บทที่ 76 เจ้าหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้
เวินเทียนเหล่ยมองเมิ่งฉีฮ่วนยิ้มแฝงเจตนาร้ายแล้วก็ต้องขนลุก
“ผู้ใดให้เจ้าจ้องคุณชายใหญ่ของพวกข้าแบบนั้น!” บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ อยากแสดงออกต่อหน้าเวินเทียนเหล่ยจึงยืดอกก้าวออกมา แต่กลับถูกเมิ่งฉีฮ่วนจ้องมองจนเหงื่อเย็นหลั่งไหล
“เจ้าหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เวินเทียนเหล่ยเตะบ่าวรับใช้คนนั้นออกไปข้างนอก ลูบเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดว่า “พี่เมิ่ง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่นางหลี่เป็นภรรยาของท่าน…”
“ไม่รู้?” เมิ่งฉีฮ่วนหรี่ตามองเวินเทียนเหล่ย “แล้วเจ้าหานางพบได้อย่างไร? วันนั้นข้ากับนางไปเมืองหลิวชิงด้วยกันนะ!”
“ข้า…ข้า…” เวินเทียนเหล่ยไหนเลยจะทราบว่าคนที่อยู่กับหลี่เยว่หานวันนั้นคือเมิ่งฉีฮ่วน เขาร้อนใจจนเหงื่อตก “ท่านคิดดูสิ ตอนนี้พี่เมิ่งแต่งกายงามสง่า หนวดก็โกนจนเกลี้ยงเกลา ผมเผ้าก็รวบขึ้นอย่างประณีต แลดูมีสง่าราศีปานไหน”
“แล้วอย่างไร?” สีหน้าของเมิ่งฉีฮ่วนปราศจากความรู้สึก
หลี่เยว่หานไม่รู้ว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร แต่ดูจากบรรยากาศก็ทราบได้ว่าไม่ถูกต้องจึงเดินกลับเข้าห้องครัว
เสียงเวินเทียนเหล่ยพยายามอธิบายดังมาจากด้านนอกห้องครัว “วันนั้นข้าได้ยินแม่นางท่านนี้ ไม่สิ เมิ่งฮูหยินพูดภาษาของพ่อค้าจากต่างแคว้น ข้าจำท่านไม่ได้จริง ๆ! ข้าเลยให้คนไปสืบอยู่นานจึงรู้ว่าแม่นาง…เมิ่งฮูหยินอาศัยอยู่ในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น วันนี้ข้าก็เพิ่งมาเจอนางเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ข้าไหนเลยจะรู้ว่านางเป็นภรรยาของท่าน!”
ภายในครัว
มู่ชวนกับหลิงซีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เข้าใจว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น หลี่เยว่หานฟังจากบทสนทนาของพวกเขาก็ทราบว่าเวินเทียนเหล่ยคงอยู่กินอาหารด้วยแน่แล้ว จึงถอนหายใจแล้วไปเตรียมสำรับเพิ่มอีกชุด
เมิ่งฉีฮ่วนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวเห็นแล้วก็ร้องห้ามทันที “เยว่หาน! วางลง! เขากินข้าวที่เรือนเราไม่ได้!”
เวินเทียนเหล่ยร้อนใจจนเดินวนไปมา “พี่เมิ่ง! พี่เมิ่งท่านฟังข้าอธิบาย ภาษิตว่าไว้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ท่านช่วยเห็นแก่ที่พวกเราทำการค้าร่วมกันมานาน ไว้หน้าข้าบ้างสักนิดจะได้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็ตวัดสายตาพิฆาตมองมา “หมายความว่าถ้าไม่มีคุณชายใหญ่เวินที่เป็นพ่อค้าหลวงขั้นหนึ่งอย่างเจ้า หนังสัตว์ของข้า…ก็จะขายไม่ออกแล้ว?”
เวินเทียนเหล่ยเห็นเขาพูดจาออกมาแค่ครึ่งเดียว ลูกตากลอกกลิ้งไปรอบหนึ่ง จดจำเอาไว้ในใจ ขยับเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูเมิ่งฉีฮ่วน แล้วทำท่าร้องขอความเมตตา แม้จะไม่ได้ออกปากขอร้อง แต่ก็แสดงความนัยออกมาชัดเจนแล้ว
นิ่งคิดไปนาน สีหน้าของเมิ่งฉีฮ่วนค่อยดีขึ้นบ้าง “ต่อไปเวลาพูดจาก็ระวังด้วย!” เขาพูดจบก็สาวเท้าเดินเข้าห้องครัวไป
“เข้าใจแล้ว!” เวินเทียนเหล่ยถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ขณะจะเดินตามเมิ่งฉีฮ่วนเข้าไปในครัว กลับถูกอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาพิฆาต
“ข้าได้บอกหรือว่าจะให้เจ้าอยู่กินข้าวด้วยกัน?”
“…”
“…”
เวินเทียนเหล่ยแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ปกติตอนที่เขาทำการค้าร่วมกับเมิ่งฉีฮ่วน แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดจาด้วยดีนัก แต่ก็ไม่เคยทำตัวโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ วันนี้เขาแค่พูดผิดไปแค่ไม่กี่คำ เมิ่งฉีฮ่วนก็ทำท่าราวกับจะจับเขาถลกหนังทั้งเป็น…หากรู้แต่แรกคงให้คนสืบมาให้ชัดเจนเสียก่อน ลูกน้องของเขาไม่มีใครได้เรื่องเลยจริง ๆ!
“เมิ่งหลาง*[1] คุณชายใหญ่เวินถึงอย่างไรก็เป็นคุณชายใหญ่จากตระกูลที่มีเกียรติ ท่านอย่ารังแกเขาแบบนั้นสิ” น้ำเสียงนุ่มนวลของหลี่เยว่หานลอยมา พอฟังอย่างละเอียดก็พบว่ามีความขบขันเจืออยู่หลายส่วน
จู่ ๆ มาถูกหลี่เยว่หานเรียกว่า ‘เมิ่งหลาง’ กระทั่งเมิ่งฉีฮ่วนก็ยังนิ่งอึ้งไป แต่ทันใดก็มีรอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้า “ก็ได้ ตามใจฮูหยิน”
เวินเทียนเหล่ยซึ่งยืนอยู่ตรงประตู เห็นเมิ่งฉีฮ่วนเปลี่ยนสีหน้าในพริบตาก็ต้องผงะ
เมิ่งฉีฮ่วนที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะพูดจาด้วยง่าย แต่นี่…เชื่อฟังภรรยาขนาดนี้เชียว?
“อึ้งอยู่ทำไม! ถ้าไม่กินข้าวก็ไปให้พ้น!” เมิ่งฉีฮ่วนเห็นเวินเทียนเหล่ยยังยืนอยู่ที่ประตูก็พูดเหน็บมาประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เวินเทียนเหล่ยค่อยได้สติ รีบเข้ามาในครัวแล้วนั่งลงข้าง ๆ เมิ่งฉีฮ่วนอย่างเรียบร้อย
หลี่เยว่หานนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากตักข้าวให้พวกเด็ก ๆ แล้ว หันมาเห็นท่าทางของเวินเทียนเหล่ยก็รู้สึกว่าน่าขัน ภาพนี้ช่างให้ความรู้สึกเหมือน…ประธานเมิ่งจอมโหดกับภรรยาแซ่เวินผู้แสนน่ารัก?
“หลี่…เมิ่งฮูหยิน ท่านทำอาหารอะไรหรือ? ข้าได้กลิ่นหอมตั้งแต่อยู่นอกเรือนของท่านแล้ว!” เวินเทียนเหล่ยถามขณะจ้องเนื้อตุ๋นตาไม่กะพริบ
“ให้เจ้ากินก็กินไปสิ! ถามอะไรเยอะแยะ!” เมิ่งฉีฮ่วนพูดเสียงโหด
“เมิ่งหลาง ผู้มาคือแขก ท่านอย่าทำกับเขาแบบนี้สิ” หลี่เยว่หานอมยิ้มเกลี้ยกล่อม
“เฮอะ!” เมิ่งฉีฮ่วนแค่นเสียงเย็น หยิบตะเกียบขึ้นมาพุ้ยข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวเสียงดัง ราวกับกำลังกินเนื้อของเวินเทียนเหล่ยอยู่กระนั้น
“นี่คือเนื้อตุ๋นที่ข้าลงมือทำด้วยตนเอง หากคุณชายเวินไม่รังเกียจอาหารรสชาติจืดชืดของพวกข้าก็เชิญรับประทานเถอะ” หลี่เยว่หานคีบอาหารให้มู่ชวนกับหลิงซีพลางอธิบาย
เวินเทียนเหล่ยพยักหน้าน้อย ๆ ประคองถ้วยข้าวขึ้นมาอย่างมีมารยาท จากนั้นก็คีบเนื้อตุ๋นเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปหลายที ดวงตาก็พลันลุกวาว “เนื้อตุ๋นของท่านอร่อยจริง ๆ! อร่อยมาก! ข้าไม่เคยกินอาหารเลิศรสเช่นนี้มาก่อนเลย! อร่อยมาก!”
เวินเทียนเหล่ยว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินราวกับลืมเมิ่งฉีฮ่วนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไปแล้ว
“เอิ๊ก” ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเวินเทียนเหล่ยก็วางตะเกียบลง ลูบหน้าท้องด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ
“กินเสร็จแล้ว?” น้ำเสียงเย็นเยือกของเมิ่งฉีฮ่วนดังขึ้น เวินเทียนเหล่ยรู้สึกตัวจากห้วงของเคลิบเคลิ้มที่ได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะในทันใด ครั้นเห็นเนื้อตุ๋นชามโตที่ถูกตนเองกินจนเกลี้ยงก็หน้าแดงวาบ
“ขออภัย…ฝีมือทำอาหารของเมิ่งฮูหยินยอดเยี่ยมเกินไป ข้าไม่เคยกินเนื้อตุ๋นพะโล้ที่อร่อยปานนี้มาก่อนจึงเสียกิริยาไปชั่วขณะ…” เวินเทียนเหล่ยอธิบาย “ถ้าสามารถทำอาหารเลิศรสเช่นนี้คราวละมาก ๆ ข้ารับรองว่าสามารถช่วยให้ท่านหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำในชั่วระยะเวลาไม่นานเลยเชียว!”
ได้ยินวาจานั้น ขณะเมิ่งฉีฮ่วนทำท่าว่าจะไล่คนกลับไป หลี่เยว่หานก็ชิงพูดขึ้นมา “เนื้อตุ๋นพวกนี้หลังจากทำเสร็จแล้วต้องใส่โถดินเผาเอาไว้แล้วปิดปากให้สนิท เก็บรักษาไว้ในบริเวณที่อากาศเย็น ถ้าเปิดออกมาแล้วก็ต้องรับประทานให้หมด ไม่อาจทิ้งไว้นาน ไม่รู้ว่าคุณชายเวินจะช่วยพวกข้าหาเงินได้อย่างไรหรือ?”
“เรื่องนี้ง่ายยิ่ง เพียงเมิ่งฮูหยินตอบรับมาคำเดียว ข้าก็จะซื้อกับท่านราคานี้!” เวินเทียนเหล่ยพูดพลางยกนิ้วขึ้นมาห้านิ้วแล้วคว่ำลง
“โถละสิบตำลึง?” หลี่เยว่หานไม่ค่อยพอใจราคานี้ แม้ราคาสิบตำลึงจะสูงลิ่วแล้วสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่หลี่เยว่หานไม่ได้จะทำการค้ากับชาวบ้านทั่วไปนี่นา
เธอรู้ว่าอาหารการกินในสมัยนี้มักมีรสชาติเดียว เนื่องจากเกลือที่ขายทั่วไปในท้องตลาดคือเกลือหยาบเป็นหลัก เกลือหยาบยังมีรสขม เนื้อตุ๋นทั่วไปทำออกมาแล้วก็มีรสเค็มอย่างเดียว กระทั่งมีรสขมปนมาด้วยเล็กน้อย
แต่เกลือที่เธอใช้ได้ผ่านการทำให้บริสุทธิ์มาแล้ว ประกอบกับใช้เครื่องเทศอีกหลายชนิดในการทำน้ำแกง ใช้กระดูกหมูเคี่ยวน้ำแกงอย่างน้อยหนึ่งคืน จนกระทั่งเนื้อมีความเปื่อยนุ่มแต่ไม่เละก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เนื้อตุ๋นหนึ่งโถอย่างน้อยก็ต้องใช้เนื้อสัตว์ห้าชั่ง ทุ่มเทไปขนาดนั้นแต่กลับขายได้โถละสิบตำลึง จึงไม่ใช่ราคาที่น่าพึงพอใจเลยจริง ๆ
“แล้ว…เมิ่งฮูหยินคิดว่าราคาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?” เวินเทียนเหล่ยมองหลี่เยว่หานด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
[1] หลาง 郎 ในที่นี้เป็นคำเรียกชายคนรักหรือสามี โดยเติมไว้หลังสกุล (แซ่) ของฝ่ายชาย
MANGA DISCUSSION