บทที่ 16 หลี่เยว่หานสิ้นลมแล้ว
คำพูดหลังจากนี้ หลี่เยว่หานไม่คิดที่จะฟังมันอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเธอสามารถคาดเดาได้แล้วว่า ข้อเสนอใดของหลี่หรงหรงที่จะได้รับการยอมรับมากที่สุด
เป็นอย่างที่หลี่เยว่หานคาดเดาไว้จริง ๆ วันรุ่งขึ้น เรื่องที่หลิ่วจื้อหย่วนไม่ชอบหลี่เยว่หานจนทำให้ตนเสียสติไปนั้น แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านเฮยถู่ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างพูดถึงเรื่องนี้กัน
เดิมที เรื่องที่หลี่เยว่หานเป็นฝ่ายถอนหมั้นนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วก็นับว่ามีเหตุผลอยู่
เพราะในท้ายที่สุด เรื่องที่คู่หมั้นของตนตกหลุมรักน้องสาวของตัวเองนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็นับว่าเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดยิ่งนัก
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ตาเฉิงพาหลี่หรงหรงและหวังเฟิ่งออกจากบ้านเดินทางไปในเมืองเพื่อเปลี่ยนการแต่งงานครั้งนี้ โดยให้หลี่หรงหรงแต่งงานกับหลิ่วจื้อหย่วนแทนลูกสาวคนโตอย่างหลี่เยว่หาน
แต่ใครจะคิดว่า พวกเขากลับถูกตระกูลหลิ่วปฏิเสธและไม่รับแขก ทำให้ต้องกลับมาอย่างอับอายขายหน้า
เมื่อพวกเขากลับมา หลี่เยว่หานก็กำลังนอนอาบแดดอยู่ภายในสวนพอดี เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ต้าเฉิงดูเหมือนจะต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถอนหายใจออกมา ส่ายศีรษะพลางเดินกลับเข้าห้องของตนไป
“นางแพศยา! เจ้าลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย!” หวังเฟิ่งโมโหจนใช้เท้าเตะขาเก้าอี้เอนนอนอย่างแรง
หลี่เยว่หานค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองนางอย่างเกียจคร้าน แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่! ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรเลยหรือ! นังสารเลว เจ้ารีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
หวังเฟิ่งพูดพลางยื่นมือไปจับหลี่เยว่หานไว้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้ฝือมือปัดออกไป
“ท่านตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลี่เยว่หานหลับตาพลางเอ่ยถามขึ้นมา
หวังเฟิ่งรู้สึกโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที “เจ้าแช่งให้ใครตายกัน!”
“หากยังไม่ตายก็หยุดเห่าหอนเสียสิ” น้ำเสียงของหลี่เยว่หานนิ่งเรียบไม่สั่นไหว “ข้าเป็นคนเสียสติที่เมื่อท่านเห่าหอน ข้าก็รู้สึกว่าอยากแทงท่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเฟิ่งจึงชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองหลี่หรงหรง
ท่าทางของสองแม่ลูกดูหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
น้ำเสียงการพูดของหลี่เยว่หานดูนิ่งสงบเกินไป ราวกับการแทงคนกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไปเรื่องหนึ่ง จะทำให้พวกนางไม่หวาดกลัวได้เช่นไร!
“อย่ามาแสร้งหลอกลวงพวกข้าเช่นนี้!” หวังเฟิ่งอาจจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ นางจึงยื่นมือออกไปจับผมของหลี่เยว่หาน “เจ้าทำให้น้องสาวของเจ้าหวาดกลัวจนเป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีหน้ามานอนหลับลงได้อยู่อีกหรือ รีบลงมาก้มหัวสำนึกผิดต่อข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
แต่น่าเสียดายที่หลี่เยว่หานได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เมื่อหวังเฟิ่งยื่นมือจะไปจับผมของเธอ หญิงสาวก็นั่งลงเสียก่อน ทำให้หวังเฟิ่งจับได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งโมโหขึ้นมา
“ท่านคิดเรื่องนี้ดูให้ดี ๆ นี่ไม่ได้เป็นเพราะบุตรสาวของท่านดูถูกตัวเองเสียก่อนหรอกหรือ แล้วข้าจะทำให้นางหวาดกลัวได้อย่างไรกัน? ข้าไม่ได้วางยานางและก็ไม่ได้ส่งนางไปลงสระน้ำ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่” หลี่เยว่หานแสยะยิ้มพลางมองหวังเฟิ่งจนอีกฝ่ายรู้สึกหวั่นในใจ
และตอนนี้ ในที่สุดแล้วหลี่หรงหรงก็ถูกหลิ่วจื้อหย่วนเตะกระเด็นออกมา หวังเฟิ่งจึงยอมรับไม่ได้ จนต้องตะโกนร้องให้หลี่เยว่หานก้มหัวสำนึกผิดให้แก่ครอบครัวหลี่ อีกฝ่ายทรุดตัวลงกับพื้นพลางตะโกนก่นด่าออกมาเสียงดัง
หลี่เยว่หานมองหวังเฟิ่งที่เหมือนกำลังนั่งไว้ทุกข์พลางนึกตลกขึ้นมาอยู่ภายในใจ
หลี่หรงหรงที่ยืนอยู่ข้างกายหวังเฟิ่ง จ้องมองหลี่เยว่หานด้วยขอบตาแดงที่ยังร้อนผ่าว ราวกับรอให้หลี่เยว่หานพูดออกมา
แสงแดดในช่วงต้นฤดูร้อนยังคงรุนแรงอยู่เล็กน้อย หลี่เยว่หานที่นอนอาบแดดได้เพียงครู่หนึ่งก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทั่วร่างกาย หญิงสาวไม่คิดที่จะยุ่งกับสองแม่ลูกคู่นี้อีก จึงคิดจะเดินกลับไปยังห้องของตน
เมื่อชันกายลุกขึ้น หลี่เยว่หานรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกหน้ามืดจนล้มลงบนพื้นและหมดสติไปในที่สุด
หวังเฟิ่งและหลี่หรงหรงได้ยินเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นมา จึงอดตกใจจนกระโดดออกมาไม่ได้
พวกนางเห็นเพียงหลี่เยว่หานนอนนิ่งอยู่บนพื้น โดยไม่ขยับร่างกายราวกับคนตาย หวังเฟิ่งจึงกลืนคำต่อว่าลงไป แล้วหันไปมองหน้าหลี่หรงหรงแทน
“ท่านแม่ หลี่เยว่หานกำลังเล่นตลกอะไรอยู่…” หลี่หรงหรงกลืนน้ำลายลงคอไป เอ่ยถามหวังเฟิ่งด้วยความหวาดกลัว
หวังเฟิ่งส่ายศีรษะราวกับไม่รู้เรื่องใด ๆ ลุกขึ้นยืนพลางใช้เท้าสะกิดหลี่เยว่หานที่นอนอยู่บนพื้น “นี่! อย่ามามาแสร้งแกล้งตายที่นี่นะ!”
หลี่เยว่หานไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ หรือหลี่เยว่หานจะตายแล้ว?” หลี่หรงหรงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หวังเฟิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะตาลุกวาวขึ้นมา รีบย่อกายนั่งลงและพลิกตัวของหลี่เยว่หานให้นอนหงายขึ้น
นางพบว่าใบหน้าของหลี่เยว่นั้นซีดไร้สีเลือด ริมฝีปากซีด หลี่หรงหรงจึงยื่นมือไปลองอังจมูกของนางดู หญิงสาวตกใจมากจนดึงมือกลับเข้ามาทันที “ท่านแม่ นางเหมือนจะไม่หายใจแล้ว!”
“หึ!” หวังเฟิ่งลุกขึ้นยืน ใช้เท้าออกแรงเขี่ยไปบนร่างของหลี่เยว่หาน “สมควรจะตายตั้งนานแล้ว ตัวซวย! หรงเออร์ไปหาเสื่อผืนเก่า ๆ สักผืนมาห่อศพนังสารเลวนี่แล้วเอาไปโยนด้านหลังภูเขาให้หมามันกินไปเสีย!”
เมื่อสิ้นเสียงลง หลี่ต้าเฉิงก็เดินออกมาพอดี
พึ่งเดินออกจากห้องมาเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเฟิ่งจึงอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “หวังเฟิ่ง เจ้าบอกว่าจะเอาผู้ใดไปโยนหลังภูเขาให้หมามันกินกัน?”
เมื่อได้ยินเสียงของหลี่ต้าเฉิง หวังเฟิ่งจึงเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที “ท่านพี่ ยัยหนูเยว่หานไร้ลมหายใจเสียแล้ว…”
เมื่อหลี่ต้าเฉิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบสาวท้าวเข้าไปหาตรงที่พวกนางอยู่อย่างรวดเร็วทันที เขาย่อกายนั่งลงพลางยื่นมือไปอังใต้จมูกของหลี่เยว่หาน จากนั้นจึงจ้องมองไปยังหวังเฟิ่งพลางพูดขึ้น “พูดไร้สาระอะไรกัน! เยว่หานยังมีลมหายใจ! รีบมาช่วยกัน ข้าจะพานางกลับห้องพัก หรงเออร์รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!”
เมื่อพูดจบ หลี่ต้าเฉิงก็ประคองร่างไร้สติของหลี่เยว่หานขึ้นมา แต่กลับถูกหวังเฟิ่งขวางไว้ “ท่านพี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเชิญท่านหมอมานั้นต้องใช้เงินมากเพียงใด!”
“ใช้เงินก็ใช้เงิน!” หลี่ต้าเฉิงร้อนใจขึ้นมา “ลูกสาวของข้าป่วย! ก็ต้องพบหมอ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเฟิ่งจึงยิ่งกังวลใจขึ้นมา “แต่ท่านดูเยว่หานสิ นางหายใจโรยรินเต็มทีแล้ว ถึงแม้จะเชิญท่านหมอมาก็อาจจะช่วยชีวิตนางไว้ไม่ได้! และอีกอย่าง หมู่บ้านของเรามีเพียงหมอหลิง ไม่มีท่านหมอ! ถ้าคิดจะเชิญท่านหมอมานั้นก็ต้องเข้าไปในเมือง การจะเดินทางไปนั้นหากมีเงินน้อยกว่าห้าถึงหกตำลึงก็ไม่สามารถไปได้!”
เมื่อได้ยินหวังเฟิ่งพูดเช่นนี้ หลี่ต้าเฉิงจึงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา “แต่ข้าก็ไม่สามารถทนมองเยว่หายนอนป่วยเช่นนี้โดยไม่สนใจได้!” เขาพูดพลางประคองร่างของหลี่เยว่หานที่อยู่บนพื้นขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง หลี่ต้าเฉิงจึงพบว่าหลี่เยว่หานที่เป็นเพียงหญิงสาวอายุสิบห้าปีนั้น มีร่างกายผ่ายผอมจนแทบจะไร้น้ำหนัก
“ได้ หากท่านยืนยันที่จะทำเช่นนี้ หรงเออร์ไปเชิญหมอหลิงมาก่อน หลี่ต้าเฉิง ข้าขอบอกท่านไว้เสียก่อน หากครั้งนี้หมอหลิงช่วยชีวิตหลี่เยว่หานกลับมาไม่ได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ต่อไป!” หวังเฟิ่งเห็นท่าทางมุ่งมั่นของหลี่ต้าเฉิงจึงไม่คิดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง และกลับออกคำสั่งให้หลี่หรงหรงไปเชิญหมอหลิงมา
หมอหลิงเป็นหมอเท้าเปล่า ไม่มีใบรับรองใด ๆ จึงทำได้เพียงขาย ‘สูตรยาลับของบรรพบุรุษ’ หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยก็ยังพอที่จะลองเสี่ยงดูได้ แต่ถ้าหากอาการร้ายแรงเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
ขณะที่หลี่หรงหรงกำลังจะเดินออกจากประตูไปนั้น ประตูใหญ่กลับถูกเปิดออก และมีคนสองสามคนเดินเข้ามาพอดี
“พวกเจ้าคือใครกัน!” หลี่หรงหรงถอยหลังกลับมาสองสามก้าว พลันเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ผู้ที่เข้ามานั้นมีใบหน้าดุร้าย ดูแล้วไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยเท่าไหร่นัก…
“หลี่เยว่หานอยู่ที่นี่หรือไม่?” ผู้ที่เดินนำเข้ามานั้นเอ่ยถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
เมื่อได้ยินว่าผู้ที่เข้ามานั้นถามหาหลี่เยว่หาน หวังเฟิ่งจึงผลักหลี่ต้าเฉิงที่กำลังอุ้มหลี่เยว่หานไว้ให้เข้าไปในห้อง จากนั้นจึงเดินออกมาต้อนรับด้านหน้าบ้านพลางฉีกยิ้ม “ไม่ทราบว่าพวกท่านมาตามหาลูกสาวบ้านเราไปทำไมกันงั้นหรือ?” ดูจากภายนอกแล้ว นางก็ยังคงเป็นแม่เลี้ยงที่มีคุณธรรมและเปี่ยมไปด้วยความรักเช่นเดิม
“หลี่เยว่หานมายืมเงินลูกพี่ของเราไปห้าสิบตำลึง พวกเราจึงมาทวงเงินคืน” ชายผู้นำที่มีรอยบากบนใบหน้า จ้องมองหวังเฟิ่งด้วยแววตาน่ากลัว
“ว่าอย่างไรนะ? ห้าสิบตำลึง?” หวังเฟิ่งตกตะลึงจนอ้าปากค้างและทำอะไรไม่ถูก
MANGA DISCUSSION