บทที่ 177 พวกปัญญานิ่มไม่ได้ดั่งใจ
ผู้คนที่มารวมตัวกันบริเวณหน้าบ้านสกุลเมิ่งเห็นหมอเฉินเดินตามมู่ชวนไปยังห้องครัว จึงอดที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาเสียไม่ได้
“ได้ยินมาจากฮูหยินหลิวว่านางกำลังจะสิ้นใจในไม่ช้านี้ ข้าไม่อยากเชื่อเลย แล้วตอนนี้ท่านหมอเองก็ดูเป็นกังวลเช่นนั้น ข้าคิดว่าอาจมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นก็เป็นได้!”
“แล้วสหายเมิ่งเล่า? เหตุใดจึงไม่เห็นเขาเลย?”
“ข้าตื่นแต่เช้า เห็นว่าสหายเมิ่งออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับเกวียนม้า อาจจะเข้าไปในเมืองก็เป็นได้”
“เหอะ ๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านสกุลเมิ่งกันแน่ มีเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
ฮูหยินของบ้านสกุลหลิวได้ยินฝูงชนเอ่ยดังนั้น จึงร้องห่มร้องไห้ “ใครจะรู้ว่าเยว่หานกำลังขัดขาใครอยู่หรือเปล่า! คนร้ายคงอาศัยจังหวะที่คนในบ้านไม่อยู่เข้าไปวางยา หวังฆ่าเอาชีวิต! เยว่หานก็ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว หลิงซีเองก็มีสีหน้าหมองคล้ำเช่นกัน เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไร…”
เมื่อเอ่ยจบ ฮูหยินแห่งบ้านสกุลหลิวก็ซบลงบนไหล่ของสามีพลางร้องห่มร้องไห้
ทุกคนต่างทราบดีว่าสกุลหลิวกับสกุลเมิ่งต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฮูหยินสกุลหลิวและหลี่เยว่หานก็สนิทกัน เมื่อเห็นว่านางร่ำไห้ ทุกคนจึงต่างพากันเศร้าโศก
แต่คำพูดของฮูหยินสกุลหลิวกลับทำให้ทุกคนตื่นตัว
หากหลี่เยว่หานกำลังขัดขาใครบางคน บุคคลผู้นั้นต้องเหี้ยมโหดมากเป็นแน่ หวังหลอกให้เมิ่งฉีฮ่วนไปให้พ้นทางแล้ววางยาหลี่เยว่หานตอนที่เขาไม่อยู่บ้านเช่นนี้ นี่… คงไม่ใช่…
ทุกคนต่างพากันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแทบจะทันที ทันใดนั้น สายตาของพวกเขาจึงจับจ้องไปยังจินเสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังยืนรับชมความสนุกอยู่ด้วย
“แม่นางคนนี้ไม่ใช่คนที่บอกว่าเป็นแม่ของเด็กทั้งสองหรอกหรือ? แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่สหายเมิ่งมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นของพวกเราพร้อมเด็กทั้งสองคนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? เขาเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าพ่อแม่ของมู่ชวนและหลิงซีไม่อยู่แล้ว เขาเพียงแค่อยากมาขอพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเรา”
“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?”
“พวกเจ้าลองคิดดูสิ พ่อแม่ของมู่ชวนกับหลิงซีไม่อยู่แล้ว และแม่เล็กของพวกเขาก็อาจโดนครอบครัวทางฝั่งของสามีขับไล่ เช่นนั้นแล้วจะไม่มาหาที่พึ่งถึงหน้าประตูบ้านหรอกหรือ!”
“อ๋อ! หรือนางอาจไม่อยากเป็นเพียงพี่สะใภ้อีกแล้ว แต่อยากเป็นภรรยาแทนอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินสกุลชิว โดยปกติแล้วนางเพียงแค่รับชมความสนุกอย่างไม่จริงจังสักเท่าไหร่นัก แต่ครั้งนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงไม่ได้ดังมาก ตอนนี้ทุกคนจึงพากันจ้องมองไปที่จินเสวี่ยเอ๋อร์
จินเสวี่ยเอ๋อร์ทราบดีว่าตนไม่ควรโผล่หน้ามารับชมความสนุกในตอนนี้ แต่ด้วยความที่นางยังไม่เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลี่เยว่หาน ตนยังไม่ค่อยวางใจ จึงยอมจำใจเสี่ยงมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าผู้คนจะเอ่ยพูดเช่นนี้ ด้วยความอยากลงโทษนาง
“มะ… มองข้าทำไมกัน…” จินเสวี่ยเอ๋อร์เริ่มทำตัวให้เล็กลงก่อนจะพูดจาด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ข้าเพิ่งย้ายไปอยู่ที่ใหม่ วุ่นกับการเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งข้างในและข้างนอกตัวเรือน บังเอิญได้ยินว่าเกิดเรื่องในบ้านสกุลเมิ่ง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า…”
นางยังคงเอ่ยพูดเช่นนั้นด้วยความมาดมั่น
วันนี้นางตื่นแต่เช้า ทำความสะอาดทั้งในและนอกตัวเรือน นอกจากนี้ประตูก็ไม่ได้ปิดด้วย ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างมองเห็นกันหมด
แต่ทุกคนเพียงแค่เดินผ่านประตูของนางไปเท่านั้น ไม่ได้ทันสังเกตว่านางอยู่ในบ้านหรือเปล่า
“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าตนมาที่นี่เพื่อดูแลมู่ชวนและหลิงซี?” ฮูหยินตระกูลชิวเกลียดใบหน้านวลผ่องดุจดั่งดอกบัวสีขาวของนางเป็นที่สุด ก่อนจะเอ่ยพูดจาเสียดสีประชดประชัน “ตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับบ้านสกุลเมิ่ง หลิงซีเองก็โดนวางยาพิษ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่รีบไปดูแลคนอื่น ๆ เสียเล่า?”
“ข้า…” จินเสวี่ยเอ๋อร์จะคิดดีมีน้ำใจงามเช่นนั้นได้อย่างไร “พวกเจ้าขวางอยู่ตรงหน้าประตูอย่างแน่นหนาเพียงนี้ แล้วข้าจะเข้าไปได้อย่างไรเล่า”
หลังจากเอ่ยจบ ชาวบ้านทุกคนก็ต่างพากันหลีกทางให้จินเสวี่ยเอ๋อร์
จินเสวี่ยเอ๋อร์ “…” ทำไมพวกเจ้าถึงสมองนิ่มไม่ได้ดั่งใจอย่างนี้! นางรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!
ภายใต้สายตาที่จ้องจับผิดของทุกคน จินเสวี่ยเอ๋อร์จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทนกัดฟันสู้แล้วเดินเข้าไปในลานบ้านสกุลเมิ่ง
เข้าไปได้ไม่นาน นางก็พบมู่ชวนและท่านหมอเฉินที่กำลังเดินออกมาจากในห้องครัว
“ท่านหมอ น… น้องสะใภ้ของข้ากับหลิงซีเป็นอย่างไรบ้าง!” จินเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าคิ้วขมวด “มู่ชวน น้องสาวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!”
มู่ชวนปรายตามองจินเสวี่ยเอ๋อร์อย่างเยือกเย็น ไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใด
หมอเฉินท่าทีค่อนข้างสุขุมกว่ามู่ชวนเสียหน่อย หลังจากปรายตามองดูจินเสวี่ยเอ๋อร์อยู่เพียงครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเพิ่งใช้เข็มเงินตรวจหาพิษ มีคนใส่พีซวง*[1] ลงในหม้อที่ตั้งเอาไว้อยู่ในห้องครัว ทั้งฮูหยินเมิ่งและหนูน้อยหลิงซีต่างอาการหนักอย่างมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้าประตูจึงพากันอ้าปากค้างอย่างแตกตื่น!
พีซวง! นั่นเป็นพิษที่ร้ายแรงมาก!
เมื่อฮูหยินหลิวเห็นเช่นนั้น นางจึงร่ำไห้หนักขึ้น “แม่นางเยว่หาน! หลิงซียังเด็กมากแท้ ๆ! เช่นนี้จะทำอย่างไรกันดี!”
“แต่ทุกท่านอย่าเพิ่งกังวลไป ข้าลองตรวจดูแล้ว ถึงแม้ว่าฮูหยินเมิ่งและหลิงซีจะโดนวางยา แต่ก็ไม่ได้รับพิษเข้าไปมากนัก เพียงแค่ให้ยาเพื่อทำให้อาเจียนก็ยังพอมีทางรอด”
เมื่อเอ่ยจบ ท่านหมอเฉินก็รีบเดินเข้าไปในลานด้านในทันที
จินเสวี่ยเอ๋อร์อยากจะตามไป แต่กลับโดนสายตาของมู่ชวนที่จ้องมองมาอย่างเย็นชา ทำให้นางหยุดชะงักลง
ในตอนนี้จินเสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อหรือถอยกลับดี
หากเข้าไป ก็ทราบดีว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ และแม้ว่าหลิงซีจะโดนวางยา แต่มู่ชวนก็ทำท่าพร้อมจะกัดนางอยู่ทุกเมื่อประหนึ่งลูกหมาป่า แต่หากไม่เข้าไป ชาวบ้านที่ยืนรวมตัวอยู่ตรงหน้าประตูบ้านสกุลเมิ่งก็จะพากันจ้องจับผิดนาง
ด้วยความเข้าใจว่าจินเสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นด้วยการอ้างว่าจะดูแลเด็กทั้งสอง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น จินเสวี่ยเอ๋อร์จึงอดทนยอมกัดฟันแล้วเดินเข้าไปข้างใน
“ออกไป!” มู่ชวนยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าไปลานด้านใน พลางจ้องมองจินเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว “มีคนบอกข้าว่าท่านเป็นคนวางยา! หากเข้ามาแล้วทำอะไรท่านอาหญิงกับน้องสาวของข้าจนถึงแก่ชีวิต ข้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่ฆ่าท่าน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จินเสวี่ยเอ๋อร์จึงยืนนิ่ง “มู่ชวน เจ้าพูดอะไรกัน ข้าจะไปวางยาได้อย่างไร!”
“เหอะ” มู่ชวนสบถด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มีคนเห็นว่าเจ้าเข้ามาในบ้านของข้า!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา หัวของจินเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกมึนงงทันใด สีหน้าก็ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก “ไร้สาระ… ข้าเข้ามาเมื่อไหร่กัน…ข้าเปล่า….”
น่าเสียดายที่หลังจากนางเอ่ยตอบโต้กลับด้วยใบหน้าซีดเซียว นางก็ได้จมอยู่กับถ้อยคำสาปแช่งของพวกชาวบ้าน
ฮูหยินสกุลชิวเป็นคนแรกที่ออกตัววิ่งนำเข้ามา นางคว้าผมของจินเสวี่ยเอ๋อร์ก่อนจะลากออกไป พลางเอ่ยบอกมู่ชวนขณะที่ก้าวเดิน “มู่ชวน เจ้าไปดูแลอาหญิงกับหลิงซีเถิด นังผู้หญิงคนนี้พวกข้าจะจับตาดูให้เอง!”
“ขอบคุณท่านป้าชิว” มู่ชวนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในลานด้านใน
ในขณะนี้ หลี่เยว่หานกำลังอุ้มหลิงซียืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อซุนไท่กงเห็นมู่ชวนเดินกลับเข้ามา จึงเอ่ยต่อ “มู่ชวน เจ้าแค่เดินออกไปส่งท่านหมอเฉิน ข้าจะบอกให้หลิวโหย่วฉายและฮูหยินของเขาเข้ามาดูแลเยว่หานและหลิงซี จะได้เอ่ยบอกกับทุกคนได้ว่าทั้งสองคนได้รับยาและอาเจียนขับพิษออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากรอดพ้นคืนนี้ก็จะหายห่วง”
เมื่อได้ยินดังนั้น หมอเฉินจึงทำมือแสดงความเคารพ “ศิษย์ทราบแล้วขอรับ”
มู่ชวนสับสนนิดหน่อย “เหตุใดจึงต้องวางกับดักเช่นนี้กับจินเสวี่ยเอ๋อร์หรือขอรับ?”
“จินเสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนใส่ยาพิษลงในหม้อ” หลี่เยว่หานเอ่ยเล่า “พวกเราต้องอาศัยประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อสืบหาคนที่บงการนางอยู่เบื้องหลัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ชวนจึงพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกลังเลกับเรื่องนี้สักนิด ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านของตนแล้วหยิบนกหวีดออกมาเป่า หลี่เยว่หานคิดว่าเขากำลังเรียกสุนัข ก่อนที่เธอจะทันเอ่ยถามออกมา ก็พบว่านกกระจอกซือหรานบินร่อนลงมายังสนามหญ้า มู่ชวนผูกข้อความที่ตนเองเขียนเอาไว้รอบบริเวณคอของนกกระจอก แล้วใช้ขนของมันปิดบังเพื่อซ่อนเอาไว้ หลังจากนั้นจึงปล่อยไป
หลี่เยว่หานเห็นมู่ชวนทำทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว ก็ถึงกับตกตะลึง
สรุปแล้ว… ยังมีเรื่องอีกมากเท่าไหร่ที่เธอยังไม่รู้?
[1] พีซวง หรือยาเบื่อหนู ในแพทย์แผนจีนระบุว่า เป็นพิษใหญ่ที่มีฤทธิ์แรง สามารถใช้รักษาโรคได้บางโรคโดยผสมเข้ากับยาตัวอื่น เช่น โรคมาลาเรีย อาการสโตรก (โรคหลอดเลือดสมอง) ชนิดที่มีเสมหะอุดกลั้น
MANGA DISCUSSION