บทที่ 87 พิสุทธิ์ดุจหิมะบนภูผา เจิดจรัสดุจจันทร์เคียงเมฆา
พิสุทธิ์ดุจหิมะบนภูผา
เจิดจรัสดุจจันทร์เคียงเมฆา
ได้ยินว่าท่านมิตั้งมั่นในรัก
ข้าจึงมาตัดสัมพันธ์
หลี่เยว่หานเงยหน้ามองแสงจันทร์บนฟ้าจากในอ้อมอกของเมิ่งฉีฮ่วน ในใจประหวัดนึกถึงกลอนท่อนหนึ่งใน ‘ลำนำผมขาว’ ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ*[1]
ชีวิตที่แล้วหญิงสาวก็เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็เหมือนกับกลอนท่อนนี้ ได้ยินว่าท่านมิตั้งมั่นในรัก ข้าจึงมาตัดสัมพันธ์
เธอปรารถนาจะครองคู่หนึ่งสามีหนึ่งภรรยาไปจนแก่เฒ่า ไม่ใช่แบบยุคศักดินาที่สามีคนเดียวมีหนึ่งภรรยาหลายอนุ ดังนั้นระหว่างเธอกับเมิ่งฉีฮ่วนถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้
แม้เมิ่งฉีฮ่วนจะเป็นคนที่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด เท่าที่เธอเคยพบมาก็ตาม
คิดถึงตรงนี้ หลี่เยว่หานกำลังจะผลักเมิ่งฉีฮ่วนออกไป แต่กลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นริมโสต
“ข้าเคยได้ยินเจ้าบอกหลิงซีว่าคนสองคนครองคู่กันชั่วชีวิตจึงเป็นคู่แท้ ถึงข้าจะไม่เข้าใจว่าคนสองคนครองคู่กันชั่วชีวิตที่เจ้าพูดถึงคือแบบไหน แต่ข้ารับปากได้ว่าหากเจ้ายินดีเปิดใจให้ข้า ชั่วชีวิตนี้ของข้าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ได้ยินวาจานั้น หลี่เยว่หานก็อดจะต่อคำไม่ได้ “จริงหรือ มีข้าเป็นภรรยาคนเดียว จากนั้นก็รับอนุเข้ามาสักหลายคน กระทั่งไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ข้างนอก แบบนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งฉีฮ่วนฟังแล้วก็ดันไหล่หลี่เยว่หาน สีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ข้าจะเอาผู้หญิงมากมายขนาดนั้นมาทำไม ข้าไม่ได้จะเปิดหอคณิกาเสียหน่อย”
“ความคิดนี้ดี ต่อไปถ้าท่านรับผู้หญิงอื่นเข้ามา ข้าก็จะสั่งสอนพวกนาง วันหน้าพวกเราเปิดหอคณิกาหาเงินด้วยกัน” หลี่เยว่หานพูดจาเหลวไหล
เมิ่งฉีฮ่วนเห็นนางพูดจาแบบนั้นก็ยิ้มออกมา ก้มหน้าลงจุมพิตใบหน้านุ่มนิ่มเกลี้ยงเกลาของนางเบา ๆ “กลับไปนอนเถอะ ข้าจะอยู่คนเดียวต่ออีกสักหน่อย”
หลี่เยว่หานยังอยากถามอะไรต่อ แต่เธอคุ้นเคยกับนิสัยของเขาเสียแล้ว หญิงสาวยังกลัวว่าคำตอบของเมิ่งฉีฮ่วนจะไม่ใช่คำตอบที่ตัวเองต้องการ จึงเก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ในใจ
เมิ่งฉีฮ่วนดึงเสื้อคลุมตัวนอกที่จวนจะร่วงหลุดขึ้นมากระชับบนไหล่ของหลี่เยว่หาน แล้วบอกให้อีกฝ่ายกลับเข้าห้องไปก่อน
หลี่เยว่หานไม่ได้ปฏิเสธ กระชับเสื้อคลุมแล้วเดินกลับเรือนชั้นในไปแต่โดยดี
หารู้ไม่ว่า ถ้อยคำหยอกล้อของพวกเขาในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องจริงในอีกไม่กี่ปีให้หลัง ยามนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาประหนึ่งน้ำกับไฟ ทว่าสนิทแนบแน่น ทั้งรักทั้งชัง แต่กลับมิอาจตัดขาดจากกัน…
วันรุ่งขึ้น หลี่เยว่หานตื่นแต่เช้าตรู่ หลังทำอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไปปลุกเมิ่งฉีฮ่วนและสองพี่น้องให้ตื่นมากินข้าว จากนั้นก็ไปยกถั่วเหลืองจากในคลังเสบียงออกมา
ทุกวันหญิงสาวได้ทำเพียงเรื่องเหล่านี้ สุขสบายกว่าช่วงที่เจ้าของร่างเดิมยังมีชีวิตอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนั้นเอง เหมือนกับที่เมิ่งฉีฮ่วนลั่นวาจาเอาไว้ในคืนนั้น คนสกุลหลี่และคนสกุลหวังไม่มาหาเรื่องอีกแล้ว โจวต้าเป่าก็แวะเวียนมาช่วยหลี่เยว่หานย้ายถั่วเหลืองออกไปตากอยู่เป็นนิจ
หลี่เยว่หานดูแลหลิงซีตามลำพังก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง จึงสอนวิธีทำแปลงผักท้ายเรือนให้โจวต้าเป่าไปด้วยเสียเลย
จะว่าไปก็แปลกทีเดียว เมล็ดพันธุ์พืชที่หลี่เยว่หานนำกลับมาจากเมืองหลิวชิงเรียกได้ว่าปลูกได้สำเร็จสิบเต็มสิบส่วน หลี่เยว่หานทำใจไว้แล้วว่าคงต้องสูญเปล่าไปครึ่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะปลูกติดทั้งหมดเช่นนี้ เจริญเติบโตรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
หลี่เยว่หานจำเป็นต้องปรับปรุงสวนท้ายเรือนใหม่อีกครั้ง ทำทางเดินเล็ก ๆ เอาไว้ แล้วใช้พื้นที่ที่แสงแดดส่องถึงทั้งหมดมาปลูกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
แต่ละวันหลิงซีจะเดินตามหลังหลี่เยว่หานต้อย ๆ คอยมองเธอรดน้ำ บางครั้งก็จะใช้แขนเล็ก ๆ สองข้างแกว่งไปแกว่งมาในน้ำ
หลี่เยว่หานรู้สึกเหมือนได้เห็นตนเองสมัยเด็ก ตอนนั้นมารดาของเธอชอบปลูกดอกไม้ใบหญ้า สวนในบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชอวบน้ำนานาพรรณ ทุกวันระหว่างที่มารดาของเธอถอนวัชพืชรดน้ำต้นไม้ หลี่เยว่หานตัวน้อยก็จะเดินตามหลังมารดา ทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่ว แต่มารดากลับไม่เคยตำหนิเธอเลยสักครั้ง
น่าเสียดายที่มารดาด่วนจากไปเร็ว มารดาบุญธรรมหวังเฟิ่งเข้าบ้านมาหลังจากมารดาของเธอจากไปไม่ถึงเดือน นับแต่นั้น ดอกไม้ใบหญ้าในสวนก็เหี่ยวเฉาร่วงโรย หลี่เยว่หานไม่ได้เห็นภาพดอกไม้บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมรวยรินอีก และไม่มีโอกาสได้เล่นน้ำอยู่ข้างหลังมารดาอีกแล้ว
…
เวลาหลายวันผ่านไปในชั่วพริบตา ในที่สุดก็ถึงวันที่หลี่เยว่หานกับเวินเทียนเหล่ยนัดหมายกันไว้ว่าจะไปเมืองหลิวชิง
หลี่เยว่หานนัดเวลากับโจวต้าเป่าล่วงหน้าหนึ่งวัน เอากุญแจเรือนฝากไว้ที่เขา แล้วพาเด็กทั้งสองคนไปฝากฝังไว้กับหลี่ฮูหยิน คอยขนเนื้อตุ๋นห้าโถขึ้นไปบนรถม้าที่เมิ่งฉีฮ่วนนัดหมายเอาไว้ล่วงหน้า ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างพวกเขาก็โดยสารรถม้าเดินทางออกจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
รถม้าเดินทางได้เร็วกว่าเกวียนเทียมวัว หมู่บ้านไป๋อวิ๋นยังไม่ได้ตั้งอยู่ห่างไกลมากนัก เพียงไม่นาน พวกเขาก็เดินทางถึงอำเภอหย่งหนิง
“พวกเราแวะไปที่เรือนตระกูลหลิ่วกันเถอะ” หลี่เยว่หานที่หมอบอยู่บนหน้าต่างมองทิวทัศน์มาตลอดทางพลันหันมากล่าวกับเมิ่งฉีฮ่วนซึ่งกำลังอ่านตำรา
เมิ่งฉีฮ่วนตะลึงไปเล็กน้อย “ไปเรือนตระกูลหลิ่วทำไม?”
“ช่วยเจรจางานมงคลให้หลี่หรงหรง” หลี่เยว่หานฉีกยิ้ม “ไม่อย่างนั้น ถ้าวัน ๆ นางเอาแต่คิดจะแต่งให้ท่านก็แย่น่ะสิ”
ได้ยินอย่างนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็พยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วมุดออกไปบอกสารถีว่าให้แวะที่เรือนตระกูลหลิ่วแห่งหย่งหนิง จากนั้นหันกลับมาพูดกับหลี่เยว่หาน “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าจะจับคู่หลี่หรงหรงกับหลิ่วจื้อหย่วนได้?”
“ตอนนั้นกว่าแม่ข้าจะช่วยนายท่านผู้เฒ่าหลิ่วได้ก็เกือบแย่เหมือนกัน จะพูดอย่างไร ข้าก็เป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณของตระกูลหลิ่ว ให้หลี่หรงหรงเป็นอนุหาใช่เรื่องยาก” หลี่เยว่หานว่าแล้วก็โคลงศีรษะมองเมิ่งฉีฮ่วน “ท่านก็ต้องเข้าไปในเรือนตระกูลหลิ่วกับข้าด้วยเหมือนกัน”
“ทำไม?” เมิ่งฉีฮ่วนสงสัย
“ข้ากลัวว่าคนตระกูลหลิ่วจะเข้าใจผิดว่าข้าอยากเป็นนายหญิงน้อยของพวกเขา พาท่านไปด้วยจะได้ประกาศต่อพวกเขาไปเลยว่าข้าออกเรือนแล้วจริง ๆ” หลี่เยว่หานกล่าวอย่างจริงจัง
“สามีภรรยากันแค่ในนามจะนับเป็นสามีภรรยาได้อย่างไร?” เมิ่งฉีฮ่วนแกล้งทำเป็นเซื่องซึม
“ใครว่าเป็นสามีภรรยาแค่ในนาม! พวกเราทำแบบนั้น…ไปแล้ว…” อารามร้อนใจ หลี่เยว่หานเอ่ยคำพูดไปเร็วกว่าความคิด พลั้งปากพูดออกมาแล้วก็มีอันต้องหน้าแดงวาบ
เห็นหลี่เยว่หานพูดอะไรไม่ถูกเพราะวาจาของตนเอง เมิ่งฉีฮ่วนลอบยิ้มในใจ หุบตำราลงแล้วกล่าว “ได้ สามีจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง” เขาพูดพลางค้นหากระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่าง
“ฮึ…” หลี่เยว่หานเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเขาก็เสมองไปทางอื่นไม่สนใจเขาอีก
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าก็หยุดลงตรงหน้าประตูเรือนตระกูลหลิ่ว เมิ่งฉีฮ่วนลงจากรถม้าแล้วประคองหลี่เยว่หานลงมา
หลี่เยว่หานกำลังจะเข้าไปแจ้งจุดประสงค์การมาเยือนของตนเองต่อคนเฝ้าประตู แต่เมิ่งฉีฮ่วนหยุดเธอเอาไว้ แล้วส่งกระดาษที่เขียนไว้บนรถม้าไปให้แทน ตอนนั้นหลี่เยว่หานค่อยเห็นว่าบนนั้นเขียนตัวอักษรไว้สองคำว่า ‘ขอพบ’
“รบกวนน้องชายเข้าไปแจ้งทีว่าพวกข้ามาขอพบนายท่านผู้เฒ่าหลิ่ว” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางยัดเงินหนึ่งก้วนให้คนเฝ้าประตู*[2]
วันนี้เมิ่งฉีฮ่วนสวมชุดคลุมยาวสีเข้ม ผมที่มักจะบิด ๆ เบี้ยว ๆ ก็รวบขึ้นเรียบร้อย โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลา กระทั่งขนคิ้วที่ไม่เรียบร้อยหลี่เยว่หานก็โกนออกให้แล้ว ยามนี้จึงแลดูหล่อเหลาสง่างามยิ่งนัก
คนเฝ้าประตูเคยเห็นหลี่เยว่หานแล้วหนหนึ่งจึงไม่คิดมาก รับรางวัลแล้วเข้าไปรายงานพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านให้เงินเขาทำไม!” หลี่เยว่หานกระตุกแขนเสื้อของเมิ่งฉีฮ่วนเบา ๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“จ่ายเงินปัดเป่าโชคร้าย” เมิ่งฉีฮ่วนหันมายิ้มให้
ไม่รู้เป็นเพราะวันนี้แสงอาทิตย์เจิดจ้าเกินไป หรือวันนี้เมิ่งฉีฮ่วนแต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน หลี่เยว่หานจึงถูกรอยยิ้มของเขาขโมยลมหายใจไปชั่วขณะ
[1] ลำนำผมขาว《白头吟》แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เชื่อกันว่าผู้แต่งคือ จั๋วเหวินจวิน (ยังคงเป็นที่ถกเถียง) กล่าวถึงสตรีคนหนึ่งที่เชื่อว่าความรักเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ คนรักกันพึงซื่อสัตย์ต่อกัน นางปรารถนาจะอยู่ร่วมกับชายคนรักจนแก่เฒ่า แต่กลับถูกชายคนรักนอกใจ นางจึงมาตัดสัมพันธ์กับอีกฝ่าย
[2] เงิน 1 ก้วน = 1 ตำลึง
MANGA DISCUSSION