บทที่ 110 อดีตของเวินเทียนเหล่ย
เมื่อหลี่เยว่หานต้องการถามว่าน่าเสียดายอะไร เมิ่งฉีฮ่วนก็รีบระงับอารมณ์ของตนลง ก่อนจะมองไปที่นางแล้วเขาก็ถึงกับยิ้มเล็กน้อย “ดูสิ มีสมบัติหายากมากมายในโกดังของเวินเทียนเหล่ย พวกเราจะเอาทุกอย่างที่เจ้าต้องการมา”
ครั้นเห็นว่าเมิ่งฉีฮ่วนไม่ต้องการพูด หลี่เยว่หานก็ไม่คิดจะถาม เธอพลันชี้ไปที่แอปเปิลเหล่านั้นแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าผลไม้นี้เรียกว่าอะไร?”
“ผลเทียนเหริน” เมิ่งฉีฮ่วนพูด “หลิงซีชอบกินมัน แต่อำเภอหย่งหนิงไม่ค่อยขาย เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าเจอมัน ข้าจะซื้อมันไปให้นาง”
“ถ้าอย่างนั้นเราหิ้วกลับบ้านสักหนึ่งตะกร้ากันดีไหม!” หลี่เยว่หานถูกำปั้นของตน
เมิ่งฉีฮ่วนมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยความประหลาดใจ “ผลเทียนหรันนั้นตกอยู่ผลละหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าจะใส่มันลงตะกร้าแล้ววางในรถม้าออกหน้าออกตาเช่นนี้ เจ้าไม่ได้กำลังบอกให้พวกโจรที่กำลังเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาวรีบเข้ามาปล้นพวกเราหรือ?”
“หนึ่ง…ตำลึงเงิน?” หลี่เยว่หานแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “แพงถึงเพียงนั้น?”
“ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าเหตุใดจึงหายากในอำเภอหย่งหนิงนักเล่า?” เมิ่งฉีฮ่วนกล่าว ก่อนเขาจะนำถุงผ้าจากที่ใดไม่ทราบออกมาและยัดมันในจำนวนครึ่งชั่งลงในถุงผ้า
หลี่เยว่หานมองดูการเคลื่อนไหวของเมิ่งฉีฮ่วนอย่างพูดไม่ออก และอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้น “ท่านยังคงช่างคิด! ข้าอยากเห็นลูก… ผลไม้รสเปรี้ยวที่ท่านบอกว่าเวินเทียนเหล่ยปลูกในสวนสักหน่อย”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็หันกลับมาและชี้ไปยังสิ่งของในโกดังที่อยู่ด้านหลัง พลางพูดว่า “เจ้าไม่ต้องการของอย่างอื่นที่นี่หรือ?”
“ไม่” หลี่เยว่หานเพิ่งกวาดตามองอย่างคร่าว ๆ ซึ่งนอกเหนือจากแอปเปิลหลายโหลหรือมากกว่านั้นที่เธอสามารถใช้ได้ สิ่งอื่น ๆ ในโกดังทั้งหมดต่างมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย
เงิน ทองและเครื่องประดับนั้นเธอไม่ต้องการ เนื่องจากหลี่เยว่หานไม่ต้องการความมั่งคั่งในทันที สิ่งที่หญิงสาวต้องการนั้นคือความมั่งคั่งระยะยาว เหตุผลที่ต้องการเยี่ยมชมโกดังของเวินเทียนเหล่ยก็เพราะต้องการทราบว่ามีสมบัติบางอย่างที่ตนไม่เคยเห็นซ่อนอยู่ในโกดังของคนสมัยโบราณหรือไม่
แต่เมื่อเข้ามาดูแล้ว ของส่วนใหญ่มักเป็นภาพเขียนอักษรและภาพวาดโบราณ ของประดับโต๊ะและเก้าอี้ ทองคำ เงิน และเครื่องประดับ หลี่เยว่หานจึงหมดความสนใจ
“ไปกันเถอะ เวินเทียนเหล่ยปลูกผลไม้รสเปรี้ยวไว้ในสวนของเขาเอง” เมิ่งฉีฮ่วนพูดพร้อมกับถือถุงแอปเปิลในมือข้างหนึ่ง จับมือหลี่เยว่หานด้วยมืออีกข้าง แล้วเดินออกจากโกดัง
“หว่านหรงชอบผลไม้รสเปรี้ยวมากที่สุด ดังนั้นเวินเทียนเหล่ยจึงปลูกผลไม้รสเปรี้ยวในสวนไว้ให้นาง” ขณะที่เดิน เมิ่งฉีฮ่วนก็เล่าเรื่องราวของเวินเทียนเหล่ยให้หลี่เยว่หานฟัง “เมื่อพูดถึงหว่านหรง นางเป็นผู้หญิงแปลกที่เติบโตในหอโคมแดง ในวันที่นางขึ้นแสดงบนเวที คนทั้งเมืองหลวงต่างต้องตะลึง และหลายคนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพียงเพื่อค้างคืนกับนาง แต่หว่านหรงเป็นผู้หญิงซื่อตรงและไม่ขายเรือนร่าง”
“ในวันที่นางขึ้นแสดงบนเวที เวินเทียนเหล่ยก็ตกหลุมรักหว่านหรงตั้งแต่แรกเห็น นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาแสดงออกเช่นนี้ หลังจากนั้น เวินเทียนเหล่ยก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาความชอบของหว่านหรง ซึ่งนายท่านของตระกูลเวินถึงกับทะเลาะกับเขาเรื่องนี้หลายครั้ง เวินเทียนเหล่ยยังใช้ทองคำหนึ่งพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวหว่านหรงจากหอโคมแดงก่อนรับนางเป็นอนุ ในวันที่หว่านหรงเดินเข้าประตูมา ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมการแต่งภรรยาเอก แต่เวินเทียนเหล่ยยังคงกราบไหว้ฟ้าดินกับนาง”
“ในวันที่สองของการแต่งงาน เวินเทียนเหล่ยทำการปลูกต้นอ่อนผลไม้รสเปรี้ยวที่นางชอบกินให้กับหว่านหรงลงในสวนด้วยตัวเอง”
“หว่านหรงและเหล่าเวินฟูเหรินเข้ากันได้ดีมาก และเหล่าเวินฟูเหรินไม่ได้รังเกียจภูมิหลังของนาง แม้ว่านายท่านเวินจะรู้สึกอับอาย แต่ด้วยเห็นแก่หน้าภรรยา เขาจึงไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องของหว่านหรงและเวินเทียนเหล่ย”
“น่าเสียดายที่สวรรค์อิจฉาคนงาม หว่านหรงล้มป่วยในปีที่สามของการแต่งงาน โรคนี้แปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นหมอที่มีชื่อเสียงหรือหมอหลวงต่างกล่าวว่าเป็นความบกพร่องแต่กำเนิด หากกินยาบำรุงมาก ๆ อาจอยู่ได้เป็นปี”
“ในปีที่สี่ หว่านหรงเสียชีวิตลงด้วยอาการป่วย หลังจากนั้นไม่นานเหล่าเวินฟูเหรินก็จากไป ตั้งแต่นั้นมาเวินเทียนเหล่ยก็หดหู่ใจมาก จากนั้นเขาก็พาคนรับใช้สองคนนำขี้เถ้าของหว่านหรงและของที่ระลึกจากมารดามายังคฤหาสน์เวินที่เมืองหลิวชิง อันเป็นสินสอดทองหมั้นของมารดาเพียงลำพัง”
“หลังจากที่เวินเทียนเหล่ยลงหลักปักฐานในเมืองหลิวชิง เขาได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อปลูกผลไม้รสเปรี้ยวที่เคยปลูกในเมืองหลวงขึ้นที่นี่ และผลิตผลไม้รสเปรี้ยวแบบแห้งเป็นจำนวนมากทุกปี”
ขณะที่พูด เมิ่งฉีฮ่วนได้พาหลี่เยว่หานไปที่ลานบ้านที่เวินเทียนเหล่ยอาศัยอยู่
อย่างที่เมิ่งฉีฮ่วนพูดไว้ มีเถาองุ่นที่แข็งแรงมากถูกปลูกอยู่ในสวน และเลื้อยออกมาตามโรงเก็บของที่จัดไว้
จะเห็นได้ว่าเวินเทียนเหล่ยดูแลเถาองุ่นเหล่านี้อย่างระมัดระวังจริง ๆ เขาไม่เพียงแต่สร้างศาลาที่งดงามเท่านั้น แต่ยังติดตั้งชิงช้าไว้ใต้ศาลาอีกด้วย
“ในยามมีชีวิต หว่านหรงชอบที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาใต้ต้นผลไม้รสเปรี้ยว แม้แต่ชิงช้าตัวนี้ยังถูกเวินเทียนเหล่ยนำมาจากเมืองหลวง”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ตั้งแต่โบราณมารักชังล้วนไร้ที่สิ้นสุด ครั้นได้ฝันดีแต่กลับต้องถูกปลุกจากฝัน เธอเชื่อว่าหลายปีที่ได้อยู่กับหว่านหรง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับเวินเทียนเหล่ย มิฉะนั้นเขาคงไม่ดูแลเถาองุ่นอย่างระมัดระวังเช่นนี้
หญิงสาวขอให้เด็กรับใช้ไปรายงาน ซึ่งหลังจากได้รับอนุญาต หลี่เยว่หานก็หยิบกรรไกรตัดดอกไม้ของคนสวนมาตัดเถาองุ่นส่วนเกินออก จากนั้นก็รวบรวมเถาองุ่นที่ถูกตัดเข้าด้วยกัน เมื่อให้คนไปแจ้งว่าจะกลับแล้ว เธอก็ติดตามเมิ่งฉีฮ่วนออกจากจวนตระกูลเวิน ขึ้นรถม้ากลับไปที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น
เวินเทียนเหล่ยไม่ได้มาส่ง เขาอาจจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่หลี่เยว่หานก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน
หลังจากประสบกับความรักเช่นนั้น มันก็ยากพออยู่แล้วที่เขาจะรักคนอื่นอีกครั้งและมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่วันนี้ ความสงบทั้งหมดที่เขาเพียรรักษาไว้ได้ถูกทำลายโดยหลันเอ๋อร์ เวินเทียนเหล่ยจึงต้องหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเป็นเวลานานแน่
รถม้าแล่นต่อไปโดยไม่หยุด เมื่อมาถึงอำเภอหย่งหนิงก็เป็นเวลาเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
ที่อำเภอหย่งหนิง หลี่เยว่หานทำการซื้อเกลือหยาบยี่สิบชั่ง และสั่งข้าวฟ่างหนึ่งร้อยชั่งส่งไปยังหมู่บ้านไป๋อวิ๋น จากนั้นเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
สำหรับครั้งนี้ หญิงสาวได้รับของมามากมายและความสัมพันธ์ของเธอกับเมิ่งฉีฮ่วนก็ดีขึ้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อถูกขังอยู่ในห้องโลงศพของจวนตระกูลเวิน ตราบใดที่คิดว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะไม่ทิ้งตนไว้คนเดียว ก็รู้สึกสบายใจยิ่ง
ทันทีที่รถม้าเข้าสู่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น ก่อนที่หลี่เยว่หานจะมีเวลาสูดอากาศบริสุทธิ์ รถม้าก็ถูกบังคับให้หยุด
“โอ้สวรรค์ บุตรสาวของข้าร่ำรวยขึ้นมาแล้ว แม้นางจะไม่สนใจข้าที่เป็นหญิงชราก็ไม่ใช่สำคัญ แต่นี่นางไม่สนใจแม้กระทั่งพ่อของนางเอง!” เสียงร้องที่คุ้นเคยของหวังเฟิ่งดังขึ้นอีกครั้ง
หลี่เยว่หานขมวดคิ้วทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เมิ่งฉีฮ่วนก็กำลังจะลงจากรถม้า แต่ถูกหลี่เยว่หานหยุดไว้
เขาเห็นหลี่เยว่หานลงจากรถม้า ไปยืนประจันหน้ากับหวังเฟิ่งที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น แล้วแค่นเสียงเย็นก่อนจะเอ่ยอย่างเย้ยหยันว่า “ถ้าอยากร้องไห้ เจ้าก็ควรมีน้ำตาก่อนมิใช่หรือ? คร่ำครวญเช่นนั้นโดยไร้น้ำตา คนไม่รู้จะคิดว่าเจ้ากำลังหอน”
“นังสารเลว เจ้าพูดคำน่ารังเกียจอะไร!” หวังเฟิ่งกระโดดขึ้นจากพื้น “พูดมา! ชุดเครื่องประดับทองที่ตระกูลหลิ่วมอบให้เจ้าอยู่ที่ไหน! รีบเอามาให้ข้า แม่ของเจ้าผู้นี้บังเอิญว่าพ่อเจ้าป่วยและไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าหมอ จึงต้องรีบเอามันไปขายแลกเงินเพื่อหาหมอมารักษาพ่อเจ้า!”
“พ่อข้าป่วย?” หลี่เยว่หานเอียงศีรษะ “ทันทีที่เปิดปาก เจ้าก็บอกว่าพ่อของข้าป่วย ทำไมข้าถึงคิดว่าไม่ใช่พ่อของข้าที่ป่วย แต่เป็นเจ้าต้องการเงินอีกแล้ว?”
MANGA DISCUSSION