บทที่ 172 ปล่อยเอาไว้หรือไล่ออกไป
เมื่อดูท่าทีเย่อหยิ่งของหลี่เยว่หาน จินเสวี่ยเอ๋อร์ก็เม้มริมฝีปากของตนแน่น ก่อนจะแสดงสีหน้าประหนึ่งว่ายอมตายแต่ไม่ยอมจำนน “ให้ข้าสาบานถึงชีวิตไม่พอ ครอบครัวของข้าก็ยังต้องมารับผลกรรมไปด้วยอย่างนั้นหรือ เจ้าให้ข้าเอ่ยสาบานเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาร้าย!”
แม้ทุกอย่างที่เอ่ยออกมาจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่นางก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยสาบานอย่างรุนแรงเช่นนั้น ดังนั้นอย่าได้คิดถึงตอนที่จินเสวี่ยเอ๋อร์พูดจาโป้ปดเลย
เมื่อเห็นว่าจินเสวี่ยเอ๋อร์มีอาการเช่นนี้ หลี่เยว่หานจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้น “ก็ได้ หากเจ้าบอกว่ามันจะส่งผลถึงครอบครัวของเจ้าด้วย ถ้าอย่างนั้นเจ้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ก็แล้วกัน หากสิ่งที่พูดไปนั้นบิดเบือนไปจากความจริงแม้แต่นิดเดียว ขอให้เจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นคณิกาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงฆาตก่อนวัยอันควร ผู้คนนับหมื่นที่ขี่เจ้า สุดท้ายก็จะป่วยเป็นโรคร้ายและตายไปทั้งตุ่มหนอง”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ใจร้ายเช่นนี้!” จินเสวี่ยเอ๋อร์กัดฟันพลางจ้องมองหลี่เยว่หาน ท่าทางดูตื่นตระหนก ก่อนจะหันกลับไปมองเมิ่งฉีฮ่วนแทน “น้องเมิ่ง ข้าเป็นอนุของพี่ชายร่วมสาบานของเจ้านะ เจ้าจะปล่อยให้ภรรยาของเจ้าทำให้ข้าอับอายเช่นนี้หรือ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น แม้เมิ่งฉีฮ่วนจะรู้สึกว่าคำสาบานที่หลี่เยว่หานยัดเยียดให้จินเสวี่ยเอ๋อร์นั้นจะรุนแรงเกินไปบ้าง แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างหญิงสาว ก่อนจะมองไปยังจินเสวี่ยเอ๋อร์แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากท่านไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เช่นนั้นก็คงจะไม่หวาดกลัวที่จะเอ่ยคำสาบาน ที่นี่มีซุนไท่กงที่เป็นผู้อาวุโสอยู่ด้วย ทว่าท่านเองก็ไม่ได้เอ่ยว่าเยว่หานทำเกินไป แต่ท่าทีเช่นนี้ของท่านทำให้ข้ารู้สึกว่าคำพูดของท่านอาจมีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
ประโยคนี้ทำให้ซุนไท่กงโกรธขึ้นมาทันที
ผู้อาวุโสยกไม้เท้าหัวมังกรในมือกระทุ้งลงบนพื้นพลางเอ่ยว่า “แม่นางจิน สิ่งที่เสี่ยวเมิ่งพูดนั้นถูกต้องแล้ว หากเจ้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่เอ่ยสาบานคงทำได้อย่างแน่นอน หากเจ้าตื่นตระหนกมากจนเกินไป มันจะทำให้ข้ารู้สึกว่าเจตนาที่แท้จริงของเจ้านั้นไม่ใช่อย่างที่พูดก่อนหน้านี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สติจินเสวี่ยเอ๋อร์ก็เหมือนจะล่องลอยออกไป
หญิงสาวคิดวนเวียนอยู่กับคำสบถด่า และลืมไปว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่พักหนึ่ง
ทั้งหมดเป็นความผิดของหลี่เยว่หาน นังผู้หญิงเลวทรามคนนี้!
เมื่อคิดได้ดังนั้น จินเสวี่ยเอ๋อร์จึงหันไปมองหลี่เยว่หาน
เมื่อเห็นดังนั้น เมิ่งฉีฮ่วนจึงดันตัวหญิงสาวไปหลบหลังตน เพื่อให้พ้นจากสายตาของจินเสวี่ยเอ๋อร์
“ได้!” จินเสวี่ยเอ๋อร์เองก็ไม่รู้ว่านึกอย่างไรจึงได้กัดฟันตอบตกลงไป “หากสิ่งที่ข้าพูดไม่เป็นความจริง ขอให้ข้ากลายเป็นคณิกาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และตายอนาถด้วยโรคร้าย!”
แม้จะไม่ได้เอ่ยเหมือนประโยคของหลี่เยว่หานทั้งหมด แต่คำสาบานต่อชีวิตของจินเสวี่ยเอ๋อร์เองก็ถือว่าทรงพลังพอสมควร
เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าเคร่งขรึมของท่านปู่ซุนก็อ่อนลง “แม้เจ้าจะบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่เจ้าก็ต้องการที่จะขายหลิงซี เรื่องนี้ต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพูดไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม แต่เห็นว่าเจ้าเคยเป็นอนุ ทั้งยังเคยโดนบังคับให้ขายเรือนร่าง ครั้งนี้ข้าจึงจะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อน พรุ่งนี้ตามไปพบข้าที่ศาลาว่าการ เพื่อนำทะเบียนบ้านของเจ้าย้ายเข้าไปในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นของข้าให้เรียบร้อย จากนั้นเจ้าจะสามารถอยู่ที่นี่ก่อนได้”
หลี่เยว่หานนึกไม่ถึงว่าท่านปู่ซุนจะปล่อยจินเสวี่ยเอ๋อร์ไป ดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นก็ถูกเมิ่งฉีฮ่วนคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนกำลังมองมา เธอจึงพยักหน้าอย่างจำใจ หลังจากนั้นก็เม้มปากไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่เยว่หานรู้ว่าชายหนุ่มรักหลิงซีมากเพียงใด อีกทั้งชีวิตของพวกเขายังน่าสงสารมากอีกด้วย เขาคงไม่ปล่อยให้อันตรายอยู่รอบตัวเด็กหญิงอย่างแน่นอน ในวันนี้ที่เขาทำเช่นนี้ …คงเป็นเพราะคิดถี่ถ้วนดีแล้ว
หลังจากคิดได้ดังนั้น หลี่เยว่หานจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เธอสะบัดมือของเมิ่งฉีฮ่วนให้หลุดออก จากนั้นก็เดินออกจากลานด้านนอกเข้าไปในบ้าน
“ข้าอยู่ได้… ข้าอยู่ได้จริงหรือเจ้าคะ?” น้ำตายังคงเปื้อนไปทั่วใบหน้าของจินเสวี่ยเอ๋อร์ นางมองซุนไท่กง ก่อนจะหันไปมองเมิ่งฉีฮ่วนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า ข้าจึงไม่อาจให้ท่านต้องกลับไปทุกข์ทรมานได้” สีหน้าของเมิ่งฉีฮ่วนดูซื่อตรง “การอนุญาตให้ท่านอยู่ในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น ก็เป็นความคิดของซุนไท่กงเช่นกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น จินเสวี่ยเอ๋อร์จึงรีบคุกเข่าลงทันทีพลางก้มคำนับซุนไท่กงสามครั้ง พลางมองด้วยแววตาขอบคุณ “เสวี่ยเอ๋อร์ขอบคุณไท่กงมากเจ้าค่ะ เสวี่ยเอ๋อร์ขอบคุณไท่กงมาก!”
“เอาเถอะ ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้วเจ้าก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเสี่ยวเมิ่งเสียหน่อย พรุ่งนี้เจ้าจะต้องย้ายออกจากบ้านสกุลเมิ่ง” ท่านปู่ซุนเองก็ไม่เคยเจอคนเช่นจินเสวี่ยเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงไล่คนออกจากบ้านนี้ไปก่อน
จินเสวี่ยเอ๋อร์ไม่กล้าขัด นางลุกขึ้นคำนับซุนไท่กงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองเมิ่งฉีฮ่วนด้วยแววตาล่องลอยอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องโถงแล้วกลับไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อเห็นว่านางเดินจากไปแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันมองซุนไท่กง “จะเก็บนางไว้จริงหรือขอรับ?”
“เก็บนางไว้ก่อน” ซุนไท่กงพยักหน้า “เจ้าไม่อยากจับปลาตัวใหญ่หรอกหรือ การปล่อยเหยื่อเอาไว้เช่นนี้สามารถล่อปลาตัวใหญ่ออกมาได้”
“แต่ข้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอาจไม่ใช่ผู้บงการเสวี่ยเอ๋อร์โดยตรงก็ได้ขอรับ” เมิ่งฉีฮ่วนนั่งลงข้าง ๆ ซุนไท่กง “ครั้งนี้คงล่อจับได้เพียงกุ้งตัวเล็กเท่านั้น แล้วจากนี้จะทำอย่างไรกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังกันเล่าขอรับ?”
“เจ้านี่นะ” ซุนไท่กงถอนหายใจ “ฉลาดก็ฉลาด ทว่าก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่บางส่วน หากเจ้าไล่นางไปตอนนี้ ไม่เพียงเจ้ากุ้งตัวเล็กที่บงการนางอยู่จะไหวตัวทันเท่านั้น แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเองก็จะระวังตัวด้วยเช่นกัน มันไม่คุ้มเสี่ยงใช่หรือไม่”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนจึงพยักหน้า เขายืนขึ้นก่อนจะโค้งคำนับแสดงความนับถือซุนไท่กง “ศิษย์ทราบแล้วขอรับ!”
“เอาเถอะ ข้ายู่คนเดียวในชนบทมานาน ทั้งยังผันตัวมาเป็นชาวนาแล้วด้วย รับความเคารพจากเจ้าไม่ได้หรอก” ซุนไท่กงกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมไม้เท้าคู่กาย “นี่ก็เริ่มสายแล้ว ข้าจะแวะไปดูหลิงซีเสียหน่อย เหตุการณ์นี้คงจะทำให้จินเสวี่ยเอ๋อร์ไม่กล้าทำอะไรร้ายแรงกับหลิงซีแล้วล่ะ แต่วันนี้จินเสวี่ยเอ๋อร์และภรรยาของเจ้ามีปากเสียงกัน นางคงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่ เจ้าควรจับตามองภายในบ้านให้มากขึ้น จนกว่าจินเสวี่ยเอ๋อร์จะย้ายออกในวันรุ่งขึ้น ดูแลอย่าให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก”
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ” เมิ่งฉีฮ่วนยังคงแสดงท่าทีนอบน้อม
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของชายหนุ่ม ซุนไท่กงเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากบ้านสกุลเมิ่งไป
ขณะที่กำลังมองดูแผ่นหลังของซุนไท่กง เมิ่งฉีฮ่วนก็ได้แต่ถอนหายใจ
โชคดีที่จินเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้พบแม่นางซุนตอนที่ไปบ้านผู้อาวุโส มิเช่นนั้นนางคงจำได้อย่างแน่นอนว่าซุนไท่กงคือท่านราชครูในตอนนั้น
ซุนไท่กงขอให้ใครบางคนสร้างตัวตนใหม่ให้หลังออกจากเมืองหลวง ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ได้เปิดเผยตัวในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอีกเลย เพราะก่อนหน้านี้เมิ่งฉีฮ่วนเคยเรียนอยู่กับพวกท่านอ๋อง ดังนั้นจึงเคยพบกับเขามาก่อน อีกทั้งชายหนุ่มก็เคารพอีกฝ่ายมาก
หลังจากเห็นว่าท่านปู่ซุนจากไปแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนจึงเปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปนั่งอยู่ด้านใน
ไฟในห้องของหลี่เยว่หานถูกปิดไว้ แต่ไฟในห้องของหลิงซียังคงเปิดอยู่
เมิ่งฉีฮ่วนเปิดประตูเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะมองหลี่เยว่หานที่เผลอหลับอยู่ข้างเตียงของเด็กหญิง มู่ชวนกับหลิงซีนอนด้วยกัน พวกเขาหลับไปโดยมีหญิงสาวกอดอยู่ไม่ห่าง
เด็กทั้งสองถูกห่มผ้าไว้อย่างแน่นหนาและนอนหลับสนิท ส่วนหญิงสาวนอนอยู่ข้างเตียงเพียงคนเดียว ภาพตรงหน้าทำให้เมิ่งฉีฮ่วนรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย
เขาเดินไปก่อนจะสะกิดหลี่เยว่หานเบา ๆ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งฉีฮ่วน เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เจ้าทำข้ากลัวนะ”
“กลับไปนอนเถอะ ข้าจะเฝ้าที่นี่ให้เอง” เมิ่งฉีฮ่วนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าเฝ้าเอง วันรุ่งขึ้นเจ้าต้องพาจินเสวี่ยเอ๋อร์ออกไป เรื่องนี้อาจจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อย” หลี่เยว่หานกล่าว ก่อนจะซุกตัวลงในผ้าห่มกับพวกเด็ก ๆ ภายใต้แสงไฟสลัว ๆ จากตะเกียงน้ำมัน ใบหน้าของนางช่างเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนยิ่งนัก
MANGA DISCUSSION