บทที่ 195 ให้เป็นหญิงห้าวผู้ทะนง!
“เหตุใดท่านถึงคุกเข่าต่อหน้าข้าเล่า” หลี่เยว่หานจับมือหลิงซีแล้วก้าวไปด้านข้างสองก้าว เพื่อหลีกเลี่ยงวังหลาน
“ข้าขอบคุณเจ้ามาก!” วังหลานหลั่งน้ำตา พูดด้วยความตื้นตัน “ข้าไม่เคยคาดหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าขายตัวอย่างงานปัก นับประสาอะไรกับช่วยข้าสมัครงานกับเถ้าแก่ ข้า… ข้าหมายความเช่นนั้นจริง ๆ ข้าต้องการขอบคุณจากใจจริง!”
หลังจากได้ฟังเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็เลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นก็ไม่ใช่ข้าที่ท่านควรขอบคุณ แต่เป็นลูกชายของท่านต่างหาก” หลี่เยว่หานพูดแล้วมองไปยังข่งซูเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เพราะเขาเป็นเด็กฉลาด ข่งซูเจี๋ยรู้อยู่แล้วว่าหลี่เยว่หานไม่ได้ต้องการเจอแม่ของเขา แม้ว่านางจะช่วยเหลือ แต่เรื่องเช่นนั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันจึงสมเหตุสมผลที่หลี่เยว่หานจะรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ถึงแม้ว่าหลี่เยว่หานจะไม่ต้องการช่วยวังหลาน แต่ก็ยังช่วยข่งซูเจี๋ยให้ขายของให้ร้านขายผ้าอวี้เยว่ได้ ข่งซูเจี๋ยจึงจดจำความมีเมตตาครั้งนี้ไว้ในใจ แล้วก้าวข้าไปพยุงวังหลานขึ้นมา
“หากท่านแม่อยากทำงานนี้ให้ดีก็ต้องทำงานปักสิบห้าลายใหม่ ก่อนจะไปตลาดครั้งหน้า จะได้มีงานทำจริงจัง” แม้ว่าข่งซูเจี๋ยจะไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่คำว่า ‘มีงานทำจริงจัง’ ก็สามารถสะกิดใจวังหลานได้แล้ว
วังหลานหลั่งน้ำตาและพยักหน้าซ้ำ ๆ เมื่อมองไปยังหลี่เยว่หาน สายตาของนางเต็มไปด้วยความขอบคุณ
หลี่เยว่หานพูดซ้ำคำพูดของเถ้าแก่ร้านขายผ้ากับวังหลาน แล้วบอกว่า “เถ้าแก่ร้านขายผ้าอวี้เยว่ไม่ใช่คนใจบุญ ข้าจึงต้องปกปิดความจริงที่ว่างานปักเป็นงานอดิเรกของท่านเท่านั้น และรอจนกว่าเขาจะแน่ใจ ยอมรับท่านเป็นช่างปักประจำ แล้วค่อยบอกเขาอีกครั้ง ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะนำตัวอย่างงานปักทั้งหมดไปขายให้ท่าน”
“ข้ารู้ว่าชีวิตของท่านไม่ได้สบาย ข้าจึงจะไม่โลภเงินของท่าน และไม่ขอค่าธรรมเนียมการแนะนำด้วย”
“ท่านต้องรู้ด้วยว่าเหตุใดท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเถ้าแก่โดยตรงในตอนนี้ เพราะหมู่บ้านจางหนิงของเราเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ เถ้าแก่จะส่งคนมาสืบเรื่องท่านอย่างละเอียด หากเขารู้ประวัติของท่านล่ะก็ ถึงตอนนั้นท่านก็คงไม่ได้งานนี้เป็นแน่”
“ข้าเข้าใจ” อารมณ์ของวังหลานค่อย ๆ สงบลง ในเวลานี้นางจับมือข่งซูเจี๋ยแน่น และพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “มีตลาดทุก ๆ ห้าวันในอำเภอหวาซี ข้าจะเริ่มทำตัวอย่างงานปักวันนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้น้องหานไปตลาดล่าช้าในคราวหน้า!”
หลังจากพูดจบ วังหลานก็นั่งยอง ๆ ต่อหน้าข่งซูเจี๋ย นัยน์ตาของนางยังคงแดงก่ำ แต่ก็ยังยิ้มได้ “ซูเจี๋ย ขอบคุณนะลูก”
อาจเป็นเพราะข่งซูเจี๋ยอาจเคยชินกับการทำตัวเย็นชากับวังหลาน เขาจึงหน้าแดงเพราะรู้สึกประหม่า
เมื่อเห็นภาพนี้ หลี่เยว่หานก็ยกยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอตัวกลับก่อน วังหลาน พรุ่งนี้อย่าลืมตื่นแต่เช้าไปส่งซูเจี๋ยไปสำนักศึกษาเล่า แล้วกลับมาทำตัวอย่างงานปัก ไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ก็ได้ ทำลายที่ท่านคิดว่าจะได้รับความนิยมในตอนนี้”
“เจ้า… เหตุใดเจ้าไม่มาทานอาหารเย็นที่บ้านข้าคืนนี้เล่า” วังหลานเอ่ยเชิญด้วยความประหม่า “วันนี้เจ้าช่วยข้าหาเงินได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ ข้าต้องตอบแทนบ้าง”
“ไม่ต้องหรอก เสี่ยวหลิงตังกับข้าไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารที่คนอื่นทำนัก” หลี่เยว่หานพูดขณะเปิดประตูบ้านของวังหลาน ทันใดนั้น ร่างอันอวบอัดก็เกือบจะล้มคะมำเข้ามา
เมื่อมองดูให้ดี หญิงผู้นั้นก็คือแม่ม่ายฉาง ดังคำกล่าวที่ว่าศัตรูบนทางแคบ[1]*จริง ๆ!
“พี่ฉาง เหตุใดพี่ถึงมาอยู่หน้าประตูบ้านข้าได้” วังหลานลำบากใจเมื่อเห็นแม่ม่ายฉาง เดิมทีนางกำลังคิดจะหาโอกาสไปบอกแม่ม่ายฉางว่านางจะไม่ทำธุรกิจขายเรือนร่างอีกต่อไป หากแต่นางไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ชายสองคนบอกว่าคิดถึงเจ้า บอกให้เจ้าแต่งตัวสวย ๆ ประเดี๋ยวรถม้าจะมารับ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกเจ้า” แม้ว่าแม่ม่ายฉางจะรู้สึกอับอายเล็กน้อยเพราะการเปิดประตูอย่างกะทันหันของหลี่เยว่หาน แต่นางก็รีบยืนตัวตรง แล้วเอามือเสยผมด้วยสีหน้าหยิ่งยโส แต่ตัวยังโซเซอยู่
หลังจากได้ยินดังนั้น ใบหน้าของวังหลานก็ซีดเผือด แต่นางก็จับมือของซูเจี๋ยไว้แน่น มองแม่ม่ายฉางแล้วพูดว่า “พี่ฉาง ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตแบบมีศักดิ์ศรี”
ทันทีที่วังหลานพูดจบ แม่ม่ายฉางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับว่าได้ยินเรื่องตลก “เจ้าหรือ? เจ้าน่ะหรือ? ใช้ชีวิตแบบมีศักดิ์ศรี? นี่เรื่องอะไรกัน? โสเภณีอยากเป็นคนดีหรืออย่างไร?”
“ขอบอกก่อนว่าวันนี้ชายสองคนนี้เป็นคนสูงศักดิ์ หากอยากเป็นคนดีจริง ๆ ก็จงรับใช้พวกเขาเสีย ไม่แน่สองคนนั้นอาจจะรับเจ้าไปเป็นนางบำเรอในบ้านด้วยก็ได้ แต่หากเจ้าไม่ยอมทำ ข้าก็ไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าบอกเจ้าไว้นานแล้วว่าอาชีพเช่นเรา หากเข้าร่วมแล้ว ไม่อาจถอนตัวออกไปได้ง่าย ๆ” พูดจบ แม่ม่ายฉางก็โบกผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมือ “เอาล่ะ ข้ามาบอกข่าวเจ้าแล้ว รีบเตรียมตัวในตอนที่ยังมีเวลา รถม้าจะมารับเจ้าในไม่ช้า”
เมื่อพูดจบ แม่ม่ายฉางก็จากไปโดยไม่ลังเล
แม้คำพูดของแม่ม่ายฉางจะไม่น่าฟัง แต่หลี่เยว่หานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับวังหลานเลย แม้ว่าวังหลานจะมองนางเพื่อขอความช่วยเหลือหลายครั้ง แต่นางก็ยืนอุ้มหลิงซีตัวน้อยอยู่ที่ประตู ขณะเฝ้ามองความตื่นเต้นโดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ
ไม่ใช่ว่าหลี่เยว่หานไม่ต้องการช่วยวังหลาน เพียงแต่ว่านิสัยของวังหลานนั้นถูกครอบงำได้ง่ายมาก
ทันทีที่เธอและข่งซูเจี๋ยพบงานที่ดีสำหรับวังหลาน แม่ม่ายฉางก็เข้ามาในบ้าน แล้วบอกให้นางขายเรือนร่างอีกครั้ง ความจริงแล้วนางปฏิเสธได้ แต่กลับปล่อยให้แม่ม่ายฉางมาจู้จี้ โดยที่นางไม่โต้กลับเลยสักคำ
หลี่เยว่หานยืนอยู่ที่ประตู ขณะมองข่งซูเจี๋ยที่มีนัยน์ตาแดงก่ำ ดูเหมือนลูกหมาป่าตัวน้อยที่ต้องการกินเลือดกินเนื้อคน
ดังคำกล่าวที่ว่าจงช่วยเหลือคนอดยากแทนคนจน หากวังหลานอยากมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีจริง ๆ วันนี้คงเป็นโอกาสอันดี หากนางสามารถปฏิเสธแม่ม่ายฉาง ด้วยความเข้มแข็ง หลี่เยว่หานย่อมช่วยวังหลานแน่
น่าเสียดายที่วังหลานนั้นไร้ประโยชน์ นางทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งน้ำตาและสีหน้าน่าสมเพช เทียบไม่ได้เลยกับข่งซูเจี๋ย
คิดได้ดังนั้น หลี่เยว่หานก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ เธออุ้มหลิงซีตัวน้อยออกจากบ้านตระกูลข่ง โดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ
“ท่านแม่ เหตุใดเมื่อครู่นี้ไม่ช่วยป้าข่งเล่าเจ้าคะ ป้าข่งดูน่าสงสารยิ่งนัก” ระหว่างทางกลับ หลิงซีถามด้วยเสียงหวาน
ในความประทับใจของเด็กหญิง หลี่เยว่หานเป็นคนใจดีมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นคงไม่ช่วยพาข่งซูเจี๋ยไปที่ร้านขายผ้าอวี้เยว่ เพื่อขายตัวอย่างงานปักในวันนี้ แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือ เหตุใดท่านอาหญิงของนางถึงไม่พูดอะไรเลย เมื่อวังหลานถูกแม่ม่ายฉางรังแกด้วยวาจา
“เสี่ยวหลิงตัง จำไว้ว่าเจ้าต้องยืดตัวให้ตรงอยู่เสมอ หากเจ้าพึ่งพาผู้อื่นให้ยืนหยัดเพื่อตัวเจ้าเอง ในชีวิตนี้ เจ้าจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง”
“นี่เป็นหลักการสำหรับผู้หญิงด้วยหรือเจ้าคะ?” หลิงซีกะพริบตาโตปริบ ๆ แล้วถามว่า “แต่ทุกคนบอกว่าเมื่อแต่งงานไปแล้ว ควรเชื่อฟังสามีและถือว่าสามีเป็นที่พึ่งดั่งสวรรค์ของตน ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ เพื่อที่สามีจะได้ไม่ดูถูก และคิดว่าผู้หญิงไม่อาจมีชีวิตที่ดีได้ หากไม่มีผู้ชาย”
หลังจากฟังคำพูดของหลี่เยว่หานแล้ว หลิงซีก็กอดคอของหลี่เยว่หาน แล้วซบคางลงบนไหล่ของหลี่เยว่หาน ก่อนพูดเบา ๆ “เสี่ยวหลิงตังจะจดจำคำพูดของท่านแม่ไว้ จะได้เป็นหญิงห้าวผู้ทะนงเจ้าค่ะ!”
หลี่เยว่หานทำหน้ามุ่ย
หญิงห้าวหรือ???
[1] ศัตรูบนทางแคบ หมายถึง ศัตรูหรือคนที่ไม่อยากพบเจอแต่กลับประสบพบเจอกันโดยง่าย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
MANGA DISCUSSION