บทที่ 191 นางข่ง ‘วังหลานร่ำไห้’
“ท่านแม่พูดจริงหรือเจ้าคะ?” หลิงซีพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของหลี่เยว่หาน แล้วมองหลี่เยว่หานขณะที่น้ำตายังคงเอ่อคลอ “หากข้าขอพรกับดวงดาวทุกวันเป็นพันครั้ง แล้วจะได้เจอพี่ชายกับท่านอาอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอน แม่เคยโกหกเจ้าหรือ” หลี่เยว่หานพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วจับจมูกหลิงซี “กลับบ้านกันเถิด แล้วเราจะขอพรดวงดาวด้วยกันในตอนกลางคืน ดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ!” หลิงซียิ้มทั้งน้ำตา จับมือหลี่เยว่หานเดินกลับบ้าน พลางแกว่งไปมา
หลังจากที่พวกนางเดินจากไปแล้ว วังหลานหรือที่รู้จักกันในชื่อแม่ม่ายข่ง ก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง แล้วมองแผ่นหลังของสองแม่ลูกด้วยสีหน้าซับซ้อน ชั่วครู่หนึ่งนางพลันรู้สึกว่าในใจท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
หลังจากกลับถึงบ้าน วังหลานก็เตรียมอาหารเย็น แล้วมองข่งซูเจี๋ยที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามตน วังหลานลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ถามว่า “ซูเจี๋ย เจ้ารู้สึกว่าแม่คือความละอายใจของเจ้ามาตลอดใช่หรือไม่?”
หลังจากได้ยินดังนั้น ข่งซูเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมองวังหลานด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยคำใด
“ซูเจี๋ย ฟังแม่นะ แม่… แม่รู้ว่าเมื่อก่อนแม่เคยทำเรื่องสกปรกมามากมาย แต่แม่ก็คิดเรื่องนี้มาโดยตลอด เสี่ยวหลิงตังและแม่ของนางสามารถหาเงินได้ด้วยมือของพวกนางเอง ดังนั้นแม่ก็ต้องทำได้เช่นกัน ซูเจี๋ย เจ้าจำได้หรือไม่ว่าแม่ปักผ้าเก่งมาก จากนี้ไปเจ้าจะช่วยแม่ปักผ้าได้หรือไม่?”
ข่งซูเจี๋ยยังไม่เอ่ยคำใด มุ่งความสนใจไปที่การกินเท่านั้น
“แม่รู้ว่าเจ้าเกลียดแม่ และไม่ยอมคุยกับแม่เลย ตั้งแต่เจ้าเริ่มรู้ความ แต่ตอนนี้แม่มีเพียงเจ้าเท่านั้น แม่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีเหมือนเมื่อก่อน เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกสำนักศึกษาไล่ออก เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน แม่จึงต้องทำเรื่องเช่นนั้น แต่ตอนนี้แม่คิดได้แล้วจริง ๆ และอยากจะไปในเส้นทางที่ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ข่งซูเจี๋ยก็วางชามและตะเกียบลง แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งที่ท่านเลือกคือเรื่องของท่าน ข้าจะตั้งใจเรียนให้หนัก เข้าสอบขุนนางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นท่านก็จงดูแลตัวเองไปจนแก่เฒ่าเถิด”
พูดจบ ข่งซูเจี๋ยก็ลุกจากโต๊ะ แล้วกลับไปอ่านหนังสือที่ห้อง
เมื่อเห็นลูกชายของนางจากไปอย่างไม่แยแส วังหลานก็รู้สึกเหมือนหัวใจของนางกำลังถูกทิ่มแทง
เมื่อก่อนตอนที่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายกับนางสนิทกันมาก เช่นเดียวกับหลี่เยว่หานและหลิงซีที่นางเห็นเมื่อตอนกลางวันนี้ นางเคยเล่านิทานให้ลูกชายฟัง พอข่งซูเจี๋ยอายุมากพอที่จะไปสำนักศึกษา นางก็จัดกระเป๋าให้ข่งซูเจี๋ย แล้วส่งเขาไปสำนักศึกษากับสามี
ในวันที่สำนักศึกษาหยุด นางก็จะรีบไปรอรับเขาที่ประตูสำนักศึกษา
ทันทีที่ข่งซูเจี๋ยออกมา เขาจะตะโกนเสียงดังว่า ‘ท่านแม่ขอรับ’ แล้วกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของนาง
ในเวลานั้น บางครั้งสามีของวังหลานจะพูดจารุนแรงกับนาง ข่งซูเจี๋ยก็จะหาเหตุผลที่เข้าข้างนางมาพูดกับพ่อของเขา โดยบอกว่าผู้ชายไม่ควรรังแกผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาของตัวเอง
แต่ว่า… มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด?
หลังจากที่ข่งต้าลี่เสียชีวิตหรือ?
ไม่ ไม่ใช่…
วังหลานร่ำไห้ขณะคิดถึงวันชื่นคืนสุขที่ผ่านไปแล้ว
หลังจากที่สามีของนางเสียชีวิต นางก็ร้องไห้จนเป็นลมนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อนางตื่นขึ้นมา ข่งซูเจี๋ยก็คอยดูแลนาง แม้แต่เด็กน้อยก็ยังจมอยู่กับความเจ็บปวดจากการสูญเสียพ่อไป แต่เพราะรู้ว่าแม่ของตนเป็นคนเปราะบาง จึงบังคับตัวเองให้ต้องอดทนดูแลจิตใจของแม่ และจัดงานศพพ่ออย่างเหมาะสม
จนกระทั่ง…
จนกระทั่งข่งซูเจี๋ยรู้ว่าวังหลานจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพด้วยเรือนร่างของตัวเอง ภายในชั่วข้ามคืน ข่งซูเจี๋ยก็ไม่รู้สึกสงสารแม่ของตนเหมือนในอดีตอีกต่อไป
วังหลานเคยตัดพ้อตัวเอง นางเคยบอกว่าข่งซูเจี๋ยโง่เขลา ไม่เข้าใจว่าแม่เสียสละเพื่อเขามากเพียงใด แต่วันนี้เมื่อเห็นความรักอันลึกซึ้งระหว่างหลี่เยว่หานกับหลิงซี วังหลานก็ตระหนักได้
ไม่ใช่ว่าข่งซูเจี๋ยไม่รู้ความ แต่เขารู้สึกสงสารแม่และเกลียดตัวเองที่ไม่มีประโยชน์พอ ไม่สามารถเป็นเสาหลักของบ้านเพื่อรับหน้าที่ดูแลแม่ต่อจากพ่อได้ จึงทำให้วังหลานต้องมาทำหน้าที่นี้ และต้องเสียสละเช่นนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ วังหลานก็เริ่มร้องไห้ขณะล้างจาน
เปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันในห้องครัว สั่นไหวไปตามลมกระโชกแรง วังหลานร้องไห้หนักจนแทบทนไม่ไหว นางร้องไห้หนักมากจนปวดศีรษะ แต่ก็ไม่อาจลบล้างความเศร้าในใจได้
เป็นเพราะนางล้มเหลวในการเป็นแม่ที่ดี ไม่น่าแปลกใจที่ข่งซูเจี๋ยจะไม่สนใจ พอมาตระหนักได้ วังหลานก็รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว…
ข่งซูเจี๋ยยืนอยู่ในเงามืดนอกประตูห้องครัว มองแม่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าที่ปกติจะเฉยเมยอยู่ตลอดเวลากลับมีร่องรอยของความปวดร้าว เขาอยากปลอบแม่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เท้าของเขาราวกับถูกตอกตะปูกับพื้น ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้
หลังจากนั้นไม่นาน วังหลานก็เช็ดน้ำตาแล้วทำความสะอาดห้องครัวต่อไป ส่วนข่งซูเจี๋ยก็กลับไปที่ห้องของตนเงียบ ๆ
วันรุ่งขึ้น ข่งซูเจี๋ยต้องไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาประจำมณฑลแต่เช้า การเรียนการสอนจะมีการเปลี่ยนไปแต่ละภาคเรียน วังหลานได้เตรียมเงินไว้ให้ข่งซูเจี๋ยล่วงหน้า และจัดสิ่งของจำเป็นประจำวันให้เขา
หากแต่ข่งซูเจี๋ยมักจะปฏิเสธ ไม่ให้วังหลานไปส่งตนไปสำนักศึกษา เช้านี้ข่งซูเจี๋ยจึงเห็นเพียงอาหารเช้าร้อน ๆ บนโต๊ะในครัว แต่ไม่เห็นวังหลาน
หลังอาหารเช้า ข่งซูเจี๋ยแบกหนังสือไว้บนหลัง แล้วเดินออกไป
เมื่อได้ยินเสียงข่งซูเจี๋ยเปิดประตู วังหลานก็เปิดหน้าต่างห้องนาง เฝ้ามองร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายหายไปจากประตู แล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันที่มีตลาด หลี่เยว่หานทำงานทั้งหมดในทุ่งเสร็จแล้วจึงใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการหาไส้เดือน เมื่อเห็นว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา หลิงซีตัวสูงขึ้น เธอจึงพาหลิงซีเก็บข้าวของไปตลาดแต่เช้า เพื่อนำไส้เดือนไปขายและจะซื้อเสื้อผ้าให้เด็กหญิง
แม้ว่าเงินของหลี่เยว่หานจะเพียงพอให้ทั้งสองคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจางหนิงได้โดยไม่ต้องกังวลเลย แต่หลี่เยว่หานรู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยความร่ำรวยของตน
การที่หญิงม่ายต่างถิ่นมีเงินจำนวนหนึ่งอาจถูกมองว่านำสิ่งของจากบ้านของสามีไปขายเพื่อแลกกับค่าครองชีพ เพราะทุกคนรู้ดีว่าชาวนาไม่ได้มีเงินเยอะ แม้ว่าพวกเขาจะขายไร่ของตนไปแล้วก็ตาม ดังนั้นหลี่เยว่หานจึงต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะเผลอไปดึงดูดความสนใจของคนอื่น
“น้องหาน จะไปตลาดหรือ!” ท่านอาหรงที่เป็นคนขับเกวียนเป็นคนใจดี เมื่อเห็นว่าหลี่เยว่หานถือข้าวของเดินมากับหลิงซี เขาก็ทักทายนางอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าค่ะ เสี่ยวหลิงตังตัวสูงขึ้น ข้าเลยจับไส้เดือนไม่กี่ตัวไปขาย เพื่อจะไปซื้อผ้ามาทำเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก” หลี่เยว่หานคลี่ยิ้ม แล้วหยิบทองแดงสามเหรียญออกมามอบให้ท่านอาหรง “ของข้าเยอะมาก ต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่มสำหรับอีกคน”
หลังจากได้ยินดังนั้น ท่านอาหรงก็โบกมือปฏิเสธ “การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เสี่ยวหลิงตังก็ตัวเล็กมาก ข้าไม่เก็บค่าโดยสารเพิ่มหรอก ขอแค่เหรียญทองแดงสองเหรียญก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านอาหรงหาเงินมาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องก็ยังทำงาน ข้าจะเอาเปรียบท่านได้อย่างไร” หลี่เยว่หานยังคงยืนกรานที่จะมอบเหรียญทั้งสามเหรียญ
“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ” หลิงซีพูดจาฉะฉาน “หากท่านอาหรงไม่ยอมรับค่าโดยสาร เสี่ยวหลิงตังก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินไปกับท่านแม่เองเจ้าค่ะ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด ท่านอาหรงก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป ความประทับใจของเขาที่มีต่อหลี่เยว่หานก็ยิ่งมีมากขึ้น เป็นคนดีอะไรอย่างนี้! ลูกที่นางเลี้ยงมาก็เป็นคนมีเหตุผล!
“ไอ้หยา น้องหานเยว่ช่างร่ำรวยเสียจริง~” แม่ม่ายฉางประทินโฉมหนาเตอะ จนคนอื่น ๆ ต่างได้กลิ่นแป้งของนางมาแต่ไกล “ข้าเห็นว่าสองสามวันมานี้หน้าตาเจ้าไม่ค่อยสดใสเลย ข้าว่าชีวิตเจ้าคงลำบากไม่น้อยกระมัง”
MANGA DISCUSSION