บทที่ 66 ชายแซ่กัวมาอีกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ หลี่เยว่หานนึกยินดียิ่งนักที่ตอนนั้นตัดสินใจทาหน้าตัวเองเสียลายพร้อย
แค่ทาหน้าให้มอมแมม ชายแซ่กัวผู้นั้นก็มองหน้าตาที่แท้จริงของเธอไม่ออกแล้ว!
“เอาล่ะ อาของพวกเจ้าบอกให้ข้ามาเฝ้าพวกเจ้าเอาไว้ รีบอาบน้ำแล้วเข้าห้องไปนอนเถอะ” หลี่เยว่หานพูดพลางลูบศีรษะหลิงซี “มีอาเมิ่งของพวกเจ้าอยู่ ลุงกัวผู้นั้นไม่เข้ามาในเรือนหลังหรอก”
หลิงซีได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแรง ๆ “หลิงซีเชื่อฟังพี่สาว…อ้อ อาหญิง!”
“เรียกพี่สาว!”
“อาหญิง!”
“…”
ในครัว
เมิ่งฉีฮ่วนกับชายแซ่กัวนั่งหันหน้าเข้าหากัน สนทนากันอย่างออกรสออกชาติ แต่สีหน้ากลับจริงจังยิ่งนัก บางครั้งคนทั้งสองก็จะใช้สุรามาประชันกัน กระทั่งนำซี่โครงหมูที่ตุ๋นจนเปื่อยมาประลองกันด้วย
ถ้าหลี่เยว่หานได้มาเห็นภาพนี้เข้า ก็คงจะมองออกว่าพวกเขากำลังใช้รหัสลับบางอย่างแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอยู่ แต่ฟังจากเปลือกนอกกลับเป็นเพียงถ้อยคำพูดจาสัพเพเหระเท่านั้น
คนทั้งสองสนทนากันจนดึกดื่น ชายแซ่กัวค่อยกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากบ้านสกุลเมิ่ง
ส่งชายแซ่กัวจากไปแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลี่เยว่หานที่แอบมองจากร่องประตูของเรือนชั้นในมาตลอดรีบเปิดประตูออกมาถามอย่างเป็นห่วง “ท่านไม่เป็นไรนะ!”
เมิ่งฉีฮ่วนได้ยินเสียงหลี่เยว่หานจึงหันกลับมา
ภายใต้แสงจันทร์เรืองรอง ร่างบอบบางของหลี่เยว่หานอยู่ในชุดเรียบง่ายและสง่างามแลดูประหนึ่งบุปผาในยามราตรี กระชากลมหายใจและความคิดคำนึงของเมิ่งฉีฮ่วนไปได้ในฉับพลัน
“นี่? ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลี่เยว่หานเห็นเมิ่งฉีฮ่วนไม่ตอบจึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วสะกิดไหล่เขาเบา ๆ
เมิ่งฉีฮ่วนได้สติคืนมา ยิ้มอย่างประดักประเดิดแต่ก็ไม่เสียมารยาท “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่กัวเร่งให้ข้าจัดงานมงคล เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
พอได้ยินว่าหัวข้อสนทนาย้อนกลับมาที่ตนเอง หลี่เยว่หานก็กลอกตา “ไม่คิดอย่างไร”
หญิงสาวพูดจบก็หันเข้าไปเก็บกวาดห้องครัว
เมิ่งฉีฮ่วนปิดประตูเรือนเสร็จแล้วก็ตามหลี่เยว่หานเข้ามาในครัว เห็นนางเก็บกวาดโต๊ะอาหารอย่างคล่องแคล่วก็ต้องยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้ามาทำงานที่เรือนข้างั้นหรือ?”
“ท่านเคยเห็นใครมาทำงานแล้วไม่รับเงินไหมเล่า” หลี่เยว่หานเอ่ยโดยไม่เงยหน้า
“พอเจ้าถามเช่นนี้ ข้าก็เคยเห็นมาก่อนจริง ๆ นั่นแหละ…”
“…” หลี่เยว่หานชะงักอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เงยหน้ามองเมิ่งฉีฮ่วนแวบหนึ่งแล้วทำงานต่อไป
เมิ่งฉีฮ่วนคงรู้สึกว่าตนเองพูดจาล่วงเกินแล้ว จึงกระวีกระวาดเข้ามาช่วยเก็บกวาด
ชายแซ่กัวผู้นั้นรับประทานอาหารโดยไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย น้ำแกงกระจายเลอะเทอะไปทั่ว สุดท้ายหลี่เยว่หานต้องเอาขี้เถ้ามาโปรยพื้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นวันรุ่งขึ้นมดคงเข้ามาไต่เต็มไปหมด
เมื่อทำความสะอาดห้องครัวเสร็จ ราตรีก็มืดมิดกว่าเดิม หลี่เยว่หานเติมขี้เถ้าเข้าไปใต้เตา ตั้งใจว่าจะนึ่งหมูพะโล้ไว้เช่นนี้ทั้งคืน จากนั้นก็ควงไหล่นวดแขน ตั้งท่าจะกลับไปนอนที่ห้อง
“เจ้าจะปล่อยไว้อย่างนี้?” เมิ่งฉีฮ่วนเช็ดถ้วยใบสุดท้ายเสร็จ เห็นหลี่เยว่หานเดินออกมาจากในครัวก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“อุ่นไว้อย่างนี้แหละ” หลี่เยว่หานตอบพลางหาววอด
“ถ้าไฟแรงเกินไปจะทำอย่างไร?” เมิ่งฉีฮ่วนจู่ ๆ ก็จริงจังขึ้นมา
“ไม่หรอก ในช่องใส่ฟืนมีแค่ขี้เถ้า ไฟอ่อนกำลังพอดี ทั้งไม่ทำให้น้ำแกงเย็นลงและไม่ทำให้เดือด ทิ้งไว้แบบนี้ทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา”
หลี่เยว่หานพูดจบก็ไม่คิดจะอธิบายอีก บิดกายเกียจคร้านเดินออกจากประตูไป
ฝันดีตลอดราตรี
เช้าตรู่วันถัดมา หลี่เยว่หานตกใจตื่นขึ้นเพราะเสียงหัวเราะดังกังวานปานแท่งยกน้ำหนัก
ครั้นฟังอย่างตั้งใจก็พบว่าเป็นเสียงของชายแซ่กัวจากเมื่อคืนวานนั่นเอง!
“น้องชาย คราวนี้เจ้าอย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจเชียวนะ ข้าได้ยินแต่แรกแล้วว่าเจ้าหาเจ้าสาวได้แล้วจึงตั้งใจเอาผ้าคลุมหน้ามงคลมาให้โดยเฉพาะ ตอนเจ้าเข้าพิธีวิวาห์อย่าลืมใช้ด้วยล่ะ!”
“เฮ้อ รบกวนพี่ใหญ่กัวแล้ว ข้าจะรีบจัดงานมงคลให้เร็วที่สุด รับรองว่าไม่ล่าช้าแน่นอน!”
“งั้นข้าจะรอข่าวดีจากเจ้าก็แล้วกัน!”
“พี่ใหญ่กัวโปรดวางใจ!”
ต่อมา เสียงหัวเราะก็เงียบไป เสียงสนทนาจากข้างนอกก็ไม่มีแล้วเช่นกัน หลี่เยว่หานค่อยคืบคลานลงจากเตียง เปลี่ยนไปใส่ชุดใหม่ รวบผมขึ้นอย่างง่าย ๆ แล้วเดินออกไปข้างนอก
“โอ๊ะ ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า” เมิ่งฉีฮ่วนที่เพิ่งส่งชายแซ่กัวจากไปเดินกลับเข้ามาในเรือนชั้นใน เห็นหลี่เยว่หานตื่นเช้าเพียงนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ฟ้ายังไม่สว่างดีเลยนะ”
“ข้าถามอะไรหน่อย” หลี่เยว่หานมองเมิ่งฉีฮ่วนแล้วพูดว่า “ชายแซ่กัวคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมท่านต้องพูดจาเกรงอกเกรงใจกับเขาขนาดนั้น?”
ได้ยินอย่างนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็โคลงศีรษะ “พี่ใหญ่ของหมู่บ้าน จะทำอะไรก็ต้องผ่านเขาเสียก่อน เจ้าว่าข้าไม่ระวังตัวได้หรือ”
“แล้วที่เมื่อวานนี้เจ้าบอกข้าว่าอย่าให้เขาเห็นหน้าเล่า หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่มีอะไร เขาชอบหญิงงามน่ะสิ!”
เมิ่งฉีฮ่วนไม่อยากตอบด้วยซ้ำ พอพูดออกมาแล้วค่อยสัมผัสได้ว่าไม่ถูกต้อง อยากเปลี่ยนคำพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว
เห็นแค่ว่าหลี่เยว่หานย่ำเท้ามาหยุดตรงหน้าเขา จ้องเขาพลางกล่าวอย่างดุดัน “ถ้าท่านมีความคิดนอกลู่นอกทางแม้สักนิด ข้าจะตอนท่านเสีย!”
ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็รู้สึกว่าสองขาเย็นวาบ รีบยิ้มประจบ ประคองสองไหล่ของหลี่เยว่หานแล้วพูด “ถ้าข้ามีความคิดนอกลู่นอกทาง ข้าจะจงใจเตือนให้เจ้าปิดบังใบหน้าจากพี่ใหญ่กัวงั้นหรือ”
“แบบนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย!” หลี่เยว่หานพูดจบก็ปล่อยมือจากชุดของเมิ่งฉีฮ่วน เดินผ่านประตูเรือนชั้นในตรงไปยังห้องครัวโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
เมิ่งฉีฮ่วนมองตามเงาหลังของนางแล้วก็รู้สึกว่าทั้งน่าโมโหและน่าขัน
ผู้หญิงคนนี้ก็จริง ๆ เลย…เรื่องแบบนี้ก็ทำออกมาได้…กระชากเสื้อผ้าของผู้ชายเนี่ยนะ…
เสียงไก่ขันเริ่มดังขึ้น สองพี่น้องจึงลุกจากเตียง ขณะที่คนทั้งสี่กำลังรับประทานมื้อเช้าอยู่ในครัว ทันใดนั้นพลันมีเสียงดังมาจากนอกประตูเรือน
“ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!” มีคนใช้กำปั้นทุบประตูเรือนอย่างแรง หลี่เยว่หานกำลังจะออกไปเปิดประตู แต่ถูกเมิ่งฉีฮ่วนห้ามไว้
“เจ้าไม่ต้องไป ข้าไปดูเอง”
เมิ่งฉีฮ่วนยังไม่ทันได้ออกไปจากห้องครัว ด้านนอกก็มีเสียงที่หลี่เยว่หานคุ้นเคยดังขึ้น
“หลี่เยว่หาน! นังเด็กเหลือขอ! ไสหัวออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ! มีพี่สาวอย่างเจ้าที่ไหนกัน! ให้สามีตัวเองโยนน้องสาวลงไปในลำธาร วันหน้าน้องสาวของเจ้าจะออกเรือนได้อย่างไร! ชื่อเสียงของนางต้องมาย่อยยับก็เพราะสามีของเจ้า!”
ได้ยินเสียงด่ากราดที่คุ้นเคยของหวังเฟิ่ง หลี่เยว่หานก็ยกยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องครัว
ปิดประตูบอกให้สองพี่น้องอยู่ในห้องครัวแล้วหลี่เยว่หานก็ออกมาเปิดประตูเรือนด้วยกันกับเมิ่งฉีฮ่วน
พอเปิดประตูออก หลี่เยว่หานก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างวาบ
คราวนี้คนสกุลหลี่มากันพร้อมหน้าทีเดียว นอกจากหวังเฟิ่งสองแม่ลูก แม้แต่หลี่ต้าเฉิงก็ยืนอยู่หน้าประตูบ้านสกุลเมิ่งด้วยเช่นกัน
“เอะอะโวยวายอะไรกันแต่เช้า?” เมิ่งฉีฮ่วนตีหน้ายักษ์ น้ำเสียงก็แฝงความกดดันเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ไม่รู้เรอะว่ามารบกวนฝันดีของคนอื่นแต่เช้าแบบนี้มันหน้าด้านสิ้นดี? เดรัจฉาน!”
MANGA DISCUSSION