บทที่ 65 ชายหนวดเคราเฟิ้มแซ่กัว
หลี่เยว่หานบังเกิดความหวาดกลัวต่อชายหนวดเครารุงรังผู้นั้นโดยสัญชาตญาณ พอหันมาเห็นว่าอีกฝ่ายเข้ามาในครัวก็ตกใจจนไม้พายเกือบร่วงจากมือ
เมิ่งฉีฮ่วนตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาหยัดกายขึ้นมาจากเตาฝั่งที่มีช่องใส่ฟืนทันที แล้วยิ้มพูด “พี่ใหญ่กัว ไม่เจอกันเสียนาน!”
“เจ้าเด็กนี่ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย” คนที่ถูกเมิ่งฉีฮ่วนเรียกว่าพี่ใหญ่กัวเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างชี้นิ้วไปมากลางอากาศ “เรื่องใหญ่อย่างการแต่งเมียเจ้าก็ไม่บอกข้าสักคำ ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้กลับหมู่บ้านมาได้กลิ่นหอมจนตามมาถึงบ้านเจ้าพอดี เจ้าจะปิดบังข้าไปจนถึงเมื่อไหร่?”
ได้ยินวาจานี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็เข้าไปโอบไหล่พี่ใหญ่กัวพลางหัวเราะเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พี่ใหญ่กัว ท่านไม่รู้อะไร สะใภ้ตัวน้อยของข้านิสัยแข็งกร้าวยิ่งนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เต็มใจเป็นเมียข้าเลย ดุเหมือนแมวป่าบนเขาไม่มีผิด”
เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางบุ้ยใบ้มาทางหลี่เยว่หาน “นั่นไง แมวป่าตัวน้อยอยู่ตรงนั้นเอง”
หลี่เยว่หานถูกเมิ่งฉีฮ่วนเรียกหาเช่นนี้เป็นคราแรก เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ บังคับให้ตนเองสงบสติอารมณ์จดจ่อสมาธิอยู่กับเนื้อหมูในหม้อต่อไป
ชายแซ่กัวที่อยู่ด้านหลังมองหลี่เยว่หานขึ้น ๆ ลง ๆ จากนั้นก็หันไปหัวเราะล้อเลียนเมิ่งฉีฮ่วน “ผู้หญิงตัวแค่นี้เจ้าก็เอาไม่อยู่?”
“ไม่เกี่ยวกับว่าเอาอยู่หรือเอาไม่อยู่ ข้าอยากอยู่กับนางไปทั้งชีวิต คงไม่อาจขืนใจกันตั้งแต่เริ่มกระมัง” เมิ่งฉีฮ่วนพูดจาโดยไม่คิดจะเลี่ยงคำแม้แต่น้อย “อีกอย่างบ้านข้ายังมีเด็กอีกสองคน ไม่อาจทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้พวกเขาเห็นได้”
ชายแซ่กัวได้ยินแล้วก็พยักหน้าเห็นพ้อง “นี่ ตกลงพวกเจ้าทำของอร่อยอะไรกันแน่ ข้าเพิ่งกลับมาถึงเรือน ข้าวร้อน ๆ เพิ่งเข้าปากก็ได้กลิ่นหอมลอยมาแล้ว ข้าวหอมกรุ่นในปากยังสู้ไม่ได้เลย ข้าบอกเจ้าไว้เลยว่าถ้าวันนี้เจ้าไม่ให้ข้าลิ้มลองของอร่อย ข้าไม่ยอมกลับไปหรอกนะ!”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางดึงชายแซ่กัวให้นั่งลงบนโต๊ะ “ก่อนนี้พี่ใหญ่กัวไม่อยู่ที่เรือนจึงไม่ได้ชวนมา ตอนนี้พี่ใหญ่กัวมาถึงที่แล้ว ข้าไม่ให้คนอื่นกิน ก็ต้องให้พี่ใหญ่กัวได้ชิมรสชาติอยู่แล้ว”
เมิ่งฉีฮ่วนพูดจบก็ร้องบอกหลี่เยว่หาน “เยว่หาน ไปเอาสุราในคลังสุราออกมาอุ่นให้ข้าสักกา แล้วก็ตักหมูตุ๋นพะโล้มาด้วยสักจาน”
เมิ่งฉีฮ่วนเดินไปถึงข้างกายหลี่เยว่หาน รับไม้พายจากมือนางแล้วกระซิบข้างหูนางอย่างรวดเร็วว่า “พวกเด็ก ๆ น่าจะใกล้กลับมากันแล้ว เจ้าอุ่นเหล้าเสร็จแล้วก็พาพวกเขาเข้าไปในเรือนชั้นใน คนผู้นี้แอบชอบหวังเหอฮวา เกรงว่าคงมาหาเรื่อง”
ได้ยินดังนั้นหลี่เยว่หานก็อยากเงยหน้าขึ้น แต่ถูกเมิ่งฉีฮ่วนห้ามไว้
“อย่าให้เขาเห็นหน้าเจ้า”
พูดจบ เขาก็ผลักหลังเอวของหลี่เยว่หานทีหนึ่ง หญิงสาวจึงได้แต่ถือกาสุราเข้าไปในคลังสุรา
ชายแซ่กัวแอบชอบหวังเหอฮวา เมิ่งฉีฮ่วนให้เธอไปอุ่นสุราแล้วพาพวกเด็ก ๆ เข้าไปในเรือนชั้นใน เธอเข้าใจได้ว่าเขาคงไม่อยากให้ชายแซ่กัวมาหาเรื่องตนเอง
แต่ไม่ให้ชายแซ่กัวเห็นหน้าเธอหมายความว่าอย่างไร?
หลี่เยว่หานตักสุราใส่กาพลางมุ่นคิ้ว เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เมิ่งฉีฮ่วนส่งเสียงเร่งมาจากข้างนอก หลี่เยว่หานจึงต้องยกสุราออกไป
ก่อนจะออกไป หลี่เยว่หานชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วใช้มือป้ายขี้เถ้าที่ใช้สำหรับป้องกันความชื้นมาทาใบหน้าตนเองจนมอมแมม ค่อยเดินออกไปจากคลังเก็บสุรา
“แค่ตักเหล้าก็…ชักช้า…ยืดยาด…” เมิ่งฉีฮ่วนทำเป็นมองหลี่เยว่หานหงุดหงิด แต่กลับเห็นหลี่เยว่หานมาปรากฏกายตรงหน้าตนเองด้วยใบหน้าดำมอมแมมก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา โชคดีที่กลั้นเอาไว้ได้ทัน
“ฮ่า ๆๆ…” ชายแซ่กัวคอยมองทางนี้อยู่ตลอด ครั้นหลี่เยว่หานโผล่หน้าออกมา เขาก็ตบโต๊ะหัวเราะเสียงดัง “ข้าว่านะน้องชาย เมียคนนี้ของเจ้าเซ่อซ่าจริง ๆ แค่ไปตักเหล้าก็ทำหน้าตัวเองเลอะเทอะไปหมด ฮ่า ๆๆ…”
เมิ่งฉีฮ่วนแอบยกนิ้วโป้งให้หลี่เยว่หานระหว่างที่ชายแซ่กัวหัวเราะร่วน รับกาสุราจากมือนาง แล้วผลักนางออกไปจากห้องครัวด้วยท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ “มือเท้างุ่มง่ามจริง ๆ รีบออกไปล้างหน้าล้างตาเสีย”
หลี่เยว่หานถูกเมิ่งฉีฮ่วนใช้ข้ออ้างผลักออกไปจากห้องครัวด้วยประการฉะนี้
เดิมหญิงสาวยังอยากถามว่าชายหนวดเคราเฟิ้มแซ่กัวผู้นี้เป็นใคร แต่เห็นท่าทางตื่นตัวของเมิ่งฉีฮ่วนก็คาดเดาว่าคงเป็นคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย จึงไม่ชักช้า ออกไปรับมู่ชวนและหลิงซีทั้งใบหน้ามอมแมมกลับมาได้ก็พาสองพี่น้องเข้าไปในเรือนชั้นในทันที
“พี่สาว อ้อ ไม่ใช่สิ อาหญิง ทำไมท่านต้องทำให้หน้าตัวเองมอมแมมเช่นนั้นด้วยล่ะขอรับ?” เข้าไปในเรือนหลังแล้ว มู่ชวนก็มองหลี่เยว่หานที่กำลังใช้ฝักจ้าวเจี่ยว*[1]ล้างหน้าตัวเองอย่างสงสัย “ล้างแบบนั้นท่านไม่แสบหรือ?”
“แสบ!” หลี่เยว่หานถอนหายใจ จากนั้นก็หยุดมือมองมาที่สองพี่น้อง ถามว่า “พวกเจ้ารู้ไหมว่าชายหนวดเคราเฟิ้มแซ่กัวคือใคร?”
ครั้นพูดออกมา หลี่เยว่หานเห็นว่าใบหน้าของหลิงซีซีดเผือดลงทันที จึงถามอย่างเป็นห่วง “หลิงซี เจ้าเป็นอะไรไป?”
“พี่สาว…ลุงกัวมาที่เรือนใช่ไหมขอรับ?” น้ำเสียงของมู่ชวนไม่สดใสเหมือนเดิมอีกแล้ว หากหนักอึ้งอย่างหาได้ยาก
“ใช่” หลี่เยว่หานพยักหน้า “ตอนนี้กำลังดื่มสุราอยู่กับอาเมิ่งของพวกเจ้าในห้องครัว เขาเป็นใคร? ข้ารู้สึกว่าอาเมิ่งของพวกเจ้าคล้ายจะกลัวเขา?”
ได้ยินอย่างนั้น มู่ชวนก็สูดหายใจเข้าลึก พูดว่า “แทนที่จะบอกว่าอาเมิ่งกลัวเขา มิสู้บอกว่ากลัวตัวตนของเขามากกว่า”
“หมายความว่าอย่างไร?” หลี่เยว่หานขมวดคิ้ว
“เปลือกนอกลุงกัวเป็นพ่อค้าเร่ ทุกเดือนจะมีครึ่งค่อนเดือนที่ไม่อยู่เรือน แต่ความจริงแล้วเขาเป็นหน่วยสอดแนมของทางการ มีหน้าที่สืบข่าวในสถานที่ลับหูลับตาคนโดยเฉพาะ” มู่ชวนอธิบาย “อาเมิ่งกลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนของพวกข้า”
เขาพูดพลางคว้ามือน้องสาวเอาไว้โดยสัญชาตญาณ
ได้ยินคำอธิบายของมู่ชวน หลี่เยว่หานที่กำลังล้างหน้าอยู่ก็พลันชะงักไป ในใจอดรู้สึกสงสารพี่น้องคู่นี้ขึ้นมาไม่ได้ “ลุงกัวผู้นี้มาบ้านสกุลเมิ่งบ่อยหรือไม่?”
“ไม่แน่นอน” มู่ชวนกล่าว “บางครั้งพอกลับหมู่บ้านก็แวะมาหา บางครั้งกลับมานานแล้วค่อยมาที่นี่ บางครั้งจะออกเดินทางไกลถึงค่อยมา”
“ทำไมเขาขยันมาบ้านสกุลเมิ่งเช่นนี้?” หลี่เยว่หานถามอีก
“ไม่รู้ขอรับ” มู่ชวนส่ายหน้าอย่างสัตย์ซื่อ “แต่ทุกครั้งที่เขามา อาเมิ่งก็จะหาวิธีส่งพวกข้าไปที่อื่น”
หลี่เยว่หานได้ยินดังนั้นก็พอจะเข้าใจแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนคงกลัวว่าตัวตนของสองพี่น้องจะถูกเปิดโปงกระมัง
“ข้ารู้!” หลิงซีที่ยืนฟังบทสทนาระหว่างมู่ชวนกับหลี่เยว่หานอย่างจริงจังมาโดยตลอดพลันโพล่งขึ้น “อาเมิ่งเคยบอกหลิงซีว่า สาเหตุที่อาเมิ่งมักจะให้หลิงซีกับพี่ชายไปอยู่ที่อื่นตอนลุงกัวมาเป็นเพราะลุงกัวคิดว่าหลิงซีหน้าตางดงาม!”
สิ้นเสียงหลิงซี หลี่เยว่หานก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป
หมายความว่าชายแซ่กัวคนนี้เป็นพวกโรคจิตงั้นรึ?
[1] จ้าวเจี่ยว 皂角 ฝักของต้น Chinese Honey locust สมัยโบราณนิยมนำมาทำเป็นสบู่
MANGA DISCUSSION