บทที่ 140 ปกป้องความสงบ
ไอ้สารเลว แกเป็นใคร! กล้าดีอย่างไรมาทำพี่หู่!” เมื่อเห็นหลี่ต้าหู่ถูกเมิ่งฉีฮ่วนเตะจนกระเด็น ลูกน้องของเขาก็รีบพุ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องพี่หู่ และไม่ลืมที่จะพูดจาขมขู่
“หลี่ต้าหู่ มองดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร” เสียงของเมิ่งฉีฮ่วนเย็นยิ่งกว่าอากาศ แต่มันทำให้หลี่ต้าหู่ที่ส่งเสียงดังได้สติกลับมา
เมื่อมองเมิ่งฉีฮ่วนอย่างใกล้ชิด เขาก็รีบคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาทันที “ท่านพี่เมิ่ง! ท่านพี่เมิ่ง! มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะออกไป ข้าจะออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ หลี่ต้าหู่ก็หมอบลงกับพื้นและออกจากบ้านเมิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลูกน้องที่เขาพามาก็ไม่กล้าทำอะไร และติดตามหลี่ต้าหู่ออกจากบ้านเมิ่งไป
ในที่สุดหลี่เยว่หานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอมองลงไปที่มู่ชวน และพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าเดินผ่านแม่น้ำในหมู่บ้านระหว่างทางกลับจากสำนักศึกษา” มู่ชวนพูดพร้อมกับหยิบบางอย่างออกมาจากย่ามใส่ตำรา “แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง และข้าเห็นตะพาบน้ำตัวแข็งอยู่ข้างแม่น้ำ อาเมิ่ง สุขภาพไม่ดี ข้าจึงเก็บมันมา และอยากจะนำมันกลับไปทำน้ำแกงให้อาเมิ่งเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ต่อมาก็ได้พบกับ หลี่ต้าหู่และคนอื่น ๆ”
ขณะที่พูด มู่ชวนก็หยิบก้อนน้ำแข็งออกมาจากย่ามใส่หนังสือของเขา
ถ้ามองใกล้ ๆ ก็พบว่าข้างในมีตะพาบน้ำจริง ๆ อีกทั้งตัวก็ยังไม่เล็กจนเกินไป
“หลี่ต้าหู่พยายามขโมยตะพาบของเจ้าหรือ?” หลี่เยว่หานถาม
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่หลี่ต้าหู่ยืนยันว่ามันเป็นของครอบครัวเขา!” มู่ชวนพูดอย่างโกรธเคือง “เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของที่อยู่ในแม่น้ำ แต่เขายืนยันว่าข้าเอาทรัพย์สินของเขาไปและไล่ตามข้าหรือแม้แต่ทุบตีข้าด้วย! ข้าอาศัยจังหวะที่พวกเขาเผลอวิ่งกลับบ้านมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็รู้สึกเป็นทุกข์อยู่พักหนึ่ง
ในวันที่หิมะตกแบบนี้ ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยออกไปไหนกัน สำหรับหลี่ต้าหู่ หลี่เยว่หานไม่เคยเห็นเขามาก่อน เดาว่าเขาคงเพิ่งกลับมาที่หมู่บ้านจึงเจอเข้ากับมู่ชวน อีกทั้งเขายังเห็นมู่ชวนถือตะพาบอยู่ในมือและจึงต้องการจะขโมยมัน
“เฮ้อ ไปที่ห้องครัวกันก่อนเถอะ ในครัวมันอุ่นกว่า” เมื่อเห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนไม่พูดอะไร หลี่เยว่หานจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอเลยให้มู่ชวนเข้าไปในครัวก่อน
“ขอรับ”
หลังจากยืนยันว่าทั้งกลุ่มออกไปแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนก็ปิดประตู ส่วนหลี่เยว่หานก็ลากเมิ่งฉีฮ่วนเข้าไปในครัว “ข้างนอกมันหนาว เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
ตอนนี้ มู่ชวนได้ละลายตะพาบน้ำในอ่างไม้แล้ว ทางหลิงซีก็นั่งยอง ๆ ข้าง ๆ จิ้มก้อนน้ำแข็งเล่น
“ท่านอา อาหญิง” มู่ชวนเห็นทั้งสองคนเข้าประตูมา ก็หันหน้ามายิ้มกว้าง “ท่านอาจารย์กล่าวว่าช่วงนี้อากาศไม่ดี สำนักศึกษาจึงปิดชั่วคราว และเราจะกลับไปเรียนกันในฤดูใบไม้ผลิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ยกยิ้ม “เอาล่ะ พักอยู่บ้านกันเถอะ” ยังไงซะ ของทุกอย่างสำหรับฤดูหนาวก็ถูกเตรียมพร้อมแล้ว ภูเขาและถนนปิดเนื่องจากหิมะตกหนัก เวินเทียนเหล่ยก็ไม่มีธุระอะไรให้เธอช่วย การใช้เวลาช่วงฤดูหนาวที่บ้านจึงไม่เลวนัก
เมื่อเห็นใบหน้าที่สนุกสนานของทั้งสามคน เมิ่งฉีฮ่วนก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะปกป้องบรรยากาศที่สงบสุขนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็หายตัวไป
“มู่ชวน เจ้าตื่นเช้า เจออาเมิ่งของเจ้าหรือไม่?” หลี่เยว่หานไปที่ห้องของเมิ่งฉีฮ่วนและพบว่าผ้าห่มเย็น จึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“เจอขอรับ” มู่ชวนกำลังจุดไฟในครัว เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เยว่หาน เขาก็พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “อาเมิ่งบอกว่าเขาจะไปทำธุระในเมือง ดังนั้นวันนี้เขาอาจจะไม่กลับมาขอรับ”
“เขาบอกไหมว่าทำไม?” หลี่เยว่หานถามอย่างระมัดระวัง
มู่ชวนส่ายหัว “ไม่ขอรับ เพียงบอกว่าสองสามวันนี้หิมะตก ถ้าไม่มีอะไรทำอย่าออกไปข้างนอก และระวังจะเป็นหวัดหรืออะไรทำนองนั้นขอรับ”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากฟังคำพูดของมู่ชวนแล้ว หลี่เยว่หานไม่เพียงไม่รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ยังกังวลมากกว่าเดิม
ตั้งแต่ต้นฤดูหนาว เมิ่งฉีฮ่วนมักจะเป็นมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เป็นเรื่องปกติที่จะกลับบ้านกลางดึก และอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ และเมื่อหลี่เยว่หานถาม เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
ตอนนี้เขายังหายตัวไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ หลี่เยว่หานจึงนึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“อาหญิง” มู่ชวนเห็นท่าทางที่ว้าวุ่นใจของหลี่เยว่หาน จึงให้คำแนะนำแก่นาง “ยามอาเมิ่งพาข้ากับหลิงซีมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น เขาเดินหายไป กับท่านปู่ซุนบ่อยมาก บางทีท่านปู่ซุนอาจจะรู้อะไรบางอย่างขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ตกตะลึง “ท่านปู่ซุน?”
ใช่สิ! ท่านปู่ซุนและเมิ่งฉีฮ่วนถือว่าสนิทชิดเชื้อกัน บางทีเขาอาจรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ
เพียงแต่…
“มู่ชวน เจ้ารู้อะไรหรือไม่?” หลี่เยว่หานนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้ามู่ชวนแล้วถาม
หลังจากได้ยิน มู่ชวนก็หันศีรษะออกไปอย่างผิดธรรมชาติ “ข้าไม่สามารถบอกอาหญิงได้ขอรับ”
“เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นหรือไม่?” หลี่เยว่หานถามอย่างสงสัย
“ไม่ขอรับ” มู่ชวนส่ายหัว “อาหญิง อย่าถามข้าเลย ข้าบอกไม่ได้จริง ๆ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ไม่ต้องการทำให้มู่ชวนลำบากใจ ดังนั้นเธอจึงได้แต่ถอนหายใจและเริ่มทำอาหารเช้า
เธอทำโจ๊กข้าวโพดหวานแบบง่าย ๆ โปะด้วยเกี๊ยวทอดสองสามอัน แล้วอุ่นเนื้อสัตว์ในหม้อที่ตุ๋นไว้เมื่อวานนี้เป็นอาหารเช้า
หลังจากทานอาหารกันแล้ว หลี่เยว่หานก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบรรจุเกลือกลั่นที่เธอกลั่นจากการต้มซีอิ๊วลงไปครึ่งถุง หั่นเนื้อตุ๋นอีกเล็กน้อย สวมเสื้อคลุมหนา ๆ แล้วเดินไปที่บ้านของท่านปู่ซุน
เนื่องจากมู่ชวนไม่ยอมพูดอะไร เธอจึงไปหาท่านปู่ซุนแทน ถึงตอนนั้นจะต้องได้รู้แน่!
เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างงุนงง
“อ้าว นี่ไม่ใช่ยัยหนูเยว่หานหรอกรึ!” หลังจากออกจากบ้านได้ไม่นาน หลี่เยว่หานก็พบกับคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด หวังเฟิ่ง “นี่เป็นอาหารของแม่เจ้าใช่หรือไม่?” นางเท้าเอวทัก ท้องหวังเฟิ่งแบนจนดูไม่ออกว่าท้องเลย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ยิ้ม “แม่เลี้ยง ท่านมีเรื่องดีทั้งที ทั้งยังไม่ง่ายเลยที่จะตั้งครรภ์ในวัยนี้ อากาศยามนี้หนาวเย็นยิ่งนัก ท่านควรจะดูแลร่างกายของท่านให้ดี จะได้ไม่เกิดเรื่องแล้วโยนความผิดมาใส่หัวข้า”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็เลี่ยงหวังเฟิ่ง และวางแผนที่จะเดินต่อไป
จู่ ๆ หวังเฟิ่งก็ก้าวเข้ามาคว้าเนื้อตุ๋นจากมือของเธอทันที ก่อนที่หลี่เยว่หานจะทันพูด นางก็ยัดมันเข้าไปในปากของตนและกัดคำใหญ่ “อืม! เนื้อนี้ไม่เลว ถือว่าเป็นการให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า ดี ไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็ไปได้”
แม้ว่าจะรู้ว่าหวังเฟิ่งนั้นไร้ยางอาย แต่หลี่เยว่หานไม่เคยเห็นใครมาปล้นคนอื่นซึ่งหน้าแบบนี้มาก่อน เธอตะลึงและยืนนิ่งอย่างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ตอนนั้นเองที่หญิงสาวโกรธขึ้นมา
นั่นคือเนื้อตุ๋นที่เธอหั่นและกำลังจะส่งไปให้ท่านปู่ซุน!
“เกิดอะไรขึ้น ของไม่ได้ส่งเสร็จแล้วรึ?” หวังเฟิ่งมองไปที่หลี่เยว่หานพร้อมกับเลิกคิ้ว ขณะยัดเนื้อตุ๋นที่หญิงสาวนำมาเข้าปากอีกครั้ง แววตานางเต็มไปด้วยการยั่วยุ
วันนี้หิมะหยุดตกเร็วและแดดออกอีกครั้ง ผู้คนมากมายจึงออกไปหาอะไรทำข้างนอก ตอนนี้ได้เวลาทานอาหารเช้าแล้ว ในฤดูหนาวมีงานในไร่ให้ทำไม่มากนัก ทั้งภูเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะตกหนัก ดังนั้นทุกคนจึงอยู่บ้านอย่างเกียจคร้าน เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่นี่ พวกเขาจึงเริ่มมารวมตัวกัน
“ทำไมท่านถึงปล้นข้า?” หลี่เยว่หานไม่ได้พบกับหวังเฟิ่งมาพักหนึ่งแล้ว เพราะอ้างว่าพักฟื้นจึงอยู่บ้านเป็นเวลานาน และการที่ไม่ได้ติดต่อกับคนอื่นเป็นเวลานาน ทำให้เธอแสดงท่าทางรุนแรงไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“ฮ่า ฮ่า ข้าไปปล้นเจ้าตอนไหน?” หวังเฟิ่งลืมตาพูดเรื่องไร้สาระพร้อมกับเตรียมยัดเนื้อเข้าปาก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลี่เยว่หานก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้าเนื้อตุ๋นที่หวังเฟิ่งถืออยู่ในมือ ก่อนโยนมันลงบนพื้นและเหยียบมันสองสามครั้ง จากนั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ได้! ทรัพย์สินถูกส่งคืนให้กับเจ้าของเดิม งั้นข้าไปก่อนล่ะกัน”
MANGA DISCUSSION