บทที่ 40 คำโกหกของเมิ่งฉีฮ่วน
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หลี่เยว่หานก็ไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมาตอนนี้
หญิงสาวมองออกว่าหวังเฟิ่งหวาดกลัวเมิ่งฉีฮ่วนเป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่แปลก เพราะเมิ่งฉีฮ่วนรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป เครื่องหน้าได้สัดส่วน คิ้วหนาชี้เข้าจอนผม รูปหน้าคมคายหล่อเหลา
บางครั้งหลี่เยว่หานก็คิดว่าถ้าเมิ่งฉีฮ่วนไว้เคราเฟิ้มด้วยก็สามารถแต่งกายเป็นจางเฟย*[1] ได้เลยทีเดียว
ไม่พูดถึงว่าเขามีรูปกายแข็งแรงกำยำ กระทั่งเสื้อผ้ายังมีขนาดใหญ่กว่าชายทั่วไป ดังนั้นยามนี้จึงมีเพียงเมิ่งฉีฮ่วนที่สามารถข่มหวังเฟิ่งลงได้
เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือไล่หวังเฟิ่งกลับไปให้ได้เสียก่อน
“ในเมื่อข้าซื้อหลี่เยว่หานมาจากพรรคมัจฉามังกร ถ้าท่านอยากถกเหตุผลก็ไปพูดกับพรรคมัจฉามังกรโน่น อย่ามาก่อปัญหาที่บ้านข้า” เมิ่งฉีฮ่วนย่อมรู้ว่าหลี่เยว่หานเริ่มสงสัยแล้ว
แต่ถ้าจะสร้างเรื่องโกหกก็ต้องทำให้ถึงที่สุด อย่างมากก็ค่อยอธิบายให้หลี่เยว่หานฟังหลังไล่หวังเฟิ่งกลับไปแล้วก็ได้ เขามั่นใจว่าวันนั้นหวังเฟิ่งไม่เห็นหน้าของตนเอง จำไม่ได้ว่าเขาคือคนที่พาชายหน้าบากจากพรรคมัจฉามังกรไปที่บ้านสกุลหลี่
“โอ๊ะ ๆๆ เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับพรรคมัจฉามังกรงั้นหรือ คนของเขาต้องสะสางปัญหาให้เจ้าด้วยหรือไร?” หวังเฟิ่งพูดจาเหน็บแนมแล้วหาเก้าอี้มานั่งลงในลานเรือนด้วยตัวเอง “วันนี้ข้าจะบอกไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกัน เจ้าอยากให้ข้าไปไม่มีปัญหา เอาเงินห้าสิบตำลึงมาให้ข้าก็จะไปทันที!”
หลี่เยว่หานที่อยู่ข้าง ๆ มุ่นคิ้ว
บอกว่าสกุลหลี่ค้างเงินสกุลเมิ่งอยู่ร้อยตำลึงจึงเอาเธอมาขัดหนี้ไม่ใช่หรือไร?
แล้วทำไมตอนนี้หวังเฟิ่งจึงมาทวงเงินถึงที่? หรือเรื่องไม่ได้เป็นแบบที่เมิ่งฉีฮ่วนว่าไว้?
เมิ่งฉีฮ่วนปั่นหัวเธอ?
คิดถึงตรงนี้ หลี่เยว่หานก็นึกโมโห ไม่รอให้เมิ่งฉีฮ่วนเอ่ยปากก็ถามหวังเฟิ่งขึ้นมาเสียงเบา “ท่านจะเอาเงินห้าสิบตำลึงไปทำอะไร?”
“เฮ้อ” หวังเฟิ่งเห็นหลี่เยว่หานยอมพูดแล้วก็ฉีกยิ้ม “ชื่อเสียงในหมู่บ้านของน้องสาวเจ้าต้องป่นปี้ก็เพราะเจ้า เรื่องมงคลที่ไปเจรจาเอาไว้ถูกล้มเลิกไปหมดแล้ว แต่หลายวันก่อนแม่สื่อมาบอกว่าลูกชายคนเล็กของบ้านสกุลเฉินจากฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านมาต้องตาน้องสาวเจ้า แต่พวกข้าต้องจัดหาสินเดิมให้ได้หกสิบตำลึงก่อนจึงจะยอมแต่งน้องสาวเจ้าเข้าเรือน ข้าคิดว่าพี่สาวอย่างเจ้าคงยอมช่วยออกเงินให้ เจ้าว่าจริงไหม”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็คลี่ยิ้มบาง “ลูกชายคนเล็กของบ้านสกุลเฉินจากฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน? เขาไปคลุกคลีกับพวกอันธพาลในตำบลไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกคนตีขาหักทั้งสองข้างก่อนจะกลับมาที่หมู่บ้านเฮยถู่ หรือเดี๋ยวนี้คนขาพิการจะแต่งภรรยาทั้งทีก็ตั้งข้อเรียกร้องสูงเพียงนี้แล้ว?”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” หวังเฟิ่งถ่มน้ำลาย “ต่อให้เขาเป็นคนขาพิการ แต่อย่างน้อยสกุลเฉินก็มีพื้นเพดี น้องสาวเจ้าแต่งเข้าไปแล้วก็จะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย อย่างเจ้าเทียบไม่ติดหรอกนะ!”
“ในเมื่อนางจะออกเรือนไปมีชีวิตดีงามแบบนั้น แล้วทำไมท่านต้องให้พี่สาวที่มีชีวิตสู้นางไม่ได้อย่างข้ามาช่วยออกสินเดิมให้ด้วยเล่า?”
“ให้เจ้าออกสินเดิมอะไรกัน ข้าบอกแล้วนี่ว่าพวกเขาต้องการเงินหกสิบตำลึง ข้าถึงมาเอาเงินห้าสิบตำลึงกับเจ้าอย่างไรเล่า!”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็เสียเปรียบแล้ว ยังต้องออกเงินสิบตำลึงเป็นสินเดิมให้หลี่หรงหรงอีก!”
“เจ้าเด็กน่าตายคนนี้นี่!” หวังเฟิ่งกระโดดขึ้นมาจ้องหลี่เยว่หานอย่างดุร้าย “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พวกข้าจะขาดแคลนเงินห้าสิบตำลึงนี้ได้อย่างไร!”
“ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าสกุลหลี่มีเงินมากมายขนาดนั้น?” หลี่เยว่หานยิ้มเย็น “ท่านเอาแต่ร่ำร้องว่าหลี่ต้าเฉิงยากจนอยู่ทุกวัน แม้แต่ชุดดี ๆ ยังไม่มีปัญญาตัดให้ข้าใส่ ให้ข้าไปเอาชุดที่หลี่หรงหรงไม่เอามาใช้แทนมาตลอด”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร! ข้าจัดการงานเรือนได้ดีต่างหาก! ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าที่น้องสาวเจ้าไม่เอาจะเอาไปให้ใครเล่า?”
ฟังถึงตรงนี้ หลี่เยว่หานก็ไร้คำพูดเสียแล้ว “วันนี้ข้าจะบอกท่านไว้เลย เงินน่ะไม่มีหรอก ถ้าท่านคิดว่าอยู่ในบ้านสกุลเมิ่งต่อไปแล้วเงินห้าสิบตำลึงจะงอกออกมาได้ ท่านก็อยู่ต่อไปเถอะ!”
หลี่เยว่หานพูดจบก็เงยหน้ามองไปทางเมิ่งฉีฮ่วน “สามี เข้ามากินข้าวเที่ยงเถอะ”
“นางเด็กบ้า แม่เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเลยนะ!” หวังเฟิ่งเอ็ดตะโรเสียงดัง “เจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วก็จะตัดขาดกับสกุลหลี่ได้งั้นเรอะ? ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะว่าไม่มีทาง!”
หลี่เยว่หานหาได้สนใจ ตอนนี้หญิงสาวอยากรู้แค่ว่า เรื่องที่เมิ่งฉีฮ่วนบอกเธอตอนนั้นเป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น!
ดังนั้นหญิงสาวจึงผลักหวังเฟิ่งออก แล้วลากเมิ่งฉีฮ่วนเข้าไปในครัวแล้วขัดกลอนห้องครัวเอาไว้
ภายในครัว
มู่ชวนกับหลิงซีที่กำลังกินโจ๊กอยู่เห็นหลี่เยว่หานสะบัดเมิ่งฉีฮ่วนเข้ามา สีหน้าก็ไม่ใคร่จะดีนัก จึงอดจะตกใจไม่ได้
“พี่สาว ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกเมื่อไหร่จะไปเสียทีเจ้าคะ นางเสียงดังมากเลย” หลิงซีมุ่ยปากสีหน้าไม่ชอบใจ
“พวกเจ้าตั้งใจกินข้าวไป ไม่ต้องสนใจเรื่องข้างนอก” หลี่เยว่หานพูดแล้วมองเมิ่งฉีฮ่วนอย่างเย็นชา “ท่านบอกมานะ ตอนนั้นที่ท่านพูดว่าสกุลหลี่เป็นหนี้ท่านถึงได้ไปทวงเงินที่เรือน พวกเขาเอาข้ามาใช้หนี้ ตกลงแล้วเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่!”
เมิ่งฉีฮ่วนได้ยินดังนั้น สมองก็ทำงานเร็วจี๋
เขาคิดไม่ถึงว่าคนสกุลหลี่จะบุกมาโวยวายเร็วขนาดนี้ เดิมทียังคิดว่าจะบ่มเพาะความรู้สึกดี ๆ กับหลี่เยว่หานเสียก่อน ถึงตอนที่นางรู้ความจริงก็คงไม่โมโหมากนัก
แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเขายังบ่มเพาะไม่ถึงไหน ตัวทำเสียเรื่องอย่างหวังเฟิ่งก็บุกมาถึงที่อย่างไร้ยางอายเสียแล้ว ทำให้เมิ่งฉีฮ่วนไม่รู้จะรับมืออย่างไรดีไปชั่วขณะ
บอกไปตามจริง?
ถ้าทำอย่างนั้น เมิ่งฉีฮ่วนมั่นใจว่าหลี่เยว่หานคงตัดสินใจไปจากบ้านสกุลเมิ่งอย่างเด็ดขาดเป็นแน่แท้
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็ทำเป็นถอนหายใจอย่างคิดหนัก พูดว่า “ในเมื่อเจ้าถามแล้ว ข้าจะตอบเจ้าก็ได้”
“ตอนแรกสกุลหลี่ไม่ได้ติดหนี้ข้า แต่ติดหนี้พรรคมัจฉามังกรต่างหาก แต่เป็นเพราะข้าเคยช่วยหัวหน้าพรรคมัจฉามังกร หัวหน้าพรรคของพวกเขาจึงปฏิบัติต่อข้าอย่างดีมาก วันนั้นพวกเขาบอกว่าจะไปทวงหนี้ ข้าว่างพอดีจึงตามไปด้วย”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนใจอ่อน ตอนที่คนพรรคมัจฉามังกรบอกข้าว่าสกุลหลี่เป็นหนี้หัวหน้าพรรคของพวกเขา หัวหน้าพรรคของพวกเขายังต้องรีบใช้เงินด่วนเพื่อนำไปรักษาอาการป่วย จึงให้ข้าปลอมเป็นหัวหน้าพรรคไปทวงหนี้ ใครจะไปรู้ว่าสกุลหลี่กลับเอาเจ้ามาขัดหนี้ ทั้งยังให้เงินมาห้าตำลึงกับเสื้อผ้าชุดใหม่หนึ่งชุด”
“ข้าไม่อยากให้เรื่องบานปลายจึงตัดสินใจรับเอาไว้เสียเอง ต่อมาพอจะแยกย้ายกับพวกเขา พวกเขาก็บังคับให้ข้าใช้หนี้ แล้วยกเจ้าให้เป็นภรรยาข้า เจ้าว่าเรื่องกลายเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าสกุลหลี่ติดหนี้ข้าไม่ใช่หรือ”
“ตอนเจ้าเพิ่งฟื้น ข้าคิดว่าเจ้ายังป่วยอยู่ ไม่อยากให้เจ้ารู้ว่าคนสกุลหลี่ใจดำถึงขนาดนี้ จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องพรรคมัจฉามังกร แค่บอกว่าสกุลหลี่เป็นหนี้ข้า”
ฟังคำอธิบายของเมิ่งฉีฮ่วนแล้ว หลี่เยว่หานก็ยิ่งเดือดดาล “ท่านบอกว่าคนรุ่นก่อนของสกุลหลี่เป็นหนี้สกุลเมิ่งของท่านร้อยตำลึง ท่านถึงไปทวงหนี้ไม่ใช่เรอะ!”
“เจ้าคงจำผิดแล้วเป็นแน่ ที่ข้าพูดคือคนรุ่นปู่ของเจ้าค้างเงินหนึ่งร้อยตำลึง ไม่ได้พูดถึงสกุลเมิ่งของพวกข้าเสียหน่อย” เมิ่งฉีฮ่วนโกหกโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีและหัวใจไม่เต้นแรง “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่ควรไปยุ่งกับอันธพาลอย่างพรรคมัจฉามังกร ข้าจึงไม่ได้บอกเจ้า กลัวจะทำให้เจ้าตกใจ”
“ถุย! ท่านพูดเหลวไหลไปเถอะ ท่านว่ามา! ตกลงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!” มาถึงขั้นนี้แล้ว หลี่เยว่หานไม่เชื่อคำโกหกของเมิ่งฉีฮ่วนหรอก!
[1] จางเฟย 张飞 เป็นแม่ทัพลือนามที่มีชีวิตในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นและตัวละครในวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก 《三国演义》คนไทยรู้จักในนาม เตียวหุย
MANGA DISCUSSION