บทที่ 155 อยู่ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม จินเสวี่ยเอ๋อร์ยังอาศัยอยู่ในบ้านเมิ่ง เมิ่งฉีฮ่วนวิ่งไปที่บ้านของหลิวโหย่วฉายด้วยท่าทีสิ้นหวัง และขอให้สะใภ้หลิวช่วยบอกคนอื่นว่าหญิงสาวคือพี่สะใภ้ของเขา แต่กลับโดนสะใภ้หลิวพ่นน้ำใส่หน้า
“ไม่มีอะไรอร่อยไปกว่าเกี๊ยว ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าเล่นกับพี่สะใภ้อีกแล้วรึ?*[1]” สะใภ้หลิวกลอกตา “เยว่หานไม่ได้โวยวายและแค่ต้องการจากไปก็สมควรขอบคุณสวรรค์แล้ว!”
หลังจากพูดจบ สะใภ้หลิวก็ไม่ต้องการคุยกับเมิ่งฉีฮ่วนอีก ดังนั้นนางจึงเข้าไปในบ้านเพียงลำพัง
“อย่าสนใจเลย นางก็แค่อารมณ์ร้าย” หลิวโหย่วฉายรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ถ้าเจ้าให้ข้าพูด หากนางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าจริง ๆ ก็สมควรแล้วที่จะปล่อยให้นางย้ายออกไปโดยเร็วที่สุด”
“เมื่อวันชุนเฟินสิ้นสุดลงและท่านปู่ซุนว่าง ข้าจะขอให้ท่านช่วยเราหาบ้านว่าง ๆ และปล่อยให้นางย้ายไปอาศัยอยู่ที่นั่น” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพร้อมถอนหายใจ
“ในเมื่อนางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า ลูก ๆ ของพี่ชายเจ้าก็ควรให้นางดูแล อย่าเข้าไปยุ่ง” หลิวโหย่วฉายเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจัง “นางบอกว่านางมาดูแลเด็ก ๆ ทั้งสองคน เมื่อถึงเวลานั้นก็ปล่อยให้นางดูแลนางเด็ก ๆ ไป เยว่หานเป็นเพียงเด็กสาว ตอนนี้นางได้ติดตามเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องคิดถึงนาง”
“ใช่ ข้าจะคุยกับเด็กสองคนนั้น” หลังจากที่เมิ่งฉีฮ่วนพูดจบ เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าไม่คุยกับเจ้าต่อแล้ว ตอนนี้นางอยู่กับข้าชั่วคราว ข้าจึงต้องไปซื้อของใช้ให้นาง ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวโหย่วฉายก็จ้องไปที่เขา “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าช่วยผู้หญิงคนอื่นซื้อของใช้ประจำวันงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าตอนนี้ชีวิตของเจ้าสงบสุขเกินไป และไม่อยากให้แม่นางเยว่หานอยู่กับเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าทำอะไรไม่ได้” ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมิ่งฉีฮ่วนไม่เคยทำอะไรไม่ถูกแบบนี้เลย “ข้าไม่รู้ว่านางมาจากไหน ทั้งนางยังเข้าหาข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย ถ้าตอนนี้ข้าปล่อยให้คนออกไป แล้วนางออกไปบอกว่าเยว่หานไม่สามารถทนรับนางในฐานะพี่สะใภ้ได้ เยว่หานจะทำตัวอย่างไรในหมู่บ้านเล่า?”
“เฮ้อ…” หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลิวโหย่วฉายก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจและตบไหล่ปลอบเมิ่งฉีฮ่วน “ข้าเดาว่าครั้งนี้เจ้าคงต้องทุกข์ทนแล้ว เอาล่ะ รีบไปที่เมืองเถอะ ระวังอย่าให้เยว่หานรู้สึกไม่ดีล่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”
หลังจากลาหลิวโหย่วฉายแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนก็ออกจากหมู่บ้านและเดินไปที่เมือง
เมิ่งฉีฮ่วนและหลี่เยว่หานทะเลาะกันตอนเที่ยง หลิงซีหลับไปจึงไม่ได้ยิน แต่มู่ชวนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อเขากลับมาจากสำนักศึกษาในตอนเย็น เขาก็ผลักประตูห้องครัวอย่างตื่นเต้น และเห็นจินเสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างใน ใบหน้าที่งดงามของเขามืดลงทันที
“ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่!” มู่ชวนคว้าย่ามที่ใส่ตำราด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านอากับอาหญิงของข้าทะเลาะกันเพราะเจ้า!”
“มู่ชวน เจ้าเหนื่อยหรือไม่? แม่เล็กนึ่งขนมจินเกาที่เจ้าชอบไว้ให้ มาชิมหลังจากล้างมือแล้วเถอะว่ารสชาติเหมือนสมัยเด็กหรือไม่” จินเสวี่ยเอ๋อร์ไม่สนใจสีหน้าของมู่ชวน ตรงกันข้าม นางเอ่ยทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ มู่ชวนก็ยิ่งไม่มีความสุข “ข้าบอกให้เจ้าออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่?”
“มู่ชวน…” ดวงตาของจินเสวี่ยเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดง และนางกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง
“อย่าร้องไห้ต่อหน้าข้า!” มู่ชวนตวาดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าเคยหลั่งน้ำตาต่อหน้าพ่อของข้า ท่านพ่อของข้ารักใคร่เจ้า แต่ข้าไม่รักใคร่เจ้า! หากพูดถึงความอาวุโสจริง ๆ อนุข้างห้องก็คืออนุ เจ้าต้องคำนับเมื่อเห็นข้า แทนที่จะเรียกข้าด้วยชื่อ!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ จินเสวี่ยเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลงและเช็ดน้ำตา ก่อนบนใบหน้าของนางจะเผยรอยยิ้มฝืดฝืน “ข้ารู้ว่าการมาของข้าทำให้ชีวิตเจ้าลำบาก แต่… มู่ชวน ในตอนนั้นเจ้ายังเด็กมาก และข้าก็คิดถึงเจ้ามากจริง ๆ”
“ข้าไม่ต้องการเจ้า และไม่ต้องการพบเจ้า!” หลังจากที่มู่ชวนพูดอย่างเย็นชา เขาก็เหลือบมองไปที่จานขนมบนโต๊ะอาหาร และมุมปากของเด็กชายก็เผยรอยเย้ยหยัน “เจ้าปล่อยให้ข้ากินของว่างสำหรับมื้อค่ำ? เจ้าสติไม่ดีหรือ?”
“ข้า… ข้าทำได้เพียงเท่านี้…” จินเสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางหลี่ก็ไม่ออกจากห้องเช่นกัน ข้าไม่กล้ารบกวนนาง ดังนั้นข้าจึงคิดจะทำขนมด้วยตัวเอง… ”
“แล้วเจ้ายังกล้าพูดว่าจะดูแลเราพี่น้องหรือ?” มู่ชวนหรี่ตาลงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “อาเมิ่งต้องเสียสติไปแล้วที่ยอมให้เจ้าอยู่!”
หลังจากพูดจบ มู่ชวนก็ออกจากครัวไปโดยไม่หันกลับมามอง และตรงเข้าไปที่ลานด้านใน
ตอนนี้เมิ่งฉีฮ่วนกลับมาจากเมืองพอดี เขาวางถุงใบใหญ่และใบเล็กพลางเรียกมู่ชวน แต่อีกฝ่ายไม่สนใจเขา ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจเล็กน้อย
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ!” ดวงตาของจินเสวี่ยเอ๋อร์ยังคงเป็นสีแดง แต่น้ำตาถูกเช็ดออกแล้ว เมื่อเห็นเมิ่งฉีฮ่วนเข้ามาในลาน นางก็ทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็ถอนหายใจในใจ “อย่าโทษมู่ชวนเลย ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผล แต่วันหนึ่งเขาจะเข้าใจปัญหาของเจ้า”
หลังจากพูดจบ เขาก็ฉวยโอกาสหลีกเลี่ยงมือของจินเสวี่ยเอ๋อร์ที่ต้องการช่วยเขาและพูดว่า “ข้าซื้อของใช้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะส่งพวกมันไปที่ห้องฝั่งตะวันออกก่อน หลังอาหารเย็น เจ้าก็ทำความสะอาดเองและอยู่ที่นี่ชั่วคราวได้”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของจินเสวี่ยเอ๋อร์พลันแข็งขึ้น “ชั่ว…ชั่วคราว?”
“แม้เจ้าจะเป็นอนุของฝ่าบาท แต่เจ้าก็ยังเป็นพี่สะใภ้ของข้า ไม่สมควรที่จะอยู่กับข้าตลอดเวลา” เมิ่งฉีฮ่วนพูด น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบลงเรื่อย ๆ “ช่วงนี้ใกล้วันชุนเฟิง คนในหมู่บ้านกำลังยุ่งอยู่กับการแบ่งที่ดินและทำนา หลังจากผ่านช่วงนี้ไป ข้าจะไปหาท่านปู่ซุนที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อดูว่าบ้านที่ว่างหลังไหนในหมู่บ้านที่เหมาะสม เจ้าสามารถย้ายไปที่นั่นได้ ข้าจะจ่ายค่าเช่าให้ จากนั้นเจ้าก็สามารถไปปักผ้าแล้วขายมันในตลาดเพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้”
เมิ่งฉีฮ่วนไปที่ลานภายในโดยไม่รอดูท่าทีของจินเสวี่ยเอ๋อร์
“แต่! มู่ชวนและหลิงซียังอยู่กับเจ้า ข้าอยู่ที่นี่จะไม่สะดวกกว่าในการดูแลพวกเขารึ!” จินเสวี่ยเอ๋อร์ขึ้นเสียง หากตั้งใจฟังก็จะพบร่องรอยสะอื้น “เหตุใดต้องไล่ข้าออกไปด้วย?”
“ถึงเวลานั้น ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าสามารถพามู่ชวนกับหลิงซีไปด้วยกันได้ เจ้าและข้ามีตัวตนที่แตกต่างกัน และการอยู่ร่วมกันจะทำให้เยว่หานไม่มีความสุข” หลังจากพูด เมิ่งฉีฮ่วนก็เข้าไปในลานด้านใน
จินเสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่นและหลั่งน้ำตาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนางก็เช็ดหน้า ก่อนหมุนตัวกลับไปที่ห้องครัว
เย็นนี้หลี่เยว่หานไม่ได้ทำอาหาร ส่วนจินเสวี่ยเอ๋อร์ทำเป็นแต่ของว่างและตุ๋นน้ำแกง ดังนั้นนางจึงอุ่นอาหารที่หลี่เยว่หานทำไว้ตอนเที่ยงและยกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็เข้าไปในลานด้านในเพื่อเรียกพวกเขามาทานอาหารเย็น
แต่ไม่มีใครสนใจนาง…
มู่ชวนกำลังทำการบ้านอยู่ในห้องของหลิงซี ในขณะที่เมิ่งฉีฮ่วนมาเกลี้ยกล่อมหลี่เยว่หานในห้อง เมื่อได้ยินจินเสวี่ยเอ๋อร์บอกว่าอาหารพร้อมแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนก็รีบออกไปที่ประตู ทักทายหญิงสาวอย่างเร่งรีบและวิ่งไปที่ห้องครัว แบ่งอาหารออกเป็นชามเล็ก ๆ หลาย ๆ ใบ แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องหลี่เยว่หาน
“พอ ๆๆ!” นับตั้งแต่ เมิ่งฉีฮ่วนกลับมา เขาก็นั่งอยู่ในห้องของหลี่เยว่หาน และพูดคำเดิมในตอนเที่ยงซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง หูของหลี่เยว่หานชาดิก จนในที่สุดเธอก็หันกลับไปอย่างทนไม่ไหว “ถ้าอยากอยู่ก็อยู่ไป! แต่ท่านไม่ต้องพูดอีก หุบปากไปซะ!”
“เยว่หาน…” เมื่อรู้ว่านางโกรธ เมิ่งชีฮ่วนก็หยุดพูด แต่พูดอย่างระมัดระวัง “แม้เจ้าจะโกรธ เจ้าก็ยังต้องกินใช่หรือไม่?”
เมื่อหลี่เยว่หานฟังคำพูดนั้น พลางมองอาหารที่เมิ่งฉีฮ่วนนำมาให้ เธอก็โกรธ “ท่านให้ข้าทานอาหารว่างสำหรับมื้อค่ำรึ?”
ตอนนั้นเองที่เมิ่งฉีฮ่วนตระหนักว่าเขายุ่งอยู่กับการเตรียมของว่าง เพราะคิดว่าหญิงสาวจะชอบของว่าง แต่จริง ๆ แล้วเขาลืมนำอาหารมาให้นาง…
[1] ไม่มีอะไรอร่อยไปกว่าเกี๊ยว ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าเล่นกับพี่สะใภ้ หมายถึง ฉันจะสนุกกับผู้หญิงของคุณคืนนี้ เป็นประโยคที่ใช้พูดเล่นกับเพื่อน เมื่อพบพี่สะใภ้ของ “พี่ชาย” และเธอน่าดึงดูดมาก แต่อย่าพูดต่อหน้า “พี่ชาย” หรือพี่สะใภ้เพราะเป็นการดูหมิ่น ซึ่งค่อนข้างหยาบคาย ถ้าคุณอยู่กับเพื่อน ๆ ก็พูดตลกได้ แต่ความหมายก็ยังบ่งบอกถึงการไม่ให้ความเคารพ
MANGA DISCUSSION