บทที่ 165 ไม่จำเป็น
เป็นอย่างที่หลี่เยว่หานคิด เมิ่งฉีฮ่วนก็โอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา
จากนั้นจินเสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้ตัวว่าเมิ่งฉีฮ่วนมาถึงแล้ว นางรีบเช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืนจากพื้น หญิงสาวมองไปที่หลี่เยว่หานผู้ดูอ่อนแอในอ้อมแขนของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วพูดว่า “ข้า… เมื่อครู่ที่ห้องนั้นข้าพูดสิ่งที่ไม่ดีออกไป พอคิดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป จึงมาที่นี่เพื่อขอโทษน้องสะใภ้”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีพ่อแม่ พี่ชายร่วมสาบานของข้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนลูกชายของเขาเอง พี่ชายของข้าจึงเหมือนพ่อของข้าเอง และพี่สะใภ้ก็เหมือนแม่ของข้า ตอนนี้พี่ชายจากไปแล้ว ท่านถือว่าเป็นผู้อาวุโสของพวกเราสามีภรรยา ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้”
เมื่อหลี่เยว่หานได้ยินเมิ่งฉีฮ่วนพูด ‘ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’ เธอก็แทบจะกระโดดขึ้นทุบหัวของอีกฝ่าย!
‘ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าถึงจะถูกจินเสวี่ยเอ๋อร์ทำให้คลื่นไส้ เธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กลับงั้นหรือ?
“ส่วนเยว่หาน” เมิ่งฉีฮ่วนกล่าวขณะก้มหน้าลงไปมองหลี่เยว่หานในอ้อมแขนของเขา ซึ่งกำลังมองไปทางจินเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยดวงตากลมโตแล้วพูดเบา ๆ “วันนี้เองนางก็ทนทุกข์ทรมานจากความหนาวเย็นเช่นกัน ถ้าพี่สะใภ้รู้สึกสงสารนางกับหลิงซีจริง ๆ และรู้สึกว่าพฤติกรรมของท่านเมื่อครู่ผิด โปรดช่วยข้าทำอาหารกลางวันนี้ด้วย”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็เข้าใจทันทีและแสดงสีหน้าอ่อนแอใส่จินเสวี่ยเอ๋อร์ “พี่สะใภ้ ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่ควรตะโกนใส่ท่าน ตอนนี้ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเช่นกัน เรื่องอาหารเที่ยงต้องฝากท่านแล้ว”
“อ๊ะ!… ดูเวลาสิ ถึงเวลาที่มู่ชวนต้องเลิกเรียนแล้ว” หลี่เยว่หานพูดอย่าง ‘อ่อนแอ’ พลางคว้าปกเสื้อของเมิ่งฉีฮ่วน “ตอนนี้เป็นช่วงที่มู่ชวนกำลังเติบโต เดิมทีข้าคิดว่าจะทำหมูตุ๋นถั่วเหลืองให้เขาตอนเที่ยง ปกติแล้วต้องมีจานเนื้ออย่างน้อยสองจาน จานผักสองจาน และน้ำแกงหนึ่งอย่าง เช่นนั้นพี่สะใภ้ก็ไปรับมู่ชวนแล้วค่อยกลับมาทำอาหารเถอะ”
ขณะที่พูดแบบนั้น หลี่เยว่หานก็กลั้นน้ำตาเล็กน้อย “ข้าผิดเองที่ไม่ดูแลหลิงซีให้ดี ข้าต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย สามี ตอนนี้หลิงซีสบายดีหรือไม่? นางร้องไห้รึเปล่า นางหลับไปแล้วหรือยัง??”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็รู้สึกว่าหลี่เยว่หานดูน่าขัน แต่เขายังแสร้งทำเป็นจริงจัง “หลิงซีไม่ยอมนอน ข้าอยากให้เจ้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนนาง”
“เช่นนั้น…” ดวงตาของหลี่เยว่หานเบิกกว้าง จากหางตา เธอเห็นใบหน้าของจินเสวี่ยเอ๋อร์แข็งทื่อเล็กน้อย ดังนั้นหญิงสาวจึงแทรกเข้าไปในอ้อมแขนของเมิ่งฉีฮ่วนมากกว่าเดิม “แล้วท่านจะรออะไรอีก? ส่งข้าไปเร็ว ๆ สิ ข้าจะปลอบหลิงซีเอง ข้าเพิ่งเป็นหวัด ดังนั้นข้าจะต้องขับเหงื่อออกให้หมดเพื่อให้อาการดีขึ้น!”
“ตกลง ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” หลังจากพูดจบ เมิ่งฉีฮ่วนก็อุ้มหลี่เยว่หานพลางยืนขึ้น หญิงสาวสะดุ้งตกใจจนเกือบจะส่งเสียง ก่อนที่เธอจะรีบเกี่ยวคอของชายหนุ่มไว้
ก่อนออกไปข้างนอก เมิ่งฉีฮ่วนหยุดมองไปที่จินเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้างุนงง “พี่สะใภ้? ทำไมท่านไม่รีบไปรับมู่ชวนล่ะ มิเช่นนั้นมันจะสายเกินไปที่จะทำอาหาร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จินเสวี่ยเอ๋อร์ก็พลันขบฟันด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ข้าจะไปทันที ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ…”
ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เมิ่งฉีฮ่วนก็ออกไป โดยมีหลี่เยว่หานอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ทันทีที่พวกเขาจากไป จินเสวี่ยเอ๋อร์ก็ดูโกรธ นางเตะเก้าอี้อย่างโหดเหี้ยมแล้วออกจากห้องไป
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวในห้อง ในที่สุดความโกรธของหลี่เยว่หานก็บรรเทาลงเล็กน้อย “จินเสวี่ยเอ๋อร์คนนี้ไม่รู้อะไรของนาง ข้านอนหลับอยู่ดี ๆ ก็เข้ามาดึงผ้าห่มข้าออกไป!”
“ทำไมเจ้าถึงมานอนบนเตียงของข้า?” เมิ่งฉีฮ่วนถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พยายามกลั้นยิ้มไว้ แล้วแสร้งทำเป็นจริงจัง
“ไม่ได้รึ?” หลี่เยว่หานกลอกตาในอ้อมแขนของเมิ่งฉีฮ่วน “ถ้าไม่ใช่เพราะจินเสวี่ยเอ๋อร์ทำตัวน่ารำคาญอยู่ในห้องของข้า ข้าก็คงไม่ไปที่ห้องของเจ้า!”
ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็กลับไปที่ห้องของหลี่เยว่หานแล้ว
เมิ่งฉีฮ่วนผลักประตูเปิดเข้าไป ทางหลิงซี เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นหลี่เยว่หานในอ้อมแขนของชายหนุ่ม นางก็ยิ้มอย่างมีความสุขทันที “ท่านอาพาอาหญิงของข้ากลับมาแล้วจริง ๆ!”
ตอนนี้หลี่เยว่หานพลันตระหนักว่าเมิ่งฉีฮ่วนอุ้มเธอมาตลอดทาง
โชคดีที่เมิ่งฉีฮ่วนไม่เห็นว่าหลี่เยว่หานหน้าแดง เขาวางนางลงบนเตียงเบา ๆ และพูดว่า “จินเสวี่ยเอ๋อร์ตบเจ้าเมื่อกี้ ทำไมเจ้าไม่บอกข้า?”
“ทำไมข้าถึงต้องบอกท่าน” หลี่เยว่หานหรี่ตา “ข้าตบกลับแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าตบตีสตรีไม่ได้ถูกหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพูดอะไร เจ้าเป็นภรรยาของข้า และถ้ามีคนรังแกเจ้า ข้าย่อมทนดูเฉย ๆ ไม่ได้”
“ข้าจะดูแลเจ้าตัวน้อยนี้เอง” หลี่เยว่หานยกมือขึ้นโอบหลิงซีตัวน้อยมาไว้ในอ้อมแขน ดึงผ้าห่มออกมา แล้วเริ่มไล่ผู้คนออกไป “เอาล่ะ ไม่ใช่เรื่องของท่านแล้ว ข้าจะดูแลหลิงซีเอง”
“เจ้ากำลังไล่ข้าหรือ?” เมิ่งฉีฮ่วนไม่คาดว่าหลี่เยว่หานจะไล่เขาออกไป ชายหนุ่มคิดว่าหลี่เยว่หานจะลากเขามาพูดเรื่องเลวร้ายบางอย่างเกี่ยวกับจินเสวี่ยเอ๋อร์ และเขาพร้อมที่จะรับฟังคำร้องเรียนเยว่หาน แต่… อีกฝ่ายกลับขับไล่เขาออกไป?
“ไม่อย่างนั้นจะให้ทำอันใด?” หลี่เยว่หานจ้องมอง “ท่านยังอยากนอนกับพวกเรารึ?”
ขณะที่พูดแบบนั้น เธอก็มองเมิ่งฉีฮ่วนด้วยสายตาแปลก ๆ “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าท่านที่ปกติดูจริงจัง แต่จริง ๆ แล้วท่าน…”
“ข้าอะไร?” เมิ่งฉีฮ่วนหรี่ตาลง
“ไม่มีอะไร!” หลี่เยว่หานหุบปากทันที “ข้าแค่คิดว่าท่านจะ… ค่อนข้างอึดอัดเอาได้!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขาก้มลงแตะหัวของหลิงซี หลังจากแน่ใจว่านางไม่มีไข้แล้ว เขาก็ยืดตัวตรงและมองไปที่หลี่เยว่หาน “ผมของเจ้ายังไม่แห้ง ถ้าเจ้านอนหลับแบบนี้จะเป็นหวัดได้ง่าย อย่าลืมเช็ดผมก่อนเข้านอนล่ะ ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน”
“ไปเถอะ ไปเถอะ!” หลี่เยว่หานโบกมือให้คนออกไป
เมิ่งฉีฮ่วนคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังอดทนและไม่พูดอะไร เขาหันหลังกลับ เดินออกจากห้องของหลี่เยว่หานไป
ท่าทางของหลี่เยว่หานเมื่อครู่… เหตุใดมันจึงเหมือนกับการไล่ไก่ไล่เป็ดออกไปเลยล่ะ…
ในใจเมิ่งฉีฮ่วนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หลังจากออกจากประตูลานด้านใน เมิ่งฉีฮ่วนก็เห็นจินเสวี่ยเอ๋อร์เตรียมที่จะออกไปข้างนอก
“พี่สะใภ้ ท่านจะไปรับมู่ชวนรึ?” เมิ่งฉีฮ่วนถามเสียงดัง
จากหางตา ชายหนุ่มเห็นประตูห้องครัวเปิดอยู่ จากนั้นเขาจึงเริ่มระมัดระวัง
เมื่อครู่นี้เขารีบทำน้ำขิงเชื่อมให้กับหลี่เยว่หานกับหลิงซี ดังนั้นเขาจึงปลดล็อกห้องครัวและไม่ได้ลงกลอนกลับ แต่ประตูก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา
ทว่าขณะนี้ประตูห้องครัวกลับเปิดกว้างราวหนึ่งชุ่น เห็นได้ชัดว่าจินเสวี่ยเอ๋อร์เข้าไปแล้ว
จินเสวี่ยเอ๋อร์ซึ่งมีความผิดอยู่แล้ว ตกใจกับเสียงของเมิ่งฉีฮ่วน นางรีบหันกลับมาและยัดบางใส่ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว และพูดด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ใช่ พวกเจ้าไม่ได้เพิ่งบอกรึว่าเขาใกล้จะเรียนเสร็จแล้ว?”
เมื่อเห็นคราบน้ำมันที่ไม่ได้เช็ดออกตรงมุมปากของจินเสวี่ยเอ๋อร์ เมิ่งฉีฮ่วนก็เข้าใจทันทีว่าจินเสวี่ยเอ๋อร์ได้เข้าไปในครัวเพื่อทานอาหารแล้ว ตู้ในห้องครัวยังมีน้ำแกงที่หลี่เยว่หานทำในตอนเช้าอยู่ เดิมทีเขาคิดว่าเด็ก ๆ กินแค่โจ๊กน่าจะไม่อิ่ม ดังนั้นเขาจึงนึ่งหมั่นโถวข้าวโพดกับน้ำแกงเพื่อให้พวกเขาจุ่มหมั่นโถวลงไป
เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้ว ตอนเช้าจินเสวี่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่ได้กินอะไรเลย และถูกบอกให้ไปส่งมู่ชวนไปสำนักศึกษา ต่อมาพวกเขายังปิดครัว
เพียงแต่…
“ตอนเช้าพี่สะใภ้กินได้ไม่ดี งั้นเรามากินอะไรให้อิ่มท้องก่อนดีกว่า” เมิ่งฉีฮ่วนพูดแล้วเดินไปที่ห้องครัว “ตอนเช้ายังมีหมั่นโถวข้าวโพดและน้ำแกงเหลืออยู่บ้าง พี่สะใภ้กินข้าวก่อนค่อยไปเถอะ”
ใบหน้าของจินเสวี่ยเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที…
นางเพิ่ง… กินหมั่นโถวข้าวโพดกับน้ำแกงที่เหลือไป…
MANGA DISCUSSION