บทที่ 72 หิวมาก หิวมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหลี่เยว่หานตื่นนอน อาหารก็ถูกเตรียมไว้ภายในครัวเรียบร้อยแล้ว มู่ชวนกำลังจูงมือหลิงซีที่ยังไม่ลืมตาไปล้างหน้า แต่กลับมองไม่เห็นเมิ่งฉีฮ่วน
“มู่ชวน ท่านอาของเจ้าล่ะ?” หลี่เยว่หานหยิบแปรงสีฟันที่ตนทำขึ้นมาเองอย่างง่าย ๆ ไปจุ่มลงในเกลือหยาบเล็กน้อย ล้างหน้าไปพลางเอ่ยถาม
“ท่านอาออกไปตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ ท่านอาหลิวมาชวนขึ้นภูเขาไป บอกว่าอีกไม่นานอากาศจะเย็นลงแล้ว และสัตว์ป่าบนภูเขาจะน้อยลง” มู่ชวนพูดพลางบิดผ้าให้หมาดเพื่อเช็ดหน้าหลิงซีที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่ และยังช่วยนางเช็ดขี้ตาและน้ำลายอีกหลายครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็บ้วนปากและเอ่ยถามขึ้นมา “โดยปกติก่อนที่อาเมิ่งของพวกเจ้าจะขึ้นภูเขาไปตอนเช้า จะเตรียมอาหารไว้ให้พวกเจ้าเช่นนี้หรือ?”
“ไม่…” มู่ชวนเม้มริมฝีปาก “แต่บางครั้งก็ทำอาหารให้พวกเรา บอกอาหญิงตามตรง ตอนที่ท่านยังไม่มานั้น บางครั้งเมื่ออาเมิ่งกลับมา เขานอนหลับไปโดยไม่ล้างเท้าก็มี”
“…” หลี่เยว่หานอดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ แต่เมื่อลองหวนคิดไปแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนที่เป็นชายเพียงคนเดียวต้องเลี้ยงดูเด็กน้อยถึงสองคน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่าง การขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์นั้นนับเป็นการใช้แรงกายไม่น้อย กลับมาก็ยังไม่มีข้าวปลาอาหารร้อน ๆ คงจัดการอะไรไม่ได้มาก เพียงล้มตัวลงนอนก็หลับไปได้ในทันที
“อาเมิ่งไม่ล้างเท้าก่อนนอนที่ไหนกัน” หลิงซีหรี่ตาขึ้นมามองพลางพูดด้วยท่าทางง่อนแง่น “ครั้งนั้นเป็นเพราะมีคนคนไม่ดี อาเมิ่งก็เลยแสร้งทำให้พวกเขาเห็น ท่านอารักความสะอาดจะตายไป”
เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยพูดจบก็ยืนง่อนแง่นต่อไป หลี่เยว่หานจึงรีบอุ้มนางมาไว้ในอ้อมแขนของตนทันที เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของอาหญิง หลิงซีถูลำคอของหลี่เยว่หานเบา ๆ ก่อนจะนอนหลับต่อไป
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ หลี่เยว่หานอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ที่ผ่านมา เจ้าปลุกน้องสาวเจ้าเช้าเช่นนี้เชียวหรือ?”
“ไม่ใช่ เป็นเพราะนางอยากตื่นขึ้นมาเอง” มู่ชวนพูดไปพลางยกอาหารจากเตาไปวางบนโต๊ะ “ทุกครั้งนางจะตะโกนร้องขอตามอาเมิ่งขึ้นภูเขาไป แต่นางก็จะง่วงนอนเช่นนี้ทุกครั้ง แม้แต่กินข้าวก็ยังกินเข้าไปทางจมูก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็ยิ่งรู้สึกปวดใจกับสองพี่น้องคู่นี้
ถึงแม้ชายคนหนึ่งเลี้ยงดูเด็กถึงสองคนจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในการใช้ชีวิตส่วนมากนั้น เด็กทั้งสองคนยังคงต้องดูแลตัวเอง มู่ชวนอายุเพียงห้าขวบ เมื่อคิดถึงคำพูดของเมิ่งฉีฮ่วน พวกเขามายังหมู่บ้านไป๋อวิ๋นเมื่อสองปีก่อน มู่ชวนในตอนนั้นคงจะอายุพอ ๆ กับหลิงซีในตอนนี้
มู่ชวนที่อายุเพียงเท่านั้น ยังต้องดูแลน้องสาวที่นอนอยู่ในผ้าอ้อม อีกทั้งยังต้องเรียนหนังสือและต้องทำอาหาร
ไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กตัวน้อย ๆ ที่หลี่เยว่หานได้พบตอนไปทำอาสาสมัครแม้แต่น้อย…
“ต่อไปให้อาเมิ่งของพวกเจ้าขึ้นภูเขาไปเงียบ ๆ คนเดียว อย่าทำให้พวกเจ้าต้องตื่นเช่นนี้” หลี่เยว่หานพูดพลางวางแปรงสีฟันของตัวเองลง และนำหลิงซีไปวางไว้บนเตียงเล็ก ๆ ที่เธอจัดเตรียมไว้ในห้องครัว หลังจากห่มผ้าแล้วจึงมองไปยังอาหารบนโต๊ะ หญิงสาวอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
“ให้พวกเจ้ากินมันเทศกันแต่เช้าเลยหรือ?” หลี่เยว่หานพูดไม่ออกจริง ๆ
“อาเมิ่งต้องรีบไปแน่…” มู่ชวนเองก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา…ถึงแม้จะบอกว่าตัวเองไม่เลือกกินเท่าใดนัก แต่เมื่อได้กินอาหารที่หลี่เยว่หานทำมานาน แล้วจู่ ๆ ต้องกลับมากินมันเทศ มู่ชวนก็รู้สึกไม่ชินอยู่เล็กน้อย
“เจ้ารอก่อน” หลี่เยว่หานพูดพลางลุกเดินออกไปจากห้องครัว เดินไปยังห้องเก็บผักและเปิดไหผักตุ๋นที่เตรียมไว้เมื่อวันก่อน และเติมเนื้อตุ๋นให้เต็มชาม
หลังจากเดินกลับไปห้องครัว จึงยกหม้อขึ้น หั่นเนื้อตุ๋นออกเป็นแผ่นบาง ๆ ดึงก้านอ่อนของกระเทียมออกแล้วสับจนละเอียด นำเนื้อตุ๋นลงไปผัดในหม้อ เพียงไม่นานก็ส่งกลิ่นหอมลอยออกมา มู่ชวนได้กลิ่นแล้วก็แทบเก็บน้ำลายไว้ไม่ไหว
“หอมมาก หอมมาก…หิวแล้ว ๆ…” หลิงซีที่กำลังหลับอยู่นั้นตื่นขึ้นมาทันที นางหลับตาลงและขยับจมูกเพื่อสูดดมหาที่มาของกลิ่นหอม
มู่ชวนกลัวว่านางจะลุกและลงจากเตียงมาโดยไม่ลืมตา จึงรีบขึ้นไปจับมือนางไว้ทันที “ตื่น ๆ อาหญิงเตรียมอาหารไว้ให้เราแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำว่าอาหาร หลิงซีก็ลืมตาขึ้นมาทันที
มู่ชวนเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกทั้งโมโหทั้งตลกอีกฝ่าย
ชามเนื้อตุ๋นผัดหอม ๆ ถูกหลี่เยว่หานยกมาวางไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหญิงสาวจึงหั่นมันเทศที่นึ่งสุกแล้วออกเป็นชิ้น ๆ ผสมเข้ากับแป้ง น้ำและไข่ไก่คนให้เข้ากัน และนำต้นกระเทียมที่เหลือหั่นใส่ตามลงไป จากนั้นใส่น้ำมันสัตว์ลงไปในหม้อเล็กน้อย เทส่วนผสมลงไปให้เป็นแผ่นและนำไปอบทันที เมื่อเสร็จแล้วก็เทใส่จานแล้วนำไปวางบนโต๊ะ
ดวงตาของมู่ชวนและหลิงซีเปล่งประกายขึ้นมาทันที แต่ด้วยการที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี ทำให้สองพี่น้องต้องพยายามอดกลั้นความอยากไว้ จนกระทั่งหลี่เยว่หานล้างมือแล้วมานั่งพลางพูดว่า ‘กินได้’ ทั้งสองจึงเริ่มหยิบตะเกียบและเริ่มกิน
เมื่อเห็นสองพี่น้องกินอย่างมีความสุข หลี่เยว่หานก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย หลี่เยว่หานจึงแบกตะกร้าใส่หลังพลางเอาหลิงซีใส่ลงไปและไปส่งมู่ชวนไปสำนักศึกษา วันนี้เธอวางแผนไว้ว่าจะเดินไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ ด้านหลังสำนักศึกษาเพื่อไปยังสถานที่ปลูกต้นพริกป่าอีกครั้ง เธออยากขุดต้นกล้าเหล่านั้นกลับมา
“ข้าถึงแล้ว อาหญิงกลับไปเถิด” หน้าประตูทางเข้าสำนักศึกษา มู่ชวนจูงมือกับอาหญิงของตนอย่างมีความสุข
“อืม ตั้งใจเรียน อาหญิงจะขึ้นภูเขาแล้ว” พูดจบหลี่เยว่หานจึงเดินไปด้านหลังสำนักศึกษา
เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่ชวนจึงรีบก้าวออกไปขวางหลี่เยว่หานไว้ พลางพูดเสียงกระซิบออกมาเบา ๆ “อาหญิง เส้นทางหลังภูเขานั้นเป็นเส้นทางสำหรับอาจารย์ วันนี้มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมากอย่าไปทางนั้นเลย”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเด็กชาย หลี่เยว่หานก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ถามใด ๆ ออกไป คนสมัยก่อนมักที่จะชอบสร้างเส้นทางเล็ก ๆ ไว้หลังบ้านของตน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าไม่ไปแล้ว เจ้ารีบเข้าเรียนถิด” พูดจบ หลี่เยว่หานจึงอุ้มหลิงซีขึ้นมา มองมู่ชวนเดินเข้าสำนักศึกษาจนลับสายตาไปแล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป
แต่กลับถูกคุณชายที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าดูดีผู้หนึ่งขวางทางไว้
“รบกวนท่านช่วยหลีกทางให้ข้า” คนของครอบครัวหลี่พึ่งจะมาสร้างความวุ่นวาย หลี่เยว่หานจึงไม่อยากมีเรื่องข้องเกี่ยวกับชายอื่นนัก โดยหญิงสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ
“สาวน้อยเจ้าช่างเติบโตมาอย่างงดงามนัก อยากมาเป็นคนของตระกูลเวินของเราหรือไม่?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างเป็นกันเองดังขึ้นอยู่บนศีรษะ
ได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานอดรู้สึกรังเกียจขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายมีสีหน้าดูเป็นกันเอง หญิงสาวคิดบางอย่างอยู่ในใจก่อนจะพูดบางอย่างออกมา “ไม่ทราบว่า คุณชายมีนามว่าอันใด?”
“ข้าคือคุณชายใหญ่ตระกูลเวินพ่อค้าหลวงขั้นหนึ่ง เวินเทียนเหล่ย” พูดจบ เวินเทียนเหล่ยจึงโค้งคำนับหลี่เยว่หานด้วยท่าทางสุภาพ
หลี่เยว่หานถือโอกาสในตอนที่เขาโค้งคำนับ เดินไปด้านหลังเวินเทียนเหล่ยอย่างรวดเร็ว พลางใช้เท้าเตะไปยังบั้นท้ายของเวินเทียนเหล่ย
ถ้าไม่เป็นเพราะบ่าวที่ติดตามมานั้นมีสายตาและมือที่ว่องไว และไม่ได้ประคองเวินเทียนเหล่ยเอาไว้ เกรงว่าเขาคงจะล้มจนกินอุจจาระสุนัขไปแล้วก็เป็นได้…
“ข้าจะเกิดมาเป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าเห็นข้าอุ้มเด็กไว้เช่นนี้แล้วยังกล้าพูดกระเซ้าเย้าแหย่ นับว่าเจ้าไร้มารยาทยิ่งนัก การเตะในวันนี้ถือเป็นบทลงโทษของเจ้า หากมาพูดหยอกล้อข้าเช่นนี้อีก ข้าจะเตะจนรากชีวิตของเจ้าขาดสบั้นแน่!”
เมื่อหลี่เยว่หานพูดจบ เธอก็อุ้มหลิงซีและเดินหมุนตัวเดินออกไป
ขณะนั้นเอง ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบ ๆ ก็มีจำนวนไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นหลี่เยว่หานโมโหเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ มากสุดก็เพียงแค่ต่อว่าหวังเหอฮวาเพียงไม่กี่คำ แต่กลับไม่คิดว่าแม้แต่เวินเทียนเหล่ยนางยังกล้ามีปัญหาด้วย ในขณะนั้นเอง ผู้คนต่างพูดเรื่องนี้กันมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดต่อหน้าหลี่เยว่หาน
“อาหญิง ข้าได้ยินคนพูดว่าท่านต้องแย่แน่ ๆ” หลิงซีที่กอดคอหลี่เยว่หานไว้กระซิบเบา ๆ ข้างหู
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่เป็นไร ให้อาของเจ้าปกป้องข้าแล้วกัน”
MANGA DISCUSSION