บทที่ 211 เสนาบดีกรมกลาโหม ขุนพลทหารม้า
“ใช้ได้กับผีสิ!” หลี่เยว่หานถ่มน้ำลาย “เวินเทียนเหล่ยใช้สมองทึ่ม ๆ ของเจ้าคิดสิว่าตอนที่ข้าอยู่ในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เจ้าไปมาหาสู่ข้าอยู่หลายครั้งแล้ว มีครั้งไหนไหมที่ข้าขายสูตรลับให้เจ้า แม้แต่ตอนที่ข้าแกล้งตายไปแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้สูตรลับไปครอบครอง แต่พอพวกเมิ่งฉีฮ่วนจากไป เจ้าก็ทำทีเป็นว่าจับหัวขโมยที่ขโมยสูตรลับไปได้ทันทีเชียวหรือ?”
เวินเทียนเหล่ยอับอายเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แล้วท่านมีวิธีการใด ขอแค่ข้าได้ขายถานไคว่ต่อไป อะไรข้าก็เห็นด้วยหมด!”
“ห้ามนำถานไคว่ออกมาขายอีก” หลี่เยว่หานกล่าวและถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง แต่ข้าก็รู้ดีว่าหลี่เยว่หานผู้ทำถานไคว่นั้นได้ตายไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องเลิกขายมันเสีย คนที่เจ้าจัดหาถานไคว่ให้นั้นคือใคร คนพวกนั้นมีจมูกและหูเฉียบคมยิ่งกว่าสุนัข แล้วใครจะไม่รู้บ้างว่าหลี่เยว่หานจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋นเป็นผู้ทำถานไคว่?”
“แต่… แต่ข้าไม่สามารถทิ้งกิจการหาเลี้ยงชีพดี ๆ แบบนี้ไปได้…” เวินเทียนเหล่ยถอนหายใจ “ช่างเถอะ ลืมมันไป ในเมื่อท่านไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่ทำมัน นายน้อยอย่างข้ามีกิจการอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงสิ่งนี้ด้วย ข้าไม่สามารถผลักท่านเข้าไปในกองไฟเพียงเพื่อเงินได้หรอก!”
หลี่เยว่หานรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ที่ว่าผลักข้าเข้าไปในกองไฟเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลี่เยว่หานขมวดคิ้ว “มีข่าวอันใดเกี่ยวกับเมิ่งฉีฮ่วนหรือ?”
เวินเทียนเหล่ยตบปากตนเอง “ข้าพูดพล่ามมากเกินไปแล้ว ได้โปรดอย่าเข้าใจข้าผิดไป ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เมื่อคราวก่อนหน้านี้ เวินเทียนเหล่ยเพียงแค่ต้องการดื้อดึงไม่ยอมจากไป แต่บัดนี้กลับลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้หลี่เยว่หานและกล่าวว่า “คือว่า ตอนนี้ดึกมากแล้ว หากใครมาเห็นเข้าว่าข้าอยู่ที่นี่เกรงว่าจะนำชื่อเสียงที่ไม่ดีมาสู่ท่าน ข้าขอตัวไปก่อน”
“หยุด!” หลี่เยว่หานร้องตะโกน “พูดให้ชัดก่อนจากไป!”
“ท่านพี่สะใภ้ ข้ากล่าวทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ข้ามาหาท่าน ข้ามาหาท่านเพราะต้องการถานไคว่…” เวินเทียนเหล่ยอยากจะร้องไห้ วันนี้เขาได้เรียนรู้ถึงหายนะทางปากแล้ว
“ข้าถามเจ้าว่าเมิ่งฉีฮ่วนอยู่ที่ไหน!” หลี่เยว่หานมองดูใบหน้าดื้อรั้นเกินกว่าจะกล่าวอะไรออกมาของเวินเทียนเหล่ย แล้วจึงถามขึ้นอีกครั้ง “ขอแค่เจ้าบอกข้ามาว่าตอนนี้เมิ่งฉีฮ่วนอยู่ที่ไหน ข้าจะมอบสูตรอาหารที่สามารถทำกำไรได้มากกว่าถานไคว่ให้เจ้าโดยที่ข้าจะไม่เรียกร้องส่วนแบ่งอะไรจากเจ้า”
ดวงตาของเวินเทียนเหล่ยเป็นประกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น “สูตรอะไรหรือ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลที่เจ้าให้ข้ามานั้นมันคุ้นค่ากับสูตรที่ข้าจะให้เจ้าหรือไม่” หลี่เยว่หานเหลือบมองเวินเทียนเหล่ย เธอสามารถมองเห็นใบหน้าที่กำลังคิดคำนวณของเขาได้อย่างชัดเจน
“ท่านพี่ เพื่อเห็นแก่เงินตรา หากท่านพี่รู้เรื่องนี้เข้าก็อย่าได้กล่าวโทษที่ข้าหักหลังทรยศท่านเลย!” หลังจากสวดภาวนาภายใต้แสงจันทร์แล้ว เวินเทียนเหล่ยก็หันกลับมากล่าวกับหลี่เยว่หานด้วยท่าทางจริงจัง “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้องค์ชายสามได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว?”
หลี่เยว่หานสงสัย “แล้วเมิ่งฉีฮ่วนเกี่ยวข้องอันใดกับองค์ชายสามหรือ?”
“ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้อง แต่ตอนนี้เมิ่งฉีฮ่วนเข้ารับราชการในราชสำนักแล้ว และกลายมาเป็นคนขององค์ชายสาม เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เข้ารับตำแหน่งขุนพลทหารม้า” เวินเทียนเหล่ยลดระดับเสียงลง “ถึงแม้ว่าเหวินจั๋วจะไม่เคยเข้ารับราชการมาก่อน แต่ฝ่าบาทก็รับรู้ได้ถึงพรสวรรค์ของเขา และต้องการร้องขอให้เขามาสมัครนานแล้ว แต่อดีตองค์รัชทายาทคนก่อนหวงแหนเขา ไม่ต้องการบีบบังคับเขา เหตุนั้นจึงคอยช่วยเหลือเขาและขัดขวางเสมอมา”
“ต่อมาท่านก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายรัชทายาท ถึงแม้ว่าเหวินจั๋วจะต้องการพาเด็กไปซ่อนตัวสักสามปี แต่ผู้คนมากมายก็แอบออกมาตามหาเด็กข้างนอกอยู่ดี และยังทำมันอย่างเปิดเผย หลังจากท่านจากไปแล้ว เหวินจั๋วส่งตัวเด็ก ๆ มาหาท่านและออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเพียงลำพัง จากนั้นจึงได้รับโองการมา”
“ตอนนี้เขาเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม อยู่ในตำแหน่งขุนพลทหารม้าแล้ว เป็นคนจากกองกำลังขององค์ชายสาม มีชื่อเสียงเรียงนามกว้างขวางอยู่ในเมืองหลวง ไม่ใช่นายพรานเมิ่งฉีฮ่วนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอีกต่อไป”
เวินเทียนเหล่ยขายข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเมิ่งฉีฮ่วนให้หลี่เยว่หานฟังในคราวเดียว จากนั้นจึงมองดูหลี่เยว่หานด้วยสายตาจริงจังและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่สบายใจที่ขาดการติดต่อกับเขา แต่ท่านจงจำเอาไว้ว่าห้ามเดินทางไปเมืองหลวงหรือออกตามหาเขา สงบสติสงบใจรอคอยอยู่ในหมู่บ้านจางหนิงแล้วเดี๋ยวเขาจะมาตามหาท่านกับเด็ก ๆ เอง”
หลี่เยว่หานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากเวินเทียนเหล่ย เธอรู้สึกราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง
เสนาบดีกรมกลาโหมคืออะไร? ขุนพลทหารม้าคืออะไร? แล้วกองกำลังขององค์ชายสามหมายความว่าอย่างไร?
เมิ่งฉีฮ่วนเป็นคนของอดีตองค์ชายรัชาทายาทไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงตกไปอยู่ภายใต้อำนาจขององค์ชายสาม?
“ท่านฟังที่ข้ากล่าวอยู่หรือเปล่า?” เวินเทียนเหล่ยโบกมือไปมาต่อหน้าหลี่เยว่หาน “ข้าขายเรื่องของเมิ่งฉีฮ่วนให้ท่านแล้ว แล้วไหนล่ะสูตรลับ สูตรลับในการหาเงินอยู่ที่ไหน?”
หลี่เยว่หานถอยหลังกลับไปสองสามก้าว นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสับสน “ทำไมเขาถึงไปที่เมืองหลวง? คิดจะเข้าถ้ำเสือหรืออย่างไร?”
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก” เวินเทียนเหล่ยยักไหล่ “ดูแล้ววันนี้ท่านคงไม่ว่างมาบอกสูตรลับให้ข้า ลืมมันไปเถิด เอาไว้ครั้งหน้าข้าจะไปตามหาท่านที่หอสุรามัจฉา แล้วอย่าได้ลืมมันอีกล่ะ ฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากนั้นไม่นาน เวินเทียนเหล่ยก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพงและหายตัวไป
หลี่เยว่หานถอนหายใจขณะมองดูทิศทางที่เขาจากไป
เวินเทียนเหล่ยเป็นคนเอาใจใส่และเป็นที่รักของผู้คน เขาจะเดินทางมาที่อำเภอหวาซีเพียงเพื่อกิจการถานไคว่อย่างเดียวได้อย่างไร เขารู้ข่าวเกี่ยวกับเมิ่งฉีฮ่วนและต้องการหยุดมัน กระนั้นกลับไม่สามารถทำอะไรได้
เขาแสร้งทำเป็นไม่เต็มใจที่จะต้องเปิดเผยข่าวเกี่ยวกับเมิ่งฉีฮ่วนให้เธอฟัง อันที่จริงเขาแค่ต้องการให้ตัวเองเดินทางไปตามหาเมิ่งฉีฮ่วนที่เมืองหลวงและหยุดแผนการอันตรายต่างหาก
ถึงแม้ว่าคนที่ทำการค้าจะมีกลอุบายมากมาย หากแต่เวินเทียนเหล่ยกล่าวอะไรแล้วจำต้องฟัง
ต้องบอกว่าถึงแม้เวินเทียนเหล่ยจะเป็นเจ้าของกิจการ แต่เขาตระหนักถึงเรื่องมิตรภาพมากกว่าสิ่งใด
ตอนนี้หลี่เยว่หานรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อรู้ว่าเมิ่งฉีฮ่วนเดินทางไปเมืองหลวง ได้เป็นข้าราชการระดับสูง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
หากไม่รู้แหล่งที่อยู่ของเมิ่งฉีฮ่วน หลี่เยว่หานคงจะกังวลใจมากกว่านี้
หลี่เยว่หานเชื่อว่าเมิ่งฉีฮ่วนไม่ใช่คนไร้น้ำใจไร้คุณธรรม หากสถานการณ์เอื้ออำนวย เขาคงจะส่งข่าวคราวมาถึงเธอบ้างแล้ว
หลี่เยว่หานหวนนึกถึงเรื่องนี้อยู่ในใจ จากนั้นจึงเดินเข้าไปนอนในห้อง เธออยากจะนอนหลับไปเร็ว ๆ
สูตรลับที่เธอวางแผนจะมอบให้เวินเทียนเหล่ยคือสูตรส่วนผสมการทำหม้อไฟ ถึงแม้ว่าหลี่เยว่หานจะรู้วิธีการทำหม้อไฟ แต่เธอไม่แน่ใจว่าในยุคสมัยนี้ส่วนผสมการทำหม้อไฟจำต้องผลิตขึ้นมาเองหรือไม่
เช่น ต้นหอมที่มีขนาดสูงเท่าคน…
วันรุ่งขึ้น หลี่เยว่หานนอนกระสับกระส่ายและตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากทำอาหารเช้าแล้ว เธอก็ขอให้มู่ชวนคอยดูแลหลิงซี ส่วนตนจะเดินทางเข้าไปในตำบล
ตำบลที่อยู่ติดกับหมู่บ้านจางหนิงไม่เหมือนกับตำบลของหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เมืองนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่พากันออกเดินทางมาจากหมู่บ้าน ตำบลจือเฟิงเต็มไปด้วยพ่อค้า มีพ่อค้ามากมายเดินเข้ามา สินค้ามีให้เลือกหลากหลาย และใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วยามจากหมู่บ้านจางหนิง
หลี่เยว่หานทวนความจำแล้วจึงซื้อโป๊ยกั๊ก พริกไทยเสฉวน อบเชย เปลือกผลส้มสุกและเครื่องปรุงรสชาติอื่น ๆ จากร้านขายยา จากนั้นเธอจึงรู้ว่าเครื่องเทศหาได้ยากในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น แต่กลับหาได้ง่ายจากร้านขายยาในหมู่บ้านจางหนิงและตำบลจือเฟิง
ต้องบอกว่าเส้นทางใต้จรดเหนือใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งเดือนกว่า ๆ แต่กลับดูเหมือนสองโลกที่แตกต่างกันยิ่งนัก
MANGA DISCUSSION