ตอนที่ 316 แขกผู้สูงศักดิ์กำลังจะมาเยือน
………………..
“เมียจ๋า! เมียจ๋า!”
ริมฝั่งแม่น้ำ เกวียนวัวยังมิทันหยุดสนิท หลิวจี้ก็กระโดดลงจากเกวียนอย่างมิอาจทนรอได้อีกต่อไป เขาตะโกนก้องด้วยความตื่นเต้นพลางวิ่งขึ้นไปยังเนินเขา ท่าทางดีอกดีใจเยี่ยงนั้น ผู้ใดมิรู้ก็คงคิดว่าเขาสอบติดเป็นบัณฑิตแล้ว!
ฉินเหยาได้ยินเสียงจึงเดินออกมาจากประตูใหญ่ พอหลิวจี้เห็นนาง ดวงตาพลันก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นล้วงซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วโบกไปมา
ใจฉินเหยากระตุกวูบ กงเหลียงเหลียวตอบจดหมายเขากลับมาแล้วจริงๆ น่ะหรือ
หลิวจี้ราวกับรู้ว่านางกำลังสงสัยสิ่งใด พอมาถึงตรงหน้านาง ลมหายใจยังมิทันจะสม่ำเสมอดีก็รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า
“เมียจ๋า ท่านอาจารย์บอกว่าเขาออกเดินทางแล้ว หากคำนวณคร่าวๆ จากวันที่ส่งจดหมายฉบับนี้ก็คือภายในวันสองวันนี้ ท่านอาจารย์ก็จะมาถึงแล้ว!”
พวกต้าหลางสี่พี่น้องที่กำลังพักผ่อนอยู่ในเรือนก็วิ่งออกมาด้วย บนใบหน้าของแต่ละคนมีคราบขาวจากแป้งเปรอะเป็นปื้น มือก็ยังคงถือของคล้ายก้อนแป้งอยู่
หลิวจี้ถามด้วยความสงสัย “กำลังทำอันใดกันอยู่รึ”
“ทำขนมไหว้พระจันทร์ขอรับ” ซานหลางชูก้อนแป้งในมือตนขึ้นอย่างคาดหวัง รอให้ท่านพ่อเอ่ยชมตน
หลิวจี้มองจดหมายในมือ อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งจึงมิได้ตระหนี่ที่จะยกนิ้วโป้งให้ซานหลาง “ดีๆ ทำเยอะหน่อยเถิด พอถึงเวลาท่านอาจารย์มาก็เอาไปให้ท่านอาจารย์ลองชิมบ้าง ให้ท่านได้ลิ้มลองของอร่อยบ้านป่านี้”
ซานหลางพลันยิ้มกว้างออกมา พยักหน้ารับอย่างจริงจัง หันกายแล้วรีบวิ่งกลับเข้าห้องครัวทันที ให้อาวั่งสอนตนทำไส้ขนมต่อ
ตรงหน้าประตูยังมีคนยืนอยู่อีกสามคน หลิวจี้จึงโบกมือ “ไปเถิดๆ ทำให้เยอะหน่อย ทำให้มันอร่อยๆ หน่อยเล่า”
ต้าหลางลอบสังเกตสีหน้าของน้าเหยา เห็นนางมิได้มีสีหน้าอันใดจึงค่อยนำเอ้อร์หลางกับซื่อเหนียงกลับไปทำขนมไหว้พระจันทร์ต่อ
ขนมไหว้พระจันทร์นี้เป็นของที่ต้องใช้ความประณีต พรุ่งนี้ก็เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว ทั้งหมู่บ้านมีเพียงไม่กี่บ้านที่ยอมหักใจทำ
เพียงเพราะแป้งสาลีนั้นจำต้องโม่แล้วโม่อีกอย่างน้อยก็ห้าครั้งจึงจะได้แป้งที่ละเอียดพอจะทำขนมไหว้พระจันทร์ได้
ประกอบกับปีนี้ข้าวสาลีประสบภัยแมลง ผลผลิตจึงลดต่ำลง ราคาข้าวสาลีจึงสูงลิ่ว หากมิใช่ครอบครัวที่มีฐานะอยู่บ้าง ผู้ใดเล่าจะยอมเสียเวลาลงแรงถึงเพียงนี้เพื่อขนมไหว้พระจันทร์ไม่กี่คำ
แน่นอนว่า ฉินเหยานั้นโดยหลักๆ แล้วเป็นเพราะอยากกิน
เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีที่แล้วนางทำอันใดไปบ้างนั้น นางเหมือนจะจำไม่ได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมิได้ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์และไม่ได้กินขนมไหว้พระจันทร์ด้วย
พอดีปีนี้มีเวลาว่าง สำนักศึกษาของตระกูลเองก็ให้หยุดสามวันเพื่อให้ศิษย์กลับบ้านไปฉลองเทศกาล ซื่อเหนียงเห็นคนบ้านหลิวต้าฝูกำลังโม่แป้งละเอียดอยู่ที่โรงโม่จึงรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำขนมไหว้พระจันทร์ เด็กหญิงตัวน้อยผู้ไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์มาก่อน แต่รู้ว่านี่จะต้องเป็นของอร่อยแน่ๆ จึงรีบวิ่งกลับมาที่บ้าน เดินตามก้นฉินเหยาต้อยๆ แล้วบอกว่าอยากกิน ทั้งครอบครัวจึงได้เริ่มลงมือทำขนมไหว้พระจันทร์กัน
กล่าวได้เพียงว่าหลิวจี้กลับมาได้จังหวะพอดี ทำให้เขาทันได้ร่วมวงด้วยอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ตอนกินแตงโมก็มิทันได้กินเป็นชุดแรก หลิวจี้บ่นเสียยืดยาว วันนี้พอเห็นคนในบ้านทำขนมไหว้พระจันทร์ก็ไม่ได้แจ้งตนอีกจึงกุมหน้าอก มองฉินเหยาอย่างตัดพ้อแวบหนึ่ง เจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน!
ฉินเหยาไม่มองท่าทางเสแสร้งของเขาเปิดอ่านจดหมายที่หลิวจี้นำมาอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก
บนจดหมายนั้นมีลายมือที่เขียนหวัดๆ อยู่สองสามแถว ทว่ากลับเป็นลายมือที่งดงามยิ่งและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์
หากจะบอกว่าหลิวจี้ไปจ้างคนมาปลอมลายมือ ฉินเหยาไม่เชื่อเด็ดขาด บัณฑิตทั่วทั้งอำเภอไคหยางก็มิอาจเลียนแบบลักษณะเฉพาะตัวอันเด่นชัดที่แฝงอยู่ในลายมือนี้ได้
เพียงได้เห็นลายมือนี้ ในครรลองสายตาของฉินเหยาพลันก็ปรากฏภาพใบหน้าของกงเหลียงเหลียวขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม ใบหน้านั้นดูแล้วเหมือนจะเคร่งขรึมทว่าแท้จริงแล้วในแววตากลับเต็มไปด้วยประกายขี้เล่น
วิปลาส บ้าคลั่ง คือความประทับใจแรกที่ฉินเหยามีต่อกงเหลียงเหลียว
ส่วนลายมือบนแผ่นกระดาษก็เผยให้เห็นถึงลักษณะนิสัยเช่นนี้ของเจ้าของลายมือเช่นกัน
“เจ้าทำได้อย่างไร” ฉินเหยาส่งจดหมายคืนให้หลิวจีแล้วเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
จดหมายที่นางให้อาวั่งนำไปส่งนั้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไร้ซึ่งการตอบกลับ
แต่หลิวจี้ไม่มีอาวั่งเป็นผู้ส่งสาร เขาข้ามผ่านการสกัดกั้นชั้นแล้วชั้นเล่าของตระกูลฉี นำจดหมายไปส่งถึงเบื้องหน้าของกงเหลียงเหลียวได้อย่างไร
หลิวจี้เห็นแววตาประหลาดใจของนางก็หัวเราะออกมาเบาๆ มิได้ตอบคำ กลับเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า “เมียจ๋า เงินค่าเกณฑ์แรงงานของปีนี้ เจ้าว่า…”
ฉินเหยานั้นตรงไปตรงมา พูดแล้วย่อมทำตามที่พูดจึงหันกายไปหยิบเงินหกตำลึงออกมา “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว อีกสักครู่เจ้าก็เอาไปให้ผู้ใหญ่บ้านเพื่อยกเลิกรายชื่อที่จะเกณฑ์แรงงานเถอะ”
หลิวจี้รับเงินมา อดใจไม่ไหวจุมพิตมันสองทีอย่างบ้าคลั่ง แทบจะร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจสุดขีด
ทว่าเขารู้ว่าฉินเหยามีความอดทนจำกัดจึงรีบสงบอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว พลางเก็บเงินใส่กระเป๋าซ่อนในอกเสื้อให้ดี จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องโถงแล้วเล่าให้ฉินเหยาฟังอย่างไม่หยุดปากว่าเขาใช้วิธีใดจึงส่งจดหมายไปถึงเบื้องหน้ากงเหลียงเหลียวได้
เพราะเขาเล่าได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก อาวั่งและเด็กๆ ในห้องครัวจึงหันมามองเขาโดยมิได้ตั้งใจ งานในมือจึงพลอยหยุดชะงักไปจนทำให้ขนมไหว้พระจันทร์ชุดแรกที่อบออกมานั้นแป้งแข็งโป๊ก
ทว่าหลังจากฟังเรื่องเล่าของหลิวจี้จบ แววตาที่สี่พี่น้องมองเขาก็มีความเคารพเพิ่มขึ้นอีกมาสองส่วน
สาเหตุมิใช่อื่นใด เพียงเพราะบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขาได้ใช้การกระทำของตนเองพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้วว่า คำกล่าวที่ว่า ‘ขอเพียงมีความมุนานะอย่างถึงที่สุด แม้ท่อนเหล็กก็ฝนจนเป็นเข็มได้’ นั้น มิใช่คำพูดที่เหลวไหล แต่เป็นเรื่องจริง
“ท่านพ่อ ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกิน!”
เอ้อร์หลางนั่งยองๆ อยู่เบื้องหน้าบิดาตนตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ นับนิ้วไปพลางคำนวณว่า “จดหมายร้อยฉบับ ค่ากระดาษ หมึก พู่กัน ค่าส่ง ค่าจ้างคนส่ง…อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินครึ่งตำลึง! คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อจะเก็บเงินส่วนตัวไว้มากถึงเพียงนี้…อือ อือ!”
ยังมิทันจะสิ้นเสียง ปากก็ถูกบิดาบังเกิดเกล้าใช้มือปิดไว้แน่น หลิวจี้ถลึงตา หุบปากเสียทีเถอะเจ้าหลิวจื่อซู!
ในห้องครัว ฉินเหยาผู้กำลังชิมขนมไหว้พระจันทร์ชุดแรก ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของสองพ่อลูกในห้องโถงจึงหันไปมองด้วยความกังขา ก็เห็นสองพ่อลูกกอดกันกลม ทำท่าทางราวกับว่าพวกเรารักใคร่กันดีเหลือเกิน
เอ้อร์หลางหันหลังให้ประตูจึงมองไม่เห็นสีหน้าว่าเป็นเช่นไร แต่จากร่างกายที่บิดไปมาของเขา ดูท่าแล้วเด็กน้อยคงไม่ค่อยเต็มใจนัก
ฉินเหยาแค่นเสียงเบาๆ พลางกินไส้ขนมไหว้พระจันทร์ในมือจนหมดแล้วโยนเปลือกแป้งที่แข็งโป๊กทิ้งลงไปในถังไม้ใส่เศษอาหาร เอาไปให้วัวให้ม้ากินเถิด คนกินไม่ไหวจริงๆ
ต้าหลางกับซื่อเหนียงเบิกตากว้าง ในใจร้องลั่นว่าช่างฟุ่มเฟือยนัก ทว่าพอกัดขนมไหว้พระจันทร์ในมือไปคำหนึ่ง ก็พลัน “แหวะ” ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ควรสงสัยการตัดสินใจใดๆ ของท่านแม่เลยแม้แต่น้อย!
อาวั่งเป็นพวกเจ็บแล้วจำ จุดเตาเริ่มใหม่อีกครั้ง!
ครั้งนี้แป้งนุ่มขึ้น ไฟก็ลดให้อ่อนลง ในที่สุดก็ทำขนมไหว้พระจันทร์ที่มีรสสัมผัสปกติออกมาได้เสียที
ฉินเหยาไม่ได้รังเกียจ ขอเพียงมีรสชาติที่ขนมไหว้พระจันทร์พึงมี นางก็สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย
หลิวจี้และลูกๆ ทั้งหลายยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาไม่เคยได้กินของดีอันใด พอกินขนมไหว้พระจันทร์เข้าไปคำหนึ่งก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงโอ้ร้องด้วยความประหลาดใจปนยินดี คำชมว่าอร่อยคำแล้วคำเล่าลอยเข้าหูอาวั่ง ชายหนุ่มผู้นี้จึงมีกำลังใจเต็มเปี่ยม อบขนมอีกเตาแล้วเตาเล่า
ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำเสร็จแล้วถูกวางเรียงรายอยู่ในกระจาดที่ปูด้วยผ้าฝ้ายสีขาวจนเต็มโต๊ะและเก้าอี้ที่ว่างอยู่ทั้งหมดในบ้าน มองดูแล้วก็ชวนให้รู้สึกอิ่มเอมใจ
ครั้งนี้หลิวจี้ได้กินขนมร้อนๆ แล้ว เขากินขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วแดงขนาดเท่าฝ่ามือเด็กไปสามชิ้นรวด อิ่มเสียจนต้องเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านเพื่อย่อยอาหาร
มองดูขนมไหว้พระจันทร์ไปพลางคิดไปพลางว่าจะจัดการเรื่องกงเหลียงเหลียวอย่างไรหลังจากที่เขามาถึง
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า รอให้คนมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
เขาสมควรไปจัดการเรื่องยกเลิกรายชื่อเกณฑ์แรงงานเสียก่อน
ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านอาจารย์เพิ่งจะก้าวเท้ามาถึง เขาหลิวจี้ก็ถูกเกณฑ์ไปซ่อมกำแพงเมืองแล้ว
ทว่าหลิวจี้ก็ยังรอบคอบอยู่บ้าง ตอนไปจ่ายเงินที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ยังหยิบขนมไหว้พระจันทร์ไปฝากหนึ่งห่อและถือโอกาสถามด้วยว่าในหมู่บ้านยังมีบ้านว่างเพียงพอหรือไม่
เมื่อได้ยินจากปากผู้ใหญ่บ้านว่ามีบ้านว่างอยู่หลายหลัง เขาก็พลันวางใจลงทันที
ทั้งครอบครัวยุ่งวุ่นวายจนกระทั่งฟ้ามืด หลังจากกินอาหารเย็นอย่างง่ายๆ แล้ว ความตื่นเต้นจากการทำขนมไหว้พระจันทร์จึงค่อยๆ จางลง เหลือไว้เพียงความกระวนกระวายใจเมื่อนึกถึงแขกผู้สูงศักดิ์ซึ่งใกล้จะมาถึง
………………..
MANGA DISCUSSION