บทที่ 39 พรรคมัจฉามังกรอะไรกัน?
เมิ่งฉีฮ่วนไม่ได้พูดว่าไม่ให้พบ หากจ้องหวังเฟิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “ท่านมาหาลูกสาวโดยไม่เอาอะไรติดตัวมาด้วย?”
คนหมู่บ้านไป๋อวิ๋นสมัครสมานกันมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังดูแคลนคนหมู่บ้านเฮยถู่อยู่เป็นทุนเดิม พอได้ยินเมิ่งฉีฮ่วนพูดเช่นนั้นก็ซุบซิบกันพลางชี้มือชี้ไม้มาที่หวังเฟิ่ง
“สมกับคำกล่าวว่าถิ่นทุรกันดารให้กำเนิดคนป่าเถื่อนจริง ๆ เคราะห์ดีที่สะใภ้เมิ่งไม่เจริญรอยตาม ถ้าได้นิสัยแม่ของนางมาด้วย นั่นก็น่ากลัวแล้ว!”
“จะว่าไปก็แปลก หญิงปากร้ายคนนี้หน้าตาร้ายกาจ แต่สะใภ้สกุลเมิ่งกลับแลดูอ่อนโยนใจกว้าง ไม่เหมือนนางเลยสักนิด!”
หนังหน้าของหวังเฟิ่งหนาอยู่เป็นทุนเดิม ได้ยินคนพูดเช่นนี้ก็ด่าคืนทันที “ทำไม แม่เลี้ยงไม่ใช่แม่งั้นเรอะ? ตอนแม่แท้ ๆ ของหลี่เยว่หานตายไป นางตัวเล็กแค่นี้เอง ถ้าไม่ได้ข้าคอยเลี้ยงดูช่วยเช็ดปัสสาวะอุจจาระให้ นางคงไม่โตมาถึงทุกวันนี้หรอก!”
“ไอ้หยา ปากคอเราะร้ายจริง ๆ!”
“ใช่น่ะสิ โชคดีที่สะใภ้เมิ่งไม่เหมือนผู้หญิงคนนี้!”
ได้ยินอย่างนั้น หวังเฟิ่งก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะตั้งท่าเตรียมจะชวนทะเลาะก็แลเห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนกำลังมองตนเองด้วยแววตาคมกริบ นางหดคอลงอย่างไม่อาจควบคุม “ข้าได้ยินมาว่าพรรคมัจฉามังกรขายลูกสาวของข้าให้เจ้าแล้ว เท่ากับว่าเจ้าเป็นลูกเขยของสกุลหลี่ เห็นแม่ยายยังไม่รู้จักเข้ามาต้อนรับอีก ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำไม!”
ตอนเมิ่งฉีฮ่วนไปบ้านสกุลหลี่ เขาปิดบังใบหน้าเอาไว้ หวังเฟิ่งจึงจำไม่ได้ เพียงทราบว่าคนที่ซื้อหลี่เยว่หานไปจากพรรคมัจฉามังกรเป็นนายพรานร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ตอนมาเห็นเมิ่งฉีฮ่วนคราแรก หวังเฟิ่งยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ในเมื่อข้าซื้อภรรยาของข้ามาจากพรรคมัจฉามังกรก็เท่ากับว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลหลี่ของท่าน ทำไมข้าต้องยอมรับว่าท่านเป็นแม่ยายด้วย?” เมิ่งฉีฮ่วนถามกลับยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ท่านมาเยี่ยมเยว่หานไม่ใช่รึ แล้วทำไมถึงมามือเปล่า? หรือตั้งใจจะมาเอาสิ่งของจากในเรือนข้ากลับไปด้วย?”
“เจ้าคนนี้ทำไมถึงพูดจาแบบนี้นะ!”
“ข้าก็พูดจาอย่างนี้แหละ ท่านไม่ชอบฟังก็อย่ามายืนขวางประตูบ้านข้า”
เมิ่งฉีฮ่วนมีความอดทนให้เฉพาะหลี่เยว่หาน ยามนี้คนที่อยู่ตรงหน้าคือหวังเฟิ่งก็ไร้ความอดทนโดยสิ้นเชิง แววตาไม่โกรธเกรี้ยวแต่กลับแฝงความกดดัน ทำให้ไฟโทสะของหวังเฟิ่งอ่อนลงไปทันที
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนเลี้ยงนางหนูเยว่หานมานะ!” หวังเฟิ่งร้องโวยวาย “เจ้าแต่งเยว่หานก็เท่ากับเป็นลูกเขยของสกุลหลี่ของข้า!”
“ประทานโทษ ข้าซื้อหลี่เยว่หานกลับมา ไม่ได้แต่งกลับมาเสียหน่อย” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพลางเดินอ้อมหวังเฟิ่งไปเคาะประตูเรือน “เมียจ๋า เปิดประตู ข้ากลับมาแล้ว!”
ภายในครัว
หลิงซีที่เพิ่งตื่นและกำลังกินโจ๊กข้าวโพดฟักทองอยู่หูไว เด็กน้อยได้ยินเสียงเมิ่งฉีฮ่วนปุ๊บก็หันมาบอกหลี่เยว่หาน “พี่สาว อาเมิ่งกลับมาแล้วเจ้าค่ะ บอกให้ท่านไปเปิดประตูให้แน่ะ!”
หลี่เยว่หานได้ยินอย่างนั้นก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ “ปกติเขาไม่กลับมาตอนกลางวันนี่นา ทำไมวันนี้จู่ ๆ ก็กลับมาเล่า?”
หรือเขาได้ยินเรื่องหวังเฟิ่งก็เลยกลับมาก่อนเวลา?
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด คิดถึงตรงนี้หลี่เยว่หานกลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
“บางครั้งอาเมิ่งก็ออกไปเตร็ดเตร่บนเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ถ้าล่าอะไรไม่ได้ ตอนเที่ยงก็กลับมาแล้วขอรับ” มู่ชวนตั้งใจกินโจ๊กตรงหน้าพลางอธิบาย
ได้ยินอย่างนั้น หลี่เยว่หานก็เม้มปาก วางตะเกียบลงแล้วเดินออกไปจากห้องครัว
ตอนที่ประตูเรือนเปิดออก เมิ่งฉีฮ่วนกำลังยืนอยู่หน้าประตู
หวังเฟิ่งที่ถูกเขาบังเอาไว้เบื้องหลังเขย่งเท้าเห็นว่าประตูเปิดแล้วก็ก้มตัวมุดมาถึงตรงหน้าหลี่เยว่หานแล้วด่ากราด “นางเด็กน่าตายคนนี้! แม่เจ้าเรียกตั้งนานแล้วกลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ทำเหมือนไม่ได้ยินอย่างนั้นเรอะ?”
“ประทานโทษ แม่ข้าตายไปสิบกว่าปีแล้ว ต่อให้ลุกขึ้นมาได้ก็เหลือแค่โครงกระดูก ท่านไม่ใช่แม่ข้า” หลี่เยว่หานไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้หวังเฟิ่งแม้แต่น้อย ตอนอยู่บ้านสกุลหลี่เธอกับอีกฝ่ายเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านสกุลหลี่อีกแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ถุย! นังเด็กคนนี้พูดอะไรเหลวไหล!” หวังเฟิ่งถลึงตาด่าคน “แม่เลี้ยงยังไม่ใช่แม่อีกหรือไร!”
“ทำไม ท่านยังหวังว่าข้าจะซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านทารุณข้ามาสิบกว่าปีงั้นเรอะ?” หลี่เยว่หานมองหวังเฟิ่งด้วยสายตาเย็นชา ดึงเมิ่งฉีฮ่วนเข้ามาข้างในแล้วทำท่าจะปิดประตู
“ใครก็ได้ เจ้าข้าเอ๊ย! พอลูกสาวออกเรือนก็ไม่รู้จักแม่แท้ ๆ อีกแล้ว!” หวังเฟิ่งเห็นหลี่เยว่หานจะปิดประตูก็ทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าประตูร่ำไห้โวยวายทันที
หลี่เยว่หานได้ยินเสียงแหลมสูงของนางแล้วก็หงุดหงิด ขณะกำลังจะใช้เท้าเขี่ยนางออกไป เมิ่งฉีฮ่วนก็คว้าแขนนางเอาไว้
“ปล่อยให้นางโวยวายต่อไปแบบนี้ไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า” เมิ่งฉีฮ่วนพูดกับหลี่เยว่หานเสียงเบา “ให้นางเข้ามา ดูว่านางอยากทำอะไร”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็ไม่ค่อยจะพอใจ หมุนกายเดินกลับเข้าไปในเรือนโดยไม่สนใจหวังเฟิ่งที่คร่ำครวญโดยไร้น้ำตาอยู่บนพื้น
เมิ่งฉีฮ่วนมองตามหลังนางพลางนึกสงสารอยู่หลายส่วน พอเห็นหวังเฟิ่งที่คืบคลานขึ้นมาจากพื้น แววตาฉายรอยรังเกียจอยู่รำไร
“เข้ามาเถอะ อย่ามาโหยหวนอยู่หน้าบ้านพวกข้า” เมิ่งฉีฮ่วนว่าแล้วก็เดินเข้าไปในเรือน
หวังเฟิ่งได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพื้น ปัดก้นแล้วตามเมิ่งฉีฮ่วนเดินเข้าเรือนมาทันที
ทุกคนเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้วก็ต่างแยกย้าย
หวังเฟิ่งตามเข้ามาแล้วก็ได้กลิ่นหอมของโจ๊กข้าวโพดฟักทอง นางหิวจนกลืนน้ำลาย
“ทำอะไรกินกันหรือ ข้าหิวอยู่พอดี รีบตักใส่ชามมาให้ข้าเร็วเข้า” หวังเฟิ่งหาได้เกรงใจ เข้ามาได้ก็ชี้นิ้วสั่ง
ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนใช้สายตาประหนึ่งมองคนโง่จ้องนาง “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าคิดจะทำอะไรอันใดกัน ข้าหิวแล้ว!” หวังเฟิ่งกล่าวเสียงแข็ง “ข้าคือแม่ยายของเจ้านะ! แม่ยายน่ะรู้จักไหม?”
“น้ำเต้าผุดขึ้นมาจากดินก็นับเป็นแม่ยายของข้า?” เมิ่งฉีฮ่วนถูกหวังเฟิ่งทำให้โมโหจนต้องหัวเราะออกมา “มียางอายบ้างหรือไม่?”
“คนรุ่นหลังอย่างเจ้าเหตุใดสามหาวเช่นนี้!” หวังเฟิ่งสวมบทญาติผู้ใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะถอดออกง่าย ๆ “ถึงข้าจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของหลี่เยว่หาน แต่ก็เป็นแม่เลี้ยงที่เลี้ยงดูนางมาสิบกว่าปี ทำไม แม่เลี้ยงไม่ใช่แม่งั้นเรอะ? คนพูดกันว่าบุญคุณที่เลี้ยงดูนั้นยิ่งใหญ่ พวกเจ้าอย่ามาทำตัวเนรคุณเชียวนะ!”
เมิ่งฉีฮ่วนมองหลี่เยว่หานที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงประตูห้องครัวแวบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นกลับรู้สึกสงสารหญิงสาวผู้นี้
ไม่รู้ว่านางผ่านสิบกว่าปีนี้มาได้อย่างไร มาเจอมารดาบุญธรรมที่ผิดผู้ผิดคนเช่นนี้ ทั้งยังมีบิดาที่ไม่รู้อะไรสักอย่างและไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง นางต้องได้รับความอยุติธรรมมามากมายเพียงใด
“จะบุญคุณที่ให้กำเนิดหรือบุญคุณที่ชุบเลี้ยงมา ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า” เมิ่งฉีฮ่วนมีท่าทีเย็นชากว่าเดิม “เลือกเอาว่าท่านจะกลับไปหมู่บ้านเฮยถู่แต่โดยดีหรือจะให้ข้าพาท่านไป ‘ส่ง’ ที่พรรคมัจฉามังกร”
ได้ยินเมิ่งฉีฮ่วนเอ่ยถึงพรรคมัจฉามังกร สีหน้าของหวังเฟิ่งก็แข็งค้างไปเล็กน้อย แต่ยังฝืนกล่าวต่อไปว่า “อย่าคิดว่าข้าจะกลัวนะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพรรคมังจฉามังกรสนใจเรื่องของชาวบ้านด้วย!”
หลี่เยว่หานยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง พรรคมัจฉามังกรอะไรกัน? ทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?
MANGA DISCUSSION