บทที่ 185 หานเยว่กับหลิงตังน้อย
เดิมทีพี่จู้กังวลว่าหลี่เยว่หานจะถือตัวและจู้จี้จุกจิก แต่เมื่อเห็นว่าหลี่เยว่หานคุยง่ายมาก นางจึงไม่กังวล
ด้วยความช่วยเหลือของตวนอู่และจงชิว การย้ายบ้านของหลี่เยว่หานและหลิงซีก็เสร็จสิ้นในบ่ายวันนั้น
ด้วยกลัวว่าหลี่เยว่หานจะไม่มีฟืนก่อไฟ ก่อนออกเดินทาง ตวนอู่และจงชิวจึงซื้อฟืนมาให้หลี่เยว่หานแล้ว และบอกว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ให้หลี่เยว่หานไปหาพวกเขาที่โรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลในเมือง
หลังจากมืดลง หลี่เยว่หานก็ต้มน้ำร้อนให้หลิงซีอาบน้ำ จากนั้นเธอก็อาบด้วย ก่อนจะกอดหลิงซีหลับไป แต่ด้วยความแปลกที่ จึงทำให้นางนอนไม่ค่อยหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่เยว่หานตื่นตามเวลาปกติของตนเอง
เมื่อก้มหน้าลงไปมอง ก็เห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนกำลังหลับสบาย เธอจึงลุกขึ้นเงียบ ๆ รีบสวมรองเท้าแล้วออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อทำอาหารเช้า
แม้ว่าจะเพิ่งย้ายเข้ามา และทุกอย่างยังคงใหม่อยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าตวนอู่กับจงชิวได้ซื้อของมากมายมาเตรียมไว้ให้แล้ว มีดและเขียงในครัวเป็นของใหม่ทั้งหมด ก่อนออกเดินทางเมื่อวานนี้ ยังได้ทิ้งข้าวสารไว้ให้สองสามจินด้วย ซึ่งเพียงพอสำหรับหลี่เยว่หานที่จะใช้ทำอาหารไปได้อีกนาน
ทันทีที่นางทำข้าวต้มหนึ่งหม้อเสร็จ หลิงซีก็วิ่งออกจากห้องพร้อมสายตาออดอ้อน
“ท่านอาหญิง…” ทันทีที่หลิงซีอ้าปากพูด นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที จึงรีบก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าหิว”
หลี่เยว่หานตกใจเสียงเรียกของหลิงซี แต่ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหลิงไปอาบน้ำก่อนเถิด อาบน้ำเสร็จค่อยมากินข้าว”
“เจ้าค่ะ!” หลิงซีไปอาบน้ำในบ้านอย่างว่าง่าย
ก่อนนอนเมื่อคืนนี้ หลี่เยว่หานตกลงกับหลิงซีไว้ว่าจากนี้ไปจนกว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะมา พวกนางจะเรียกกันเหมือนเป็นแม่กับลูกสาว ดังนั้นอย่าเผลอเรียกกันผิด
หลังจากหลิงซีอาบน้ำเสร็จ นางก็เดินตามหลี่เยว่หานไปนั่งบนโต๊ะเล็กที่ลานบ้าน แล้วกินข้าวต้มใส่ลูกเดือยที่หลี่เยว่หานทำ
ในที่สุดหลิงซีที่ได้กินแต่อาหารแห้งมานานกว่าครึ่งเดือน ก็ได้กินอาหารที่หลี่เยว่หานทำ ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขมากเพียงใด
เมื่อเห็นเด็กน้อยส่ายหน้าด้วยความพึงพอใจ หลี่เยว่หานก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดูเหมือนเจ้าจะมีความสุขนะ!”
“ข้ามีอาหาร เครื่องดื่ม บ้าน และท่านอาหญิง… ท่านแม่ ข้าย่อมมีความสุข~” หลิงซีพูดด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่พูดจบ ก็มีคนมาเคาะประตู “น้องหาน น้องหานตื่นหรือยัง?”
เสียงภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านฟังดูกระตือรือร้น “ข้าตื่นแล้ว!” หลี่เยว่หานเงยหน้าขึ้นตอบ แล้วเดินไปที่ประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน กำลังถือกล่องอาหารอยู่ในมือยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลี่เยว่หาน “เมื่อวานข้าช่วยพวกเจ้าสองคนขนของมาที่นี่ จึงคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรกิน ข้าจึงเอาอาหารมาให้พวกเจ้า”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็รู้สึกอบอุ่นในใจ “ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่จู้ ตวนอู่ทิ้งอาหารไว้ให้พวกเราเมื่อวานนี้แล้ว หลังจากที่ข้าคุ้นเคยกับหมู่บ้านของเราแล้ว ข้าก็จะไปซื้อมาเอง”
หมู่บ้านจางหนิงอยู่ใกล้กับเมืองหลวง จึงมีความเจริญมากกว่าหมูู่บ้านไป๋อวิ๋น แต่ไม่ว่าชาวบ้านจะร่ำรวยเพียงใด แต่ก็ยังถือว่าเป็นชนบท การนำอาหารมาให้เช่นนี้ ทำให้หลี่เยว่หานเห็นว่าพี่จู้มีจิตใจที่ดีจริง ๆ
หลังจากฟังคำพูดของหลี่เยว่หาน พี่จู้ที่วางแผนจะเข้าหาหลี่เยว่หานมาตั้งแต่แรกก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เมื่อหลี่เยว่หานเห็นนางยืนอยู่ที่ประตู โดยไม่ได้เอ่ยคำใดหรือจากไป เพียงแต่มองด้วยรอยยิ้ม นางก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “หากพี่จู้ไม่รังเกียจ ก็เข้ามากินข้าวเช้ากับพวกเราสิเจ้าคะ”
ในที่สุดพี่จู้ก็มีหนทาง นางอดดีใจไม่ได้ หลี่เยว่หานต้อนรับนางเข้าบ้านด้วยสีหน้าอบอุ่นแล้ว
ท้ายสุดหลี่เยว่หานก็เข้าใจแล้ว ว่าพี่จู้อาจวางแผนเพื่อผลประโยชน์บางอย่างไว้แล้ว
“โอ้ ข้าวต้มอะไรกัน มันอร่อยมาก!” พี่จู้พูด แล้ววางกล่องอาหารที่นางนำมาไว้ด้านข้างโดยไม่ใส่ใจ หลังจากล้างมือแล้ว นางก็หยิบชามเปล่ามาตักข้าวต้มใส่จนเต็ม ข้าวต้มลูกเดือยชามใหญ่ ใส่ไข่กวนกับต้นหอมลงไปด้วย
สำหรับหลี่เยว่หานและหลิงซีที่กินแต่อาหารแห้งมานานกว่าครึ่งเดือน นี่ก็ถือเป็นอาหารที่หายาก
ทั้งสองยังไม่กล้าใส่ไข่กับต้นหอมเลย แต่พี่จู้กลับใส่ไข่กวนและต้นหอมเยอะมาก นางตักไข่กวนกับต้นหอมใส่ชามตัวเองไปเกือบครึ่ง เมื่อกินเสร็จ นางก็วางชามและตะเกียบลงด้วยความพึงพอใจ ซึ่งพี่จู้กินข้าวต้มลูกเดือยชามใหญ่สองชามจนหมดเกลี้ยง
“อา…” ในที่สุดพี่จู้ก็อิ่ม นางเกือบลืมไปว่านางเอาของบางอย่างมาให้เด็กกำพร้าและแม่ม่ายสองคนนี้ นางลูบท้องป่องของตน แล้วพูดว่า “น้องหานเยว่ฝีมือดีมาก หากเจ้าขายอาหารในเมือง ธุรกิจของเจ้าต้องเฟื่องฟูเป็นแน่!”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็ยิ้มอ่อน “ข้าจะขายอาหารได้อย่างไร ข้าต้องดูแลหลิงตังด้วย”
หลิงซี เด็กคนนี้ไม่เคยซ่อนเร้นอารมณ์ ทำให้ยามนี้แทบจะมีคำว่า ‘ไม่รับแขก’ เขียนอยู่บนหน้าของนางเสียแล้ว พี่จู้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร
“โอ้ เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านที่อายุเท่าหลิงตัง สามารถช่วยงานครอบครัวได้มากมาย เด็กคนนี้คงอายุสามขวบแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าบอกเจ้าเลยว่าไม่ควรประคบประหงมนางมาก ไม่เช่นนั้นนางจะโตมาเป็นคนนิสัยเสีย!”
เมื่อพูดจบ พี่จู้ก็จ้องหลิงซีเขม็ง ราวกับรู้ว่าในอนาคตหลิงซีจะดื้อรั้นและไร้เหตุผล แล้วนางก็ส่ายหน้า
หลี่เยว่หานที่เดิมทียอมให้พี่จู้มากิน ดื่ม และคุยกันที่นี่ สีหน้ากลับกลายเป็นบูดบึ้ง เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่จู้พูด “พี่จู้ ข้ากับพ่อของนางตั้งหน้าตั้งตารอหลิงตังมาหลายปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้จะมีสุขภาพไม่ดี เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ของนาง ตั้งแต่นางยังแบเบาะ และตอนนี้นางก็อายุเพียงสี่ขวบ ข้าจะปล่อยให้นางเติบโตด้วยความยากลำบาก เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของหลี่เยว่หานเริ่มไม่ค่อยดี พี่จู้ก็กลับมามีสติ “ดูปากของข้าสิ เผลอพูดจาเหลวไหลไปเสียได้! น้องหานอย่าได้ใส่ใจเลย ข้าก็แค่เกรงว่าเจ้าเป็นแม่ม่ายลูกติดแล้วจะมีชีวิตที่ยากลำบาก หากเจ้าคิดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นพี่สาวก็จะไม่ว่าอันใดเจ้าหรอก”
“ข้ารู้ว่าตอนที่ข้ากับหลิงตังย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านจางหนิง ช่วงเวลาจัดสรรที่ดินได้ผ่านไปแล้ว ไม่ทราบว่าพี่จู้สามารถช่วยข้าถามหัวหน้าหมู่บ้านอวี๋ให้หน่อยได้หรือไม่ ว่าในหมู่บ้านยังมีที่ดินเปล่าว่างอยู่หรือไม่ ข้าต้องการเช่าเจ้าค่ะ”
สีหน้าของพี่จู้ก็เริ่มจริงจัง “ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถามเรื่องนี้ให้เจ้า ดูเหมือนว่าจะมีที่ดินว่างอยู่ผืนหนึ่ง เพราะบริเวณนั้นค่อนข้างห่างไกล หากเจ้าเช่าได้ก็จะดีมาก”
หลังจากพูดจบ พี่จู้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “น้องสาว ข้าไม่ได้อยากรู้อยากเห็นเกินไป แต่ข้าต้องเตือนเจ้าว่าเจ้าต้องวางแผนการใช้เงินให้ดี อย่าใช้เงินสิ้นเปลือง เมื่อถึงเวลาที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินที่บ้านก็จะแย่เอา”
หลังจากได้ยินดังนั้น หลี่เยว่หานก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรหรอก หากต้องการอยู่ในหมู่บ้าน ข้าก็ต้องหางานทำ ชีวิตชาวไร่ชาวนา การทำไร่ย่อมมีประโยชน์กว่าอยู่เฉยแน่นอน เพราะหากให้ไปทำงานอย่างอื่น ข้าก็ทำไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ”
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าคิดจะทำ พี่จะลองไปถามพี่ใหญ่ให้เจ้า ว่ายังมีที่ดินว่างอยู่หรือไม่”
MANGA DISCUSSION