บทที่ 70 เหตุใดอาเมิ่งจึงมองอาหญิงเช่นนั้นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิง มู่ชวนจึงมองไปยังหลิงซีอย่างจริงจังพลางพูดขึ้นว่า “หลิงซี หากรู้อะไรหลาย ๆ อย่างก็จะยิ่งอันตราย เจ้าต้องจำไว้ อย่าให้อาหญิงรู้เรื่องเหล่านี้ของพวกเราอย่างเด็ดขาด ไม่ง่ายเลยที่อาเมิ่งจะปิดบังเรื่องนี้ไว้ได้!”
มู่ชวนรักและเป็นห่วงหลิงซีมาโดยตลอด ดังนั้นหลิงซีจึงเชื่อฟังคำพูดของมู่ชวนเสมอ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของมู่ชวนในตอนนี้ หลิงซีจึงเม้มริมฝีปากและออกแรงพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ไปเถิด ข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว พวกเราไปกินข้าวกัน” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางบีบใบหน้ากลมของหลิงซีเบา ๆ อย่างหยอกล้อ “วันนี้ต้องลำบากหลิงซีกับมู่ชวนเสียแล้ว”
“ไม่ลำบากสักนิด! เพียงแค่ครอบครัวเราอยู่กันได้อย่างสงบสุข หลิงซีก็ไม่ลำบาก!” หลิงซีพูดพลางคล้องคอเมิ่งฉีฮ่วนไว้พลันหาวออกมาวอดใหญ่
ภายในห้องครัว
หลี่เยว่หานดื่มน้ำพลางมองไปรอบ ๆ จึงเห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนได้เตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าการกระทำนี้เกินความคาดหมายของเธอไปเสียหน่อย
แม้จะพูดว่าเธออยู่บ้านตระกูลเมิ่งมานานแล้ว ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา หลี่เยว่หานก็ยังไม่เคยเห็นเมิ่งฉีฮ่วนทำอาหารมาก่อน กลับเป็นมู่ชวนที่ทำบ่อยเสียมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เมื่อมองไปยังอาหารบนโต๊ะ นับว่าเมิ่งฉีฮ่วนมีฝีมือในการทำอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่แปลกที่ผู้ชายหยาบกระด้างคนหนึ่งจะสามารถเลี้ยงดูสองพี่น้องได้ดีเช่นนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลี่เยว่หานจึงล้างมือและใบหน้าของตน เตรียมที่จะเดินออกไปตะโกนเรียกพวกเขาเข้ามากินข้าวกัน แต่ในตอนนั้นเมิ่งฉีฮ่วนก็อุ้มหลิงซีเข้ามาในห้องครัวพอดี
“ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะมีฝีมือทำครัว” หลี่เยว่หานฉีกยิ้มพลางรับหลิงซีมาจากมือของเมิ่งฉีฮ่วน
“เรื่องที่เจ้ายังไม่รู้นั้นยังมีอีกมาก หลังจากนี้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจก็พอ” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางจัดวางถ้วยชามและตะเกียบ ส่งสัญญาณให้มู่ชวนและหลิงซีไปล้างมือ จากนั้นจึงดึงให้หลี่เยว่หานที่อยู่ด้านข้างโต๊ะนั่งลง
“เจ้าน่าจะรู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงต้องแต่งงานกับเจ้า?” จู่ ๆ เมิ่งฉีฮ่วนได้เอ่ยถามขึ้นมา
หลี่เยว่หานชะงักไป ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร หรือต้องพูดต่อหน้าเด็กทั้งสองคนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันเช่นไร หรือตนจำเป็นต้องเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนกัน?
“นอกจากเรื่องนั้น!” เมิ่งฉีฮ่วนเห็นสีหน้าแปลกใจของหลี่เยว่หาน จึงคิดว่านางต้องคิดถึงเรื่องนั้นแน่
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลี่เยว่หานก็หน้าแดงฉานขึ้นมา หญิงสาวเบือนหน้าหนีพลางพูดขึ้น “ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องแต่งงานกับข้า ในโลกนี้มีหญิงสาวมากมาย เจ้าก็ไม่ได้ขาดเงิน ซื้อของดี ๆ ย่อมดีกว่าซื้อของที่เป็นโรคกลับมาอยู่แล้ว”
“พูดแล้วก็ถูก” เมิ่งฉีฮ่วนพยักหน้ารับ “ในตอนที่ซื้อเจ้ามานั้น จ่ายเงินไปไม่น้อย และยังต้องใช้เงินอีกจำนวนมากในการเลี้ยงดูเจ้า แล้วดูเจ้าตอนนี้ ดูไม่เหมือนภรรยาข้าสักนิด คิดแล้วก็ช่างน่าอับอายยิ่งนัก”
“เราตกลงกันแล้ว…”
“รู้ว่าตกลงกันแล้ว” เมิ่งฉีฮ่วนพูดตัดบทขึ้นมา พลางส่งตะเกียบให้หลี่เยว่หาน “ที่ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นภรรยา ก็เพราะคิดว่าเจ้าแตกต่างกับผู้หญิงอื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็กลอกตามอง “หัวโบราณ”
“เช่นนั้น เจ้าพูดอะไรที่ทำให้ข้าฟังแล้วรู้สึกสดชื่นเสียหน่อย”
“…”
หลี่เยว่หานไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงไร้ยางอายเพียงนี้ หน้าหนาเสียจริง เป็นครั้งแรกที่พบคนเช่นนี้หลังจากการเกิดใหม่จริง ๆ ยังนับว่าโชคดีที่เขาเป็นคนดีซื่อสัตย์ มิเช่นนั้นหลี่เยว่หานก็คงไม่กล้าคิดว่าช่วงเวลาที่ตนป่วยนั้นจะถูกเขาทำอะไรไปหรือไม่
“อาหญิง ๆ” หลิงซีที่ล้างมือเสร็จแล้วจึงปีนขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ มองหลี่เยว่หานพลางพูดขึ้นมา “ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านอาถึงชอบท่าน ก่อนหน้านี้ท่านอาเคยพูดไว้ว่า อาหญิงมีความกล้าหาญมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นจึงอยากให้ท่านมาเป็นอาหญิงของพวกเรา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็มองไปที่เมิ่งฉีฮ่วนด้วยความสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็เหมือนที่หลิงซีพูด” เมิ่งฉีฮ่วนยักไหล่ขึ้นมา “แม้เจ้าจะเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายก็ไม่หวาดกลัว หากเป็นผู้หญิงทั่วไปคงวิ่งวุ่นไปทั่วแล้ว”
หลี่เยว่หานเงียบไป
กล้าหาญก็ควรเป็นภรรยาของเมิ่งฉีฮ่วนแล้วหรือ?
“เจ้าอาจจะเข้าใจอะไรผิด แท้จริงแล้ว ข้าไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรนัก หากไม่ใช่เพราะชีวิตที่บีบบังคับข้าเช่นนี้ ใครจะอยากจะเป็นหญิงใจกล้ากัน”
เมื่อหลี่เยว่หานพูดจบ ก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวโดยไม่พูดอะไรต่อ
เมิ่งฉีฮ่วนเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็อดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
มื้ออาหารเสร็จสิ้นลง พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว
หลี่เย่วหานยังคงสงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันอยู่ หลังจากเก็บห้องครัวเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดประตูบ้านตระกูลเมิ่ง
ขณะนั้นเอง ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดมิด บนทางเดินมีผู้คนอยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังพอจะมีแสงไฟจากบ้านแต่ละหลังส่องสว่างอยู่ และยังมีผู้คนบางส่วนที่กลับมาตอนค่ำหมู่บ้านเต็มไปด้วยควันจากการปรุงอาหารและความมีชีวิตชีวา หลี่เยว่หานจึงยิ่งรู้สึกแปลกใจ
“มองอะไรอยู่หรือ?” ไม่รู้ว่าเมิ่งฉีฮ่วนมายืนอยู่ด้านหลังหลี่เยว่หานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “ฟ้ามืดขนาดนี้ เจ้ามองเห็นชัดหรือ?”
“แปลกประหลาดนัก” หลี่เยว่หานถอนหายใจออกมา “ตอนที่ข้าออกไปตอนรุ่งเช้า ทั้งหมู่บ้านดูเงียบสงบ ตอนกลับมานั้น แม้แต้ควันไฟก็ไม่มี แต่กลับไม่คิดว่าตอนนี้จะครึกครื้นขึ้นมาเช่นนี้ได้ ราวกับว่าข้าเดินออกมาจากอีกโลกหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็ชะงักไปทันที ปิดประตูอย่างเบามือพลางพูดขึ้น “บางครั้งหมู่บ้านไป๋อวิ๋นก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่ข้าเข้ามาครั้งแรกนั้นก็รู้สึกแปลกเช่นกัน ต่อมาจึงได้รู้ว่าใกล้ ๆ นี้มีกลุ่มโจรออกอาละวาด เมื่อมีข่าวว่าจะมีกลุ่มโจรออกมา ทุกคนจะปิดประตูบ้านสนิทไม่ออกมาข้างนอก พยายามแสร้งทำว่าที่บ้านไม่มีผู้ใดอยู่”
เมื่อพูดจบ เมิ่งฉีฮ่วนจึงมองไปยังหลี่เยว่หานด้วยแววตาตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเห็นนางไม่ได้สงสัยอะไรก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
“ก็ไม่รู้ว่าทางการมัวทำอะไรกันอยู่ แม้แต่โจรยังไม่สามารถกำจัดได้ ยังให้พวกมันสร้างความเดือดร้อนในหมู่บ้านได้อยู่” หลี่เยว่หานพูดพลางถอนหายใจออกมา และหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านใน
เมื่อมองตามแผ่นหลังของนางไป เมิ่งฉีฮ่วนจึงถอนหายใจออกมา
“ก๊อก ๆ” เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นมา เมิ่งฉีฮ่วนขมวดคิ้วและรีบเปิดประตูออกทันที เพื่อต้อนรับคนด้านนอก
เขาคือชายแซ่กัว!
“เมิ่ง…” ชายแซ่กัวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมิ่งฉีฮ่วนกลับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบปากและลากเขาเข้าไปยังห้องเก็บผัก
ท่ามกลางความมืด เมิ่งฉีฮ่วนจัดการบางอย่างในห้องเก็บผักอยู่ครู่หนึ่ง ประตูกลบานหนึ่งจึงถูกเปิดออกเบา ๆ เมิ่งฉีฮ่วนและชายแซ่กัวเดินเข้าไปด้านใน และประตูกลจึงค่อย ๆ ปิดลง เมิ่งฉีฮ่วนจุดไฟตะเกียงน้ำมัน เป็นสัญญาณว่าชายแซ่กัวสามารถพูดออกมาได้
ชายแซ่กัวคุกเข่าลงตรงหน้าเมิ่งฉีฮ่วน และคำนับด้วยกำปั้นพลางพูดขึ้น “องค์ชาย เรื่องที่ท่านสั่งมาได้เบาะแสแล้ว”
“ว่ามา” เมิ่งฉีฮ่วนมีสีหน้าเย็นชา ไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนปกติ แต่กลับดูสูงส่ง
“จากการสืบสวนมานานหลายปีของคนในเมืองหลวง และเบาะแสที่เราปล่อยออกไปนั้นก็ได้รับการยืนยันกลับมาแล้ว หลังจากนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จากการตรวจสอบ ในกลุ่มคนที่เดินทางไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น มีคนชราจากจวนขององค์รัชทายาทในตอนนั้นรวมอยู่ด้วย” ชายแซ่กัวสรุปออกมาสั้น ๆ
“ใครกัน?”
“ผู้ที่เข้าไปคำนับองค์รัชทายาทพร้อมกับองค์ชายในตอนนั้น เหลียงเหลยอี้”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เมิ่งฉีฮ่วนจึงสูดหายใจเข้าลึกและหลับตาลง
ภาพที่จวนขององค์รัชทายาทถูกทำลายลงในตอนนั้นเหมือนจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พระชายาที่พยายามจะพามู่ชวนที่ยังเล็กอยู่และหลิงซีที่นอนอยู่ในเปลหนีเอาชีวิตออกจากเมืองหลวง แต่สุดท้าย ทำได้เพียงให้สาวใช้ชราคนหนึ่งเป็นคนพาเด็ก ๆ มาหาเมิ่งฉีฮ่วนแทน
แต่เมื่อเมิ่งฉีฮ่วนกลับไปตามหานางอีกครั้ง นางได้ถูกทารุณจนเสียชีวิตไปแล้ว
เวลาผ่านไปสองปีแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนยังคงจำภาพการตายของนางในตอนนั้นได้ดี
MANGA DISCUSSION