บทที่ 141 ความลับของครอบครัว
หวังเฟิ่งตกตะลึง
นางเห็นหลี่เยว่หานเดินมาบนบนถนนด้วยใบหน้ากังวล ดังนั้นจึงคว้าเนื้อตุ๋นจากมือของอีกฝ่าย แต่ใครจะรู้ว่าหญิงสาวจะแย่งเนื้อตุ๋นที่นางเอาใส่ปากทิ้งไป ก่อนที่นางจะทันได้ตอบสนอง?!
กลิ่นของเนื้อตุ๋นยังคงติดอยู่บนริมฝีปากและฟันของนาง ทว่าหลี่เยว่หานกลับโยนเนื้อนั่นลงบนพื้นและเหยียบมันอีกสองสามครั้ง นี่มัน… นางจะกินมันได้อย่างไร!
“นังเด็กสารเลวคนนี้!” หัวใจของหวังเฟิ่งเจ็บปวดมากจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางท้าวเอวและด่าทอว่า “มารดาของเจ้าตั้งครรภ์ แต่ไม่เห็นเจ้าเอาของดีอะไรมาตอบแทนบุญคุณเลย เมื่อบิดาเจ้าเอาเนื้อมาให้ข้า เจ้ากลับมาแย่งชิงมันไป ทั้งยังทำเสียของ เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่!”
คนที่มาดูความสนุกไม่เห็นฉากที่หวังเฟิ่งแย่งเนื้อ แต่พวกเขาเห็นหลี่เยว่หานแย่งเนื้อมาจากหวังเฟิ่งด้วยตาของพวกเขาเอง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้
“ว่ากันว่าบุตรสาวคนโตของบ้านหลี่เป็นหญิงแกร่ง ไม่คิดมาก่อนว่านางจะทนเห็นแม่เลี้ยงกินอาหารดี ๆ ไม่ได้ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าชีวิตของเด็กทั้งสองในบ้านเมิ่งจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“อย่าพูดเช่นนั้น อย่างหวังเฟิ่งจะเป็นคนดีได้รึ? ยัยหนูเยว่หานแต่งงานมาได้ครึ่งปีแล้ว เด็กทั้งสองก็ขาวอวบขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ว่า เยว่หานเป็นคนใจดี!”
“คนเรารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ เห็นแม่เลี้ยงกินเนื้อแล้วต้องไปแย่งชิง จะใจดีได้อย่างไร ได้ยินว่าหลี่ต้าหู่กับพวกเพิ่งจะกลับมา ก็ไปที่บ้านเมิ่งเพื่อขอน้ำร้อน ทว่าพวกเขาถูกหลี่เยว่หานไล่ออกมาด้วยขวาน!”
“ไม่เอาน่า หลี่ต้าหู่เป็นตัวอันใด เจ้าเชื่อที่เขาพูดรึ?”
…
เมื่อเห็นว่าความคิดเห็นของฝูงชนไม่ได้เข้าข้างหลี่เยว่หานเพียงฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อก่อน หวังเฟิ่งก็รู้สึกพึงพอใจ นางกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อยว่า “นังเด็กสารเลวนี่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยชอบใจมารดาเช่นข้า แต่ตอนนี้ข้าท้องอยู่ เจ้าปล่อยให้พ่อเจ้าเลี้ยงอาหารดี ๆ ข้าไม่ได้หรืออย่างไร?”
“นี่คือเนื้อที่เจ้าแย่งไปจากข้า ทำไมถึงเป็นพ่อของข้าให้เจ้า?” หลี่เยว่หานเย้ยหยัน “มีใครไม่รู้บ้างว่าครอบครัวของเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เนื้อตุ๋นชิ้นโตนี้ข้าไปซื้อจากตลาดเป็นเงินถึงหนึ่งตำลึง เจ้าสามารถซื้อมันได้รึ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลี่เยว่หานพูด จิตใจของหวังเฟิ่งก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “แม้ข้าจะเป็นแม่เลี้ยงของเจ้า แต่ข้าก็ยังมีพระคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามา! แค่แย่งชิ้นเนื้อจากมือของเจ้ามันจะเป็นอะไร! เจ้าไม่ได้แซ่หลี่รึ? เจ้าไม่คิดกตัญญูต่อผู้อาวุโสหรืออย่างไร!”
“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่พูดเรื่องกตัญญูตลอดทั้งวัน” ใบหน้าของหลี่เยว่หานเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ตอนที่ท่านย่าของข้ายังอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าไม่จ้างหมอ นางคงอายุยืนกว่านี้มาก ตอนนี้เจ้ายังกล้ามาพูดเรื่องการกตัญญูอีกหรือ?”
หวังเฟิ่งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางคิดว่าหลี่เยว่หานยังเด็กจึงจำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะนำมาพูดกลางฝูงชนแบบนี้ นี่ไม่ใช่การตบหน้านางรึ!
“อย่ามาพูดไร้สาระที่นี่!” หวังเฟิ่งพูดอย่างกังวล “ท่านย่าของเจ้าป่วยหนัก นางไม่ต้องการไปหาหมอเอง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ธุระของข้า!”
“ทุกคนช่วยคิดกันหน่อยสิ!” หลี่เยว่หานหันไปมองชาวบ้านที่กำลังดูความตื่นเต้นและพูดเสียงดัง “ท่านย่าของข้า ตอนที่นางจากไป อายุก็ยังไม่มาก คนวัยนางสามารถทำงานได้ ดังนั้นถ้าป่วยไม่มีทางไม่อยากพบหมอแล้วหายเร็ว ๆ เพื่อครอบครัว!”
“บัดซบ!” หวังเฟิ่งถ่มน้ำลายทันที “ตอนที่ย่าของเจ้าเสียชีวิต เจ้ายังเป็นเด็กหญิงอายุห้าหกขวบ เจ้าไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่หรือไร!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็แอบหยิกตัวเอง ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว “ใช่ ข้าอายุแค่ห้าหรือหกขวบตอนที่ท่านย่าของข้าเสียชีวิต และข้าก็อายุเพียงสองขวบตอนที่มารดาของข้าเสียชีวิต ยามนี้เจ้าขายข้าไปแล้ว ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวหลี่อีก! ทว่าตอนนี้เจ้ายังมาขโมยเนื้อตุ๋นของข้า ทั้งยังยืนยันว่าท่านพ่อของข้าซื้อมันให้เจ้า ข้ารู้สึกเสียใจนัก ถ้าท่านย่าของข้ารู้เข้า นางจะต้องเสียใจที่ให้ท่านพ่อเลือกเจ้าเป็นภรรยา!”
“เจ้าพูดบ้าอะไร!” หวังเฟิ่งกังวล “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่เสียใจที่พ่อเจ้าเลือกข้าเป็นภรรยา! ตอนนั้นข้าเป็นดอกไม้งามในสิบลี้แปดหมู่บ้าน คนที่มาขอแต่งงานที่บ้านหวังของข้ามีไม่ขาดสาย ข้าแต่งงานกับพ่อของเจ้า ก็เพราะเขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่จูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงลำพัง พ่อเจ้าไม่ใช่ขนมหวานที่คนหมายตา!”
“พ่อของข้าไม่ใช่ขนมหวาน แต่สินสอดทองหมั้นที่แม่ของข้าทิ้งไว้หลังจากที่นางเสียชีวิตต่างหากคือขนมหวาน!” หลี่เยว่หานพูดเสียงดัง “เจ้ากลืนสินสอดทั้งหมดที่แม่ของข้าทิ้งไว้ในตอนนั้น!”
“เจ้าคนพาล! เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าโตมากับการดื่มน้ำค้าง*[1]!” หวังเฟิ่งเริ่มหมดความอดทนและถกแขนเสื้อขึ้นเพื่อดึงหลี่เยว่หาน
หลี่เยว่หานคิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นหญิงตั้งครรภ์ หากเธอโดนตัวอีกฝ่าย อาจจะมีปัญหาตามมามากมาย ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบหลบไปด้านข้าง แต่ก็ชนเข้ากับหลี่ต้าเฉิงที่มาหลังจากได้ยินข่าว
“หลี่เยว่หาน! แม่ของเจ้าท้องอยู่! เจ้าเข้าใจอะไรบ้างหรือไม่! หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!” ในใจหลี่ต้าเฉิงต้องการลูกชายอยู่เสมอ แต่ภรรยาทั้งสองของเขาล้วนให้ลูกสาว ไม่มีลูกชายเลย
แต่ใครจะรู้ว่าหวังเฟิ่งยังสามารถตั้งครรภ์ได้ในวัยสามสิบ หลี่ต้าเฉิงรู้สึกว่าลูกของหวังเฟิ่งจะต้องเป็นลูกชาย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นวันที่หิมะตก เขาจึงพยายามหาเงินให้หวังเฟิ่ง ๆ ได้กินและแต่งตัวดี ๆ
เมื่อได้ยินว่าหลี่เยว่หานและหวังเฟิ่งกำลังทะเลาะกันอีกครั้ง หลี่ต้าเฉิงซึ่งกำลังเก็บอุจจาระจากห้องน้ำส่วนรวมก็รีบหยุดงานและกลับมา หลังเห็นฉากนี้เขาก็โกรธมาก ดังนั้นจึงผลักหลี่เยว่หานอย่างแรง
“ข้ากำลังจะเดินผ่านไป แต่นางก็มาแย่งเนื้อตุ๋นที่ข้ากำลังจะส่งไปให้ท่านปู่ซุน ทั้งยังยืนยันว่าท่านซื้อให้นาง ท่านบอกสิว่าใครกันแน่ที่สร้างปัญหา?” เมื่อเห็นหลี่ต้าเฉิง หลี่เยว่หานก็มีความมั่นใจเช่นกัน
“ถ้าเจ้าพูดถึงเนื้อก็พูดแต่เรื่องเนื้อสิ เจ้าพูดถึงเรื่องแม่ของเจ้าได้ยังไง!” หลี่ต้าเฉิงคว้าตัวหลี่เยว่หาน และพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าไม่สามารถเปิดเผยความลับของครอบครัวได้ ไม่รู้รึ? ”
“เฮอะ!” หลี่เยว่หานยิ้ม “หากผู้หญิงของท่านทำให้ข้าโกรธน้อยลง ความลับในครอบครัวจะไม่ถูกเผยออกไป”
หลังจากพูดจบ หลี่เยว่หานก็มองไปที่หลี่ต้าเฉิงด้วยความขยะแขยง จากนั้นมองไปที่หวังเฟิ่งที่กำลังกระฟัดกระเฟียด ก่อนหันหลังกลับและเดินออกจากฝูงชน
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไปที่บ้านของท่านปู่ซุนไม่ได้แล้ว หลี่เยว่หานมั่นใจว่าหวังเฟิ่งจะอยู่บนถนนสายนี้สักพัก อีกฝ่ายได้ลิ้มรสชาติของเนื้อตุ๋นที่เธอทำแล้ว ดังนั้นนางจะไม่ยอมปล่อยตนไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
หากไม่ใช่เพราะเนื้อบนพื้นถูกหลี่เยว่หานเหยียบเป็นชิ้น ๆ หวังเฟิ่งอาจจะหยิบมันขึ้นมา ล้างมัน และเอากลับไปตุ๋นที่บ้าน…
โชคดีที่อีกฝ่ายไม่พบเกลือกลั่นในโถเล็ก ดังนั้นจึงไม่มีการสูญเสียมากนัก
เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่เยว่หานก็ปิดประตูและไปที่ห้องครัว ก่อนจะเห็นเด็กทั้งสองกำลังดูอะไรอยู่ข้างอ่างอย่างมีความสุข จึงถาม “พวกเจ้ามองอะไรกันอยู่รึ?”
“อาหญิง!” หลิงซีเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น “ตะพาบที่พี่ชายของข้าเก็บมาเมื่อวานยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็กระตุกมุมปาก ความสุขของเด็ก ๆ นั้นช่างง่ายดาย ตะพาบน้ำกำลังจำศีล ดังนั้นพอเจอที่อุ่น ๆ มันจึงฟื้น
“อาหญิง ท่านปู่ซุนได้บอกอะไรท่านหรือไม่ขอรับ?” เมื่อเทียบกับหลิงซีที่รู้แต่วิธีเล่นเท่านั้น มู่ชวนกลับมีความคิดมากกว่า “ท่านได้บอกหรือไม่ขอรับว่าทำไมอาเมิ่งถึงออกไป?”
[1] โตมากับการดื่มน้ำค้าง เปรียบเหมือน การเติบโตมาพร้อมกับร่างกายและจิตใจที่บริสุทธิ์
MANGA DISCUSSION