บทที่ 51 ตังเมน้อยหลิงซี
“เจ้าเหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด” เมิ่งฉีฮ่วนถอนหายใจ “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าที่สำนักศึกษา”
“ไม่จำเป็น หากผู้อื่นเห็นแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่สาวหลี่ เรื่องที่พวกเราทำในวันนี้ก็จะสูญเปล่า!” มู่ชวนปฏิเสธเมิ่งฉีฮ่วนอย่างหนักแน่น “อีกอย่างหนึ่งข้าบังเอิญเปิดเผยความลับใหญ่ของพวกเรา น้องสาวข้าเผอิญได้ยินเข้าพอดี นี่เป็นราคาที่ข้าสมควรชดใช้”
หลังจากกล่าวจบ มู่ชวนก็โบกมือให้เมิ่งฉีฮ่วนจากนั้นก็หันหลังวิ่งไปสำนักศึกษา
เมิ่งฉีฮ่วนที่มองส่งเบื้องหลังมู่ชวนก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“จงเจิ้งเสียน ดูสิ ลูกชายของเจ้าเหมือนกับเจ้าไม่ผิด”
…
บ้านตระกูลเมิ่ง
หลี่เยว่หานพบถั่วแดงและถั่วเหลืองจำนวนมากที่ใกล้จะขึ้นราในห้องเก็บผัก เธอจึงนำถั่วแดงมาทำถั่วแดงกวน ส่วนถั่วเหลืองถูกจัดเรียงตากแดด
ถั่วเหลืองเหล่านี้สามารถนำมาทำซีอิ๊วได้
หลี่เยว่หานนึ่งซาลาเปาหนึ่งซึ้ง แล้วต้มโจ๊กถั่วแดงหนึ่งชาม หยิบใบสะระแหน่ที่เจอออกมาทุบก่อนโยนลงไปในน้ำเปล่า ตามด้วยน้ำผึ้งอีกเล็กน้อย ก่อนจะยกเดินไปยังห้องของหลิงซี
อุณหภูมิร่างกายนางกลับมาคงที่แล้ว แต่หลังจากนอนมาเป็นเวลานาน เมื่อตื่นขึ้นก็ควรกินอาหารอ่อนที่สามารถย่อยได้ง่าย
สะระแหน่นั้นมีสรรพคุณขับร้อน แม้จะไม่รู้ว่าแน่ชัดถึงอาการจากพิษในครรภ์ของหลิงซี แต่อย่างน้อยน้ำสะระแหน่ก็สามารถช่วยได้บ้าง
“หลิงซี ตื่นเถอะหลิงซี” หลี่เยว่หานตีแก้มของหลิงซีอย่างแผ่วเบาเพื่อปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก
หลิงซีที่ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือได้กลิ่นหอมหวานที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็ว
นางลืมตาขึ้น ก่อนจะใช้แขนสั้นป้อมของตนเองประคองร่างให้ลุกขึ้น “หอมจัง…”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หัวใจของหลี่เยว่หานก็อ่อนยวบลง หญิงสาวรีบเอาน้ำหวานสะระแหน่มาป้อนเข้าปากหลิงซี
หลิงซีทำตัวเป็นเด็กดีอย่างยิ่ง หลี่เยว่หานป้อนหนึ่งคำนางก็กินหนึ่งคำ จนน้ำหวานสะระแหน่หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว
“สามารถเลือกกินซาลาเปาถั่วแดง หรือไม่ก็โจ๊กถั่วแดงได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น” หลี่เยว่หานถือชามทั้งสองเอาในมือ ปล่อยให้หลิงซีเลือกด้วยตนเอง
หลิงซียื่นมือไปคว้าซาลาเปาไส้ถั่วแดงอย่างไม่ลังเล นางถือซาลาเปาด้วยมือสองข้างก่อนจะกัดลงไป ไส้ถั่วแดงกวนส่งกลิ่นหอมฟุ้งในปากปลุกให้สติของหลิงซีตื่นขึ้นมาเต็มตัว
“อร่อยจัง!” หลิงซีร้องออกมา จากนั้นก่อนที่หลี่เยว่หานจะทันได้ตอบสนองอะไร นางก็ก้มหัวชิมโจ๊กถั่วแดงในมือของหลี่เยว่หาน “อร่อยมาก!”
เห็นแล้วหลี่เยว่หานก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
หลังจากวางโจ๊กลงแล้ว หลี่เยว่หานก็หยิบน้ำหวานชามที่สองออกมาให้หลิงซีค่อย ๆ กิน “เจ้าเพิ่งจะป่วยไป ดังนั้นไม่ควรจะกินของมันมาก พี่สาวจึงทำอาหารหวานมาให้เจ้าจำนวนมาก เจ้าก็กินช้า ๆ ประเดี๋ยวจะติดคอเอา ดื่มน้ำสักสองจิบค่อยกินต่อ”
หลิงซีไม่ได้ดูอ่อนแรงเหมือนเมื่อวาน ในยามนี้นางกำลังถือซาลาเปาไว้ในสองมือ กินที่ข้างซ้ายคำข้างขวาคำ ทั้งยังสามารถสลับไปจิบน้ำหวานสะระแหน่ในมือของหลี่เยว่หานได้ ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก!
ในไม่ช้าหลิงซีก็กินจนอิ่ม นางนั่งพิงหัวเตียงด้วยความง่วงซึม ส่งเสียงเรอออกมาในบางครั้ง
“ง่วงก็นอนสักพักเถอะ” หลี่เยว่หานสัมผัสหน้าผากของนางเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีไข้อีก ก่อนที่เธอจะสามารถโล่งใจได้อย่างแท้จริง “พี่สาวจะไปทำความสะอาดของในครัว”
“ไม่ พาข้าไปด้วย!” หลิงซีกอดมือของหลี่เยว่หาน จากนั้นก็ถูไถด้วยความออดอ้อน
หลี่เยว่หานที่เห็นเช่นนั้นก็ถามออกมาด้วยความขบขัน “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงสารเลวที่แย่งลุงเมิ่งของเจ้าไปอย่างนั้นหรือ? เหตุใดยามนี้จึงเกาะติดข้ามากเช่นนี้?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น!” หลิงซีกล่าวออกมาอย่างดื้อดึง “ถึงอย่างไร…ถึงอย่างไรท่านก็ต้องพาข้าไปที่ห้องครัวด้วย ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง!”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็อดนึกถึงคำพูดเมื่อเช้าของมู่ชวนขึ้นมาไม่ได้
ก่อนหน้าที่เธอจะมายังบ้านหลังนี้ มู่ชวนไม่มีทางพาหลิงซีไปสำนักศึกษาด้วยได้ หลิงซีก็น่าจะต้องอยู่คนเดียวในห้อง
เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่อร่างของหลิงซีเป็นอย่างดี สวมรองเท้าให้นาง ก่อนจะพานางเดินกลับไปยังห้องครัวพร้อมถาดอาหาร
ล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นขึ้น พริกของหลี่เยว่หานเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี แต่ก็ต้องเก็บมันให้หมดภายในไม่กี่วัน มิเช่นนั้นหากถูกน้ำค้างแข็งเกาะ พริกป่าบนกิ่งก็จะแห้งเหี่ยวไป
ดังนั้นภายในไม่กี่วันมานี้ แม้ว่าหลี่เยว่หานจะปล่อยให้มันโตอย่างเสรี เธอก็ยังต้องใส่ปุ๋ยให้กับต้นพริกป่า
เมื่อหลี่เยว่หานกำลังง่วนอยู่กับการทำสวนด้านหลังลาน หลิงซีก็กำลังถือน้ำหวานสะระแหน่พร้อมกับอาบแดดเฝ้ามองหลี่เยว่หานที่กำลังยุ่ง
ไม่รู้ว่านางดื่มน้ำหวานจนหมดไปเมื่อใด รู้ตัวอีกทีหลิงซีก็นอนหลับไปบนเก้าอี้พร้อมกับชามอันว่างเปล่าในอ้อมแขน
หลี่เยว่หานมองอีกที เธอก็พบว่าหลิงซีหลับสนิทไปแล้ว
เธอจัดแจงห่มผ้าให้เด็กหญิงดี ๆ ก่อนตั้งท่าจะไปจัดการพริกป่าอีกครั้ง ทว่าคาดไม่ถึงว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะกลับมาในตอนนี้
“ชู่ว…” เมื่อเห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนกำลังจะพูด หลี่เยว่ก็รีบเอานิ้วทาบปาก
เมิ่งฉีฮ่วนที่เห็นสถาการณ์แล้วจึงค่อย ๆ อุ้มหลิงซีอย่างแผ่วเบา ส่งนางกลับไปนอนที่ห้อง ก่อนจะกลับมายังด้านหลังบ้าน
“เจ้าจะทำสิ่งใดกับพริกป่าเหล่านี้?” เมิ่งฉีฮ่วนถามด้วยความสงสัย
“พริกป่าสามารถนำไปทำอะไรได้มากมาย” หลี่เยว่หานยืดหลัง ก่อนมองไปที่เมิ่งฉีฮวน “วันนี้ท่านไม่ออกไปล่าสัตว์หรือ?”
“หลิงซีป่วย ข้าจะต้องใส่ใจนางให้มากขึ้น” เมิ่งฉีฮ่วนตอบกลับ ก่อนจะมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยประกายตาวาววับ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจวางแผนที่จะอยู่ต่อไปแล้ว?”
“ใช่” หลี่เยว่หานพยักหน้าอย่างจำใจ “ข้าไม่สามารถทนดูเด็กทั้งสองคนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนได้ แม้ว่าก่อนที่ข้าจะมา เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นในหมู่บ้านเดียวกันแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะดีกว่ามาก แต่มู่ชวนก็ต้องทำอาหารและดูแลน้องสาวตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งท่านยังบอกกับข้าว่าการดำรงอยู่ของพวกเขาเป็นเพียงตัวหมาก นั่นทำให้ข้าทนปล่อยพวกเขาไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็อดดีใจขึ้นมาไม่ได้ที่หลี่เยว่หานตัดสินใจจะอยู่ต่อ ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าเหตุผลที่หลี่เยว่หานอยู่ต่อไม่ใช่เพราะเขา “เหตุใดเจ้าจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น?”
“!!!” หลี่เยว่หานตื่นตัวขึ้นมาทันใด เธอมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่รอบ ๆ ก็วิ่งไปหน้าเมิ่งฉีฮ่วน “อย่าพูดถึงเรื่องในคืนนั้น! ท่านก็รู้ว่าข้าในยามนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้! หากข้ายังมีสติอยู่แม้เพียงนิด…ข้าไม่ยอมถูกท่านทำเช่นนั้น…ถูกท่านทำเช่นนั้น…”
“เช่นนั้น?” เมิ่งฉีฮ่วนมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยใบหน้ากึ่งรอยยิ้ม “ข้าจำได้อย่างชัดเจน เป็นตัวเจ้าเองที่ริเริ่ม…”
หลี่เยว่หานรีบพุ่งตรงไปปิดปากเมิ่งฉีฮ่วน “เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว!”
เมิ่งฉีฮ่วนดึงมือของหลี่เยว่หานออก ก่อนจะใช้แขนที่แข็งแกร่งโอบหลี่เยว่หานเข้าสู่อ้อมกอด “ได้ ไม่พูดแล้ว แต่ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูเอง”
MANGA DISCUSSION