บทที่ 64 กลมกล่อมนุ่มเด้ง หอมกรุ่นกำจาย
หลี่เยว่หานตักหมูตุ๋นพะโล้ในหม้อขึ้นมา แล้วตัดเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง เป่าให้เย็นแล้วป้อนให้หลิงซี
เนื้อหมูถูกตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม กลิ่นหอมของเครื่องพะโล้กำซาบเข้าไปในเนื้อหมู พอกัดลงไป น้ำพะโล้ก็ทะลักออกมา กลิ่นหอมกรุ่นกำจาย
“อร่อยเจ้าค่ะ!” หลิงซีเคี้ยวไม่กี่ครั้งก็กลืนเนื้อคำนั้นลงไปจนหมด แล้วกระโดดหยองแหยง “หลิงซีเอาอีกหลิงซีเอาอีก!”
เมิ่งฉีฮ่วนได้ยินเช่นนั้นก็อดจะสงสัยไม่ได้ “อร่อยปานนั้น? ปกติหลิงซีเลือกกินมากนี่นา”
เขาพูดพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก
เนื้อหมูที่หลี่เยว่หานเลือกมาคือเนื้อหมูชั้นดีที่มีไขมันแทรกอยู่ระหว่างชั้นเนื้อ ชิ้นที่เมิ่งฉีฮ่วนกินเข้าไปยังเป็นหมูสามชั้นชั้นเลิศ มันหมูพอเข้าปากก็ละลาย เนื้อหมูเพียงอมก็เปื่อย กลิ่นหอมกระจายเต็มโพรงปาก ทำให้เมิ่งฉีฮ่วนลืมกระทั่งเอ่ยชื่นชม เขาคีบชิ้นต่อไปทันทีโดยไม่สนว่าเนื้อที่เพิ่งตักขึ้นจากหม้อนั้นยังร้อนอยู่
มู่ชวนกลืนน้ำลายพลางเดินเข้ามาจ้องเมิ่งฉีฮ่วนตาแป๋ว
เมิ่งฉีฮ่วนร้อนจนเป่าปาก พลางตักเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ถ้วยเปล่าแล้วส่งให้มู่ชวน จากนั้นก็คีบเนื้อชิ้นต่อไปไม่หยุดแม้จะร้อนลวกปากจนหายใจเสียงดังฟืดฟาด
หลี่เยว่หานเห็นพวกเขากินไม่หยุดเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่
“นี่ ช่วงนี้ข้าทำเนื้อให้กินบ่อยออกนี่นา ทำไมแต่ละคนทำเหมือนอดอยากปากแห้งมานานอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยกข้าวไปวางไว้บนโต๊ะ
มู่ชวนไม่มีแก่ใจจะตอบรับด้วยซ้ำ ตักข้าวสวยหอมกรุ่นให้ตนเองหนึ่งถ้วย คีบหมูสามชั้นคราแล้วคราเล่า จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากิน
ปากเคี้ยวอยู่แต่ก็ไม่ลืมตักข้าวสวยให้หลิงซีครึ่งถ้วย สองพี่น้องแย่งกันทานจนเม็ดข้าวกระเด็นไปเกาะบนศีรษะเลยทีเดียว
“ไม่น่าเชื่อจริง ๆ” ถึงอย่างไรเมิ่งฉีฮ่วนก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่อาจไม่สนใจภาพลักษณ์เหมือนเด็กน้อยทั้งสองได้ เขาจึงมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง “ข้าเคยกินอาหารชั้นเลิศมาก็มาก แต่เนื้อที่อร่อยขนาดนี้ข้าก็เพิ่งจะเคยกินเป็นครั้งแรกนี่แหละ หอมกรุ่นเลิศรส อร่อยจนข้าหยุดกินไม่ได้เลย”
ได้ยินเมิ่งฉีฮ่วนเอ่ยชมโดยไม่ปิดบังเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็ลอบรู้สึกภูมิใจ
นี่ยังไม่เท่าไหร่หรอก
ถ้าใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวลงไปด้วย หมูพะโล้หม้อนี้จะยิ่งอร่อยกว่านี้เสียอีก!
หลี่เยว่หานคิดพลางตักข้าวให้ตนเอง ถามอย่างไม่รีบร้อน “ท่านว่าถ้าเอาหมูพะโล้ที่ข้าทำไปขายในตำบล จะขายได้เงินไหม?”
“ไม่ได้” เมิ่งฉีฮ่วนตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด
หลี่เยว่หานได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “ท่านบอกว่าอร่อยมากไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะขายไม่ได้!”
“เพราะในตำบลมีคนรวยน้อย เจ้าต้องเอาไปขายที่อำเภอ” เมิ่งฉีฮ่วนพูดแล้วกวาดข้าวถ้วยแรกลงท้องไปจนหมด จากนั้นก็ตักถ้วยที่สอง “ในเมืองมีคนรวยเยอะก็จริง แต่เดินทางไปกลับต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน ไม่คุ้ม ถ้าไปขายที่อำเภอ นั่งเกวียนเทียมวัวราวหนึ่งชั่วยามกว่าก็ถึงแล้ว ในอำเภอมีคนรวยเยอะ แต่ในตำบลส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบ ๆ ที่ย้ายเข้าไปอยู่”
“ในตำบลยากจนขนาดนั้น?” หลี่เยว่หานประหลาดใจ “ถ้าในตำบลยากจน แล้วทำไมทุกคนถึงยังอยากย้ายเข้าไปอยู่ในตำบลกันเล่า?”
“เพราะอยู่ใกล้อำเภอมากกว่าน่ะสิ อย่างน้อยก็เป็นตำบล มีกำแพงล้อมรอบ เวลามีโจรภูเขาอาละวาดก็ยังมีกำลังต่อต้าน ไม่เหมือนในหมู่บ้าน ถ้ามีโจรภูเขาบุกเข้ามาก็คือหายนะดี ๆ นี่เอง ไม่อย่างนั้นพวกเราจะมีห้องใต้ดินสองห้องไว้ทำไม ที่จริงแล้ว ทุกบ้านล้วนมีห้องใต้ดินสองห้อง”
หลี่เยว่หานฟังคำพูดของเมิ่งฉีฮ่วนแล้วก็พยักหน้าด้วยท่าทางครุ่นคิด
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เมิ่งฉีฮ่วนที่กินจนพุงกางก็เก็บถ้วยและตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว แล้วยิ้มให้หลี่เยว่หานเป็นเชิงขออภัย “ขอโทษนะ ข้ากับเด็กดื้อสองคนนี้กินหมูพะโล้ที่เจ้าจะเอาไปขายจนหมดเสียได้”
หลี่เยว่หานได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว “กินหมดแค่หมูตุ๋นพะโล้ที่ไหนกัน แม้แต่น้ำพะโล้พวกเจ้าก็ยังไม่เหลือให้ข้าสักหยด เอาไปผสมข้าวกินหมดแล้ว”
“พี่สาวทำอาหารอร่อยเกินไปแล้ว หลิงซียังอยากกินอีก…” หลิงซีประคองหน้าท้องกลมป่องของตนเองแล้วกล่าวด้วยหน้าตาชื่นมื่น
“ระวังเจ้ากินจนกลายเป็นหมูอ้วนตัวน้อยไปเสียก่อน” มู่ชวนลูบหน้าท้องเต่งตึงของตัวเองแล้วเรอออกมา จากนั้นก็ฉุดมือหลิงซีไถลลงจากเก้าอี้ “อาเมิ่ง อาหญิง ข้าพาน้องสาวไปเดินย่อยอาหารก่อนนะขอรับ!”
พูดจบ หลี่เยว่หานยังไม่ทันได้ตอบรับ เมิ่งฉีฮ่วนก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มระรื่น “ไปเถอะ อย่างมากหนึ่งเค่อก็ต้องกลับมาแล้วนะ!”
“ขอรับ!”
มู่ชวนรับคำแล้วจูงมือหลิงซีเดินออกไปจากครัว
ทิ้งไว้เพียงหลี่เยว่หานและเมิ่งฉีฮ่วนอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องที่ไม่กว้างขวางเท่าใดนัก หลี่เยว่หานพลันรู้สึกแปลก ๆ “งั้น…ข้ากลับห้องก่อนล่ะ”
“เจ้ายังต้องทำหมูพะโล้สำหรับเอาไปขายไม่ใช่หรือ?” เมิ่งฉีฮ่วนพูดแล้วเข้าไปเอาเนื้อหมูครึ่งตัวที่นำกลับมาจากเมืองหลิวชิงออกมาจากคลังเสบียง “ทำเลยก็แล้วกัน จะได้ย่อยอาหารพอดี”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็ไร้คำจะกล่าว “คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังกินไม่หนำใจหรอกนะ?”
เมิ่งฉีฮ่วนที่ถูกหลี่เยว่หานรู้ทันพลันหน้าแดง แต่ก็ยกนิ้วโป้งให้หลี่เยว่หานอย่างเปิดเผย “ไม่ผิด! อร่อยเกินไปแล้ว!”
คิดไม่ถึงว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะชมตนเองตรง ๆ เช่นนี้ หลี่เยว่หานอึ้งไป แต่แล้วก็ยิ้มออกมา “เจ้าหน้าหนาจริง ๆ”
“ถ้าหน้าหนาแล้วได้กินเนื้อก็นับว่าหนาได้อย่างคุ้มค่าแล้ว” เมิ่งฉีฮ่วนพูดขณะลงมีดอย่างชำนิชำนาญ
เห็นเขาลงมืออย่างคล่องแคล่วแม่นยำ หลี่เยว่หานค้ำคางพลางกล่าว “ถ้าไม่บอกว่าเจ้าเป็นนายพราน ข้าคงนึกว่าเจ้าเป็นคนฆ่าหมู”
“นายพรานกับคนฆ่าหมูแท้จริงแล้วก็ไม่ต่างกัน ล้วนต้องเลาะเนื้อเถือกระดูกเหมือนกัน นี่ เจ้าว่าหมูครึ่งตัวนี้พวกเราเก็บไว้ให้พวกเด็ก ๆ สักหน่อยดีหรือไม่?”
“ดีสิ” หลี่เยว่หานตอบ เธอใคร่ครวญว่ายังเหลือเครื่องเทศอีกเท่าไหร่ แล้วเริ่มไปคุ้ยในตะกร้าใบเล็กของตนเอง
คนทั้งสองลงมือเข้าขากันได้ดียิ่ง
เมื่อหลี่เยว่หานเตรียมเครื่องเทศเสร็จ เมิ่งฉีฮ่วนก็หั่นหมูครึ่งตัวนั้นเรียบร้อย หลี่เยว่หานเอาเนื้อหมูไปลวกในน้ำร้อนเสร็จแล้วก็เริ่มต้มน้ำพะโล้
เวลานี้เอง กลิ่นหอมของเครื่องเทศก็ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นตามลำดับ
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ต้มเนื้อแล้วไม่ได้กลิ่นเนื้อสักนิด แต่ก็ยังอยากกินจนน้ำลายไหลแบบนี้ด้วย!” เมิ่งฉีฮ่วนที่กำลังเติมฟืนเข้าไปในเตามองหลี่เยว่หาน ซึ่งถูกไอน้ำตรงหน้าเตาปกคลุมด้วยสายตาเหม่อลอย เขากลืนน้ำลายเสียงดังอย่างอดใจไม่ไหว
ได้ยินดังนั้น หลี่เยว่หานก็รู้สึกว่าน่าขัน
เธอยังไม่ทันพูดอะไรก็พลันมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากนอกประตู
“เมิ่งฉีฮ่วน มารดาเจ้าเถอะ เจ้าทำของอร่อยอะไรกัน ข้าอยู่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านยังได้กลิ่น รู้ไหมว่าเด็กทั้งหมู่บ้านโวยวายจะมากินของอร่อยที่บ้านเจ้าแล้ว!”
น้ำเสียงหยาบกระด้างที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น หลี่เยว่หานหันกลับมาก็เห็นชายหนวดเครารุงรังที่มีดวงตาใหญ่โตปานระฆังผู้หนึ่งย่ำเท้าเข้ามาในห้องครัว
ทั่วร่างแผ่ซ่านรังสีกดดันออกมา หลี่เยว่หานอึ้งงันไปชั่วขณะ
MANGA DISCUSSION