่า “ข้าได้นกหวีดนี้มาจากพื้นที่หลิงฉวน ทำไมท่านแม่ไม่เข้าไปเอาสุนัขในนั้นดูล่ะ หากไม่มีก็ใช้สุนัขหมาป่าแทนเสีย ง่ายกว่าใช้สุนัขบ้านทั่วไปมาเฝ้ามาก”
[1] สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องสมุด (文房四宝) เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับการเล่าเรียนหนังสือ ซึ่งประกอบไปด้วย หมึก พู่กัน กระดาษ และจานฝนหมึก
[2] เด็กดื้อ (狗崽子) มีความหมายตรงตัวว่าลูกสุนัข หากแต่คำนี้จะกลายเป็นคำแสลงว่าเด็กดื้อเมื่อถูกนำมาใช้กับคน
MANGA DISCUSSION