บทที่ 198 คุมตัวไปยังศาลาว่าการท้องถิ่น
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็เริ่มสนใจทันที
วังหลานและแม่ม่ายฉางไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันหรอกหรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงดูเหมือนว่ามีความขัดแย้งกัน?
“ซูเจี๋ย เจ้าไม่ต้องรีบ พูดช้า ๆ” ใบหน้าของแม่ม่ายฉางซีดลง ตั้งแต่วินาทีที่วังหลานปรากฏตัว เดิมทีนางอยากจะด่าอีกสองสามคำ แต่โจวต้าหู่จ้องมองนางด้วยสายตาดุร้าย นางรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าพูด
ด้วยคำพูดของโจวต้าหู่ ข่งซูเจี๋ยก็รู้สึกสบายใจขึ้น เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “คือว่าวันนี้ข้าเอาตัวอย่างงานปักของท่านแม่ไปขายแลกเงินที่ร้านขายผ้าอวี้เยว่ในอำเภอ แล้วท่านน้าหานก็ช่วยขายให้ข้า ร้านขายผ้าอวี้เยว่ชอบฝีมือท่านแม่ข้ามาก จึงนัดให้ทำตัวอย่างงานปักส่งไป ตอนที่ไปตลาดคราวหน้า หากคุณภาพงานยังสูงอยู่ ก็จะให้ท่านแม่ไปทำงานเป็นช่างปักในร้านขายผ้าขอรับ”
“ข้ารู้ว่าทุกคนดูถูกแม่ของข้า แต่เหตุผลที่ท่านแม่ทำเรื่องเช่นนั้น ก็เพื่อหาเงินให้ข้าได้เล่าเรียน อันที่จริงมันเป็นเพราะข้าอกตัญญูเอง!” ข่งซูเจี๋ยพูดพลางสะอื้นเล็กน้อย “ท่านน้าหานช่วยเจรจากับร้านขายผ้าอวี้เยว่ให้ท่านแม่ แม่ของข้าดีใจมาก แต่เมื่อป้าฉางมาที่ประตูบ้านก็บังเอิญเห็นว่าท่านน้าหานอยู่ด้วย แล้วป้าฉางก็พูดจาหยาบคาย บีบบังคับให้ท่านแม่ทำงานเช่นนั้นต่อไป”
“เพียงครึ่งชั่วยามต่อมา ป้าฉางก็มาถึงประตูบ้าน แล้วพบว่าแม่ของข้ายังไม่แต่งตัว นางโกรธมากจึงผลักท่านแม่หมดสติไป จากนั้นจับข้ามัดไว้” ข่งซูเจี๋ยพูดขณะจ้องมองแม่ม่ายฉางที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น ด้วยสายตาดุร้าย “นางยังบอกอีกว่าวันนี้จะลากท่านน้าหานให้เดือดร้อนไปด้วยให้ได้ บอกว่าไม่ชอบท่านน้าหานมานานแล้ว ซ้ำยังบอกอีกว่าแม่ม่ายที่สามีเพิ่งตายอย่างท่านน้าหาน เป็นที่ต้องการมากที่สุด… และพูดถ้อยคำโสมมน่ารังเกียจอีกมากมาย ข้าไม่อาจพูดได้!”
หลังจากที่ทุกคนได้ฟังดังนั้น ก็ย่อมรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะเริ่มพุ่งเป้าไปที่แม่ม่ายฉาง
“โชคดีที่ท่านแม่ฟื้นมาเห็นว่าข้าถูกมัดไว้ ข้าบอกนางว่าท่านน้าหานอาจตกอยู่ในอันตราย พวกเราก็เลยรีบมากันทั้งคู่ขอรับ!”
ด้วยความที่ข่งซูเจี๋ยเป็นหนอนหนังสือ คำพูดของเขาจึงชัดเจนและมีเหตุผล เขายังเหยียดมือออกไป เผยให้เห็นรอยจากการถูกมัดด้วยเชือกบนข้อมือ เมื่อทุกคนมองไปที่วังหลานอีกครั้ง ก็เห็นรอยเท้ามากมายบนตัวนาง ที่แก้มของนางก็แดงเป็นปื้น เห็นได้ชัดว่ามีรอยข่วนด้วย
“เรื่องก็เป็นเช่นนั้น ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้านโปรดให้ความยุติธรรมด้วยขอรับ!”
“เจ้าพูดเหลวไหล! เจ้าเด็กที่ถูกนังโสเภณีเลี้ยงมา! ข้าไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น!” น้ำเสียงของแม่ม่ายฉางค่อนข้างตื่นตระหนก สุดท้ายแล้ว บางเรื่องสามารถแอบทำได้ แต่เมื่อถูกนำมาเปิดเผย ก็ไม่ต่างอันใดกับการถูกจับแก้ผ้าในที่สาธารณะ แม้ว่าวันนี้นางจะรอดพ้นโทษไปได้ แต่นางก็ไม่อาจฝืนอยู่ในหมู่บ้านจางหนิงได้อีกแล้ว
ข่งซูเจี๋ยไม่สนใจคำด่าทอของแม่ม่ายฉางเลย หลังจากเล่าจบ เขาและแม่ของเขาก็คุกเข่าเคียงข้างกัน ต่อหน้าหัวหน้าหมู่บ้านอวี๋
หัวหน้าหมู่บ้านอวี๋ปวดหัวมาก
เมื่อหลี่เยว่หานมาตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านจางหนิง เด็กหนุ่มสองคน ตวนอู่และจงชิวให้ประโยชน์มากมายแก่เขา อีกทั้งหลี่เยว่หานก็ยังเป็นคนใจกว้าง ปกติเธอจะไม่ลืมนำอาหารอร่อย ๆ มาแบ่งปันให้พวกเขาที่บ้าน
ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเกิดอันใดขึ้นในวันนี้ แม่ม่ายฉางที่มีเจตนาชั่วร้าย เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านอวี๋ต้องการลงโทษแม่ม่ายฉาง ด้วยการมัดนางไว้ที่ประตูห้องโถงบรรพบุรุษหนึ่งวันหนึ่งคืน
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าแม่ม่ายฉางจะทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้ กับสองแม่ลูกตระกูลข่ง ก่อนที่นางจะมาหาเรื่องหลี่เยว่หาน!
กรณีนี้… เกรงว่าจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่…
“แม่ม่ายข่งจะหาเงินจากการปักผ้าหรือ? ขายให้ร้านขายผ้าอวี้เยว่หรือ?” เหล่าชาวบ้านอดสงสัยไม่ได้ “ร้านขายผ้าอวี้เยว่จะอยากได้ของจากแม่ม่ายในหมู่บ้านได้อย่างไร? หรือว่านางจะยังทำงานเดิมอยู่ แล้วแต่งเรื่องโกหก?”
“ข้า ข่งซูเจี๋ย สาบานในนามของบัณฑิตว่า หากสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปเป็นเท็จแม้เพียงครึ่งเดียว ขอให้ข้าไม่มีวันสอบผ่านได้ตลอดชีวิต!”
ข่งซูเจี๋ยสาบานด้วยคำกล่าวที่รุนแรง โดยไม่เอ่ยคำแก้ตัวสักคำ คนที่ถามจึงอดไม่ได้ที่จะปิดปากเงียบ
ในที่สุดหลี่เยว่หานก็สงบลง เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ด้วยการช่วยประคองของสะใภ้โจว แล้วพูดว่า “สิ่งที่ซูเจี๋ยพูดเป็นความจริง เจ้าของร้านขายผ้าอวี้เยว่ ชอบลายปักของพี่วังหลานมาก และยังชื่นชมการตัดเย็บที่ดีของนางอีกด้วย ทักษะการเย็บปักถักร้อยของนาง ทำให้นางมีคุณสมบัติเกินกว่าที่จะเป็นนักปักระดับสองด้วยซ้ำ อีกทั้งพี่วังหลานเองก็ไม่อยากเป็นคนทำงานสกปรกโสมมอีกแล้ว เพราะสุดท้ายนางก็ต้องคำนึงถึงอนาคตของซูเจี๋ยด้วย ดังนั้นเมื่อแม่ม่ายฉางไปบ้านสกุลข่งวันนี้ พี่วังหลานจึงปฏิเสธนางไปแล้ว”
“ข้าได้ยินเรื่องนี้!” ป้าเสิ่นที่อาศัยอยู่ข้างบ้านวังหลานพูดเสียงดัง “ตอนนั้นแม่ม่ายฉางขู่วังหลานว่า หากเข้ามาทำงานในวงการนี้แล้ว จะไม่มีทางหนีไปได้ ซ้ำยังพูดจาดูถูกนางด้วย หลังจากที่นางจากไปแล้ว วังหลานก็ร้องไห้อยู่นาน แล้วก็คร่ำครวญขอโทษซูเจี๋ย นางร้องไห้หนักมาก ราวกับหัวใจจะแตกสลาย”
ป้าเสิ่นมักจะเกลียดชังวังหลานข้างบ้านมากที่สุด เพราะรู้สึกว่านางไม่มีมารยาท ไม่อ่อนน้อม ทำตัวผิดจารีตและสำส่อน แต่เมื่อนางฟังสิ่งที่วังหลานพูดอยู่หลังกำแพง นางรู้สึกว่าสตรีคนนี้น่าสงสารจริง ๆ
“ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ชัดเจนมาก” หัวหน้าหมู่บ้านอวี๋พยักหน้า “แม่ม่ายฉาง จางอวี้เหมย บังคับให้คนอื่นเป็นโสเภณี นางสมควรถูกบรรพชนลงโทษ แต่ไม่นานมานี้ ท่านใต้เท้าประจำอำเภอออกประกาศห้ามประชาทัณฑ์ ในหมู่บ้านหรือเมืองใด ๆ จึงต้องคุมตัวนางไปศาลาว่าการท้องถิ่น”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านอวี๋ก็ตะโกนเรียกคนที่โหดเหี้ยมที่สุดออกมา สตรีที่ไม่ชอบจางอวี้เหมยมากที่สุด ก็รีบก้าวเข้าไปมัดนางไว้ แล้วโยนนางลงบนเกวียนของท่านอาหรง พร้อมกับพาชายหนุ่มแข็งแกร่งที่ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้สองคน คุมตัวมุ่งหน้าไปยังอำเภอ
ว่ากันว่าจางอวี้เหมย หรือแม่ม่ายฉาง ด่าทอไปตลอดทาง จนชายหนุ่มทนไม่ไหว จึงถอดถุงเท้าเหม็นออกมายัดเข้าปากนาง
หลังจากที่ทุกคนในหมู่บ้านแยกย้ายกันไป สะใภ้โจวก็ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลี่เยว่หานสบายดีแล้วจริง ๆ จากนั้นก็กลับเข้าบ้านของตนเอง หลี่เยว่หานรีบไปเปิดประตูห้องครัว
มองเพียงปราดเดียว ก็เห็นหลิงซีที่นั่งร้องไห้เบา ๆ อยู่ตรงมุมห้อง เธอรีบวิ่งมากอดนางทันที “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้ ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด”
หลิงซีกอดหลี่เยว่หานแน่น สะอึกสะอื้นและไม่ยอมพูด หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็สงบลง ขณะแตะใบหน้าของหลี่เยว่หาน แล้วพูดว่า “ท่านอาหญิง หลิงซีกำลังทำให้ท่านเดือดร้อนหรือเปล่าเจ้าคะ หากเรายังอยู่ในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น ท่านอาจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านอาหญิงโดนกลั่นแกล้ง และเป็นทุกข์เช่นนี้แน่นอน”
หลังจากได้ยินดังนั้น หลี่เยว่หานก็รู้สึกสะเทือนใจมากขึ้น “หลิงซีจะทำให้อาเดือดร้อนไปได้อย่างไร อาต้องขอบคุณหลิงซีต่างหาก เพราะหลิงซีเป็นคนทำให้อารู้ว่าในโลกนี้มีเด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักเช่นนี้อยู่ด้วย”
“ฮือ ๆๆ… ข้าคิดถึงพี่ชาย… ข้าคิดถึงท่านอา… หลิงซีไร้ประโยชน์… หลิงซีปกป้องท่านอาหญิงไม่ได้…” หลิงซีกอดคอหลี่เยว่หานแล้วร้องไห้ออกมา
ตอนที่หลี่เยว่หานไปเปิดประตู เธอได้ลงกลอนด้านนอกประตูห้องครัวไว้ หลิงซีได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทกันข้างนอก และต้องการออกไปช่วยเหลือ เพื่อปกป้องหลี่เยว่หาน แต่ไม่สามารถเปิดประตูได้ นางจึงกังวลมากจนร้องไห้อยู่ในห้องครัว
แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้างนอกวุ่นวายมาก จนไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง
หลิงซีถูกขังอยู่ในครัว ทำได้เพียงฟังความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอกเท่านั้น โดยไม่สามารถทำอันใดเพื่อช่วยเหลือได้เลย
ตอนนี้ในที่สุดนางก็โยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่เยว่หาน ความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นางร้องไห้หนักมากเสียจนหายใจไม่ออก
MANGA DISCUSSION