ตอนที่ 297 เปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับเป็นฝ่ายรุก
………………..
ศาลบรรพชนหมู่บ้านตระกูลหลิว
ฉินเหยาเอ่ย “พวกเรามาสร้างถนนกันเถิด”
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลตกตะลึงอย่างยิ่ง
“หะ…เหตุใดจึงจะสร้างถนนเล่า” หัวหน้าตระกูลถามด้วยความสงสัย
ผู้ใหญ่บ้านเองก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน “ตอนนี้คนในหมู่บ้านล้วนทำงานอยู่ที่โรงงานเครื่องเขียนกันหมดแล้วจะสร้างกันได้อย่างไร”
เหลือก็แต่พวกเขาคนแก่กระดูกผุเหล่านี้แล้ว แม้จะมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับคนหนุ่มสาว
อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือ เหตุใดอยู่ดีๆ ฉินเหยาถึงได้เอ่ยเรื่องการสร้างถนนขึ้นมาอย่างกะทันหัน?
ฉินเหยาจึงเล่าเรื่องที่นางเพิ่งพบเจอพ่อลูกฮวาเอ๋อร์เมื่อครู่ออกมา “สถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาล้วนซ่อนตัวอยู่ในเขตภูเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้านพวกเรา ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องออกมา แทนที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ มิสู้พวกเราเป็นฝ่ายรุกเสียเอง”
สองพ่อลูกฮวาเอ๋อร์ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย แต่เหล่าสหายร่วมหมู่บ้านของพวกเขานั้นก็ไม่แน่
หากไม่ใช่เพราะฮวาเอ๋อร์พลั้งปากพูดออกมา ฉินเหยาก็คงไม่รู้ว่ามีผู้อพยพจำนวนมากเช่นนี้ขึ้นไปบนเขาทางทิศเหนือ
บอกว่ามาหางานทำ แต่หากบังเอิญเห็นเด็กในหมู่บ้านอยู่ตามลำพัง หรือบ้านที่ไม่ได้ลงกลอนประตู ก็เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมา
ฉินเหยายอมคาดเดาเจตนาร้ายที่สุดของคนเหล่านี้ ดีกว่าที่จะต้องมาเสียใจภายหลังเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลไม่รู้ว่าบนเขาทางทิศเหนือมีผู้อพยพอยู่ มิใช่เพียงคนสองคน หากแต่เป็นกลุ่มคนจากหมู่บ้านเดียวกัน
เมื่อได้ยินฉินเหยากล่าวเช่นนี้ หัวใจของผู้อาวุโสทั้งสองก็หล่นวูบไปพร้อมกัน
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ข้อเสนอของฉินเหยาเรื่องการสร้างถนนกลับกลายเป็นวิธีที่ดีในการแก้ไขปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่
กำหนดขอบเขตพื้นที่ให้คนเหล่านั้น ให้พวกเขาช่วยสร้างถนน จัดหาอาหารให้พวกเขาสองมื้อ ทั้งเป็นการจัดการให้ผู้อพยพเหล่านี้มีความเป็นอยู่มั่นคง ทั้งยังได้ช่วยสร้างถนนในหมู่บ้านจนเสร็จเรียบร้อย เป็นการดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าสามารถรวบรวมเหล่าชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านบุกขึ้นเขาทางทิศเหนือเพื่อขับไล่พวกเขาทั้งหมดได้เช่นกัน แต่หากเกิดการปะทะขึ้นมา สถานการณ์หลังจากนั้นก็มิอาจคาดเดาได้
อีกประการหนึ่ง พ่อลูกฮวาเอ๋อร์และคนอื่นๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายผิดต่อหลักฟ้าดินอันใด ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลสบตากัน นึกถึงความยากลำบากและความอับจนหนทางของตนเองเมื่อครั้งประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในอดีตก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร
“ล้วนเป็นคนที่น่าสงสาร ในเมื่อหมู่บ้านของพวกเรากำลังขาดคนสร้างถนนพอดี เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ
หัวหน้าตระกูลเองก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกัน เพียงถามฉินเหยาว่ามีแผนการหรือระเบียบการใดๆ หรือไม่
ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีกี่คน หากคนน้อยก็มีที่พักสำหรับคนน้อย หากคนมากก็มีการจัดการสำหรับคนมาก
โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน แม้อากาศจะร้อนแต่บ้านที่ลมโกรกย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว ในตระกูลยังมีบ้านดินโทรมๆ ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานหลายปีอยู่หลายหลัง จัดการทำความสะอาดเสียหน่อยก็พอจะอาศัยอยู่ไปก่อนได้
อย่างที่ฉินเหยาบอก ผู้อพยพเหล่านี้จะจากไปก่อนฤดูหนาวจะมาถึง นับดูก็เป็นเวลาราวสามเดือน
ถนนจากหมู่บ้านเซี่ยเหอมาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิว เดิมทีก็มีพื้นถนนอยู่แล้ว ซ่อมสักสามเดือนก็น่าจะพอดี
ฉินเหยาเองก็เพิ่งเกิดความคิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นกัน ตอนนี้จึงยังไม่มีแผนการใดๆ
แต่ตอนนี้หารือกันก็ยังทันเวลา
“แล้วผู้อพยพที่อยู่ริมแม่น้ำเหล่านั้นเล่า?” ผู้ใหญ่บ้านกังวลเล็กน้อย
ฉินเหยาโบกมือ “ไม่เป็นไร ให้พวกเขารออีกสักครู่ ทางพวกเราจัดการให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน”
ดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลจึงรีบส่งชายหนุ่มที่คล่องแคล่วว่องไวสองคนไป เรียกคนจากทุกแต่ละบ้านมา เพื่อประกาศเรื่องการใช้ผู้อพยพสร้างถนน
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทุกบ้านต่างส่งตัวแทนมา ทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่ในศาลบรรพชน มีทั้งชายหญิง เด็กและผู้ใหญ่
เงินค่าสร้างถนนทางตระกูลจะเป็นผู้จ่ายส่วนใหญ่ โรงงานเครื่องเขียนของฉินเหยาเพิ่งจ่ายค่าเช่ามาห้าตำลึง แค่จัดหาอาหารเช้าและกลางวันสองมื้อก็นับว่าเพียงพอ
ฉินเหยาเองก็แสดงจุดยืนเช่นกัน ต่อไปขบวนรถม้าของโรงงานเครื่องเขียนจะใช้ถนนบ่อยที่สุด หากภายหลังขาดแคลนเงินทุน โรงงานเครื่องเขียนสามารถช่วยสนับสนุนได้
การบำรุงรักษาพื้นผิวถนน ทางโรงงานก็จะรับผิดชอบครึ่งหนึ่งเช่นกัน
“บ้านบรรพบุรุษสามหลังของบ้านข้าก็ว่างอยู่มิใช่หรือ ให้พวกเขาทำความสะอาดแล้วเข้าพักอาศัยชั่วคราว อย่างไรก็ดีกว่าบ้านดินที่ไม่มีหลังคาเหล่านั้น”
หัวหน้าตระกูลชูนิ้วโป้งให้เขาพลางกล่าวชื่นชมว่า “ต้าฝูช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก บ้านที่ให้กำเนิดใต้เท้าซิ่วไฉนี่ช่างแตกต่างจริงๆ พวกเราทุกคนต้องเรียนรู้จากเขาไว้บ้าง!”
หลังจากยกย่องหลิวต้าฝูแล้วก็กล่าวตักเตือนพวกหลิวฟาไฉอีกครั้ง
วันๆ เอาแต่คิดวางแผนเรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตใจคับแคบเท่ารูเข็ม การงานที่ควรทำก็ไม่ทำแม้แต่น้อย คิดแต่จะเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ
หลิวฟาไฉมองไปทางฉินเหยาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอยู่เสมอว่าคำพูดของหัวหน้าตระกูลนี้เป็นการพูดกระทบกระเทียบเขา ในเรื่องที่เขาไปบ้านฉินเหยาเพื่อขอให้เปิดชั้นเรียนสอนหนังสืออีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ตนเป็นคนออกหน้าแทนพวกเขา แต่ดูเอาเถิด กลับกลายเป็นว่าเขาถูกตำหนิว่าเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ เสียอย่างนั้น เขาจึงโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ
ฉินเหยาเพียงยิ้มๆ ไม่พูดอะไร
ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อีก ข้อเสนอเรื่องการสร้างถนนจึงผ่านมติเป็นเอกฉันท์
ต่อมาคือการหารือรายละเอียดต่างๆ เช่น ที่พักของผู้อพยพ ผู้รับผิดชอบดูแลและวิธีการสร้างถนน
ผู้อาวุโสทั้งหลายมีประสบการณ์เหลือเฟือ ต่างช่วยกันเสริมความคิดเห็น ฉินเหยาทำหน้าที่บันทึก ทุกคนหารือกันจนถึงพลบค่ำจึงเสร็จสิ้น
เชิงเขาทางทิศเหนือ ริมแม่น้ำสายเล็ก
คนทั้งยี่สิบสามคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่กำลังมองไปยังหมู่บ้านที่ไม่ไกลออกไปด้วยความกระวนกระวายอยู่บ่อยครั้ง
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีชายหนุ่มสิบหกคน สตรีที่แต่งกายอย่างสตรีออกเรือนแล้วสี่คน ยังมีเด็กโตอีกสามคน คือเด็กชายอายุสิบสามสิบสี่ปีสองคน และเด็กหญิงอายุราวสิบขวบหนึ่งคน ซึ่งก็คือฮวาเอ๋อร์นั่นเอง
“ฮวาเอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าฮูหยินผู้ใจดีท่านนั้นจะมา? แล้วคนเล่า? พวกเรารออยู่ที่นี่ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายแล้วนะ ตะวันกำลังจะตกดินแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน พวกเจ้าไม่ได้ถูกหลอกหรอกนะ?”
สตรีที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยถามเสียงเบา
พวกเขาล้วนมากันเป็นหน่วยครอบครัว บางกลุ่มเป็นสามีภรรยา บางกลุ่มเป็นพี่น้องผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพ่อกับลูกชายและกลุ่มพ่อกับลูกสาวด้วย
ผู้ที่สามารถอยู่ต่อและให้คนในครอบครัวกลับบ้านเกิดไปก่อนได้นั้นล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถติดตัวอยู่บ้าง ทั้งยังมีความคิดที่ยืดหยุ่นกว่า
แม้ว่าทุกคนจะรอมาตลอดบ่ายโดยไม่ได้ต่อว่าอะไรพ่อลูกฮวาเอ๋อร์ แต่เมื่อเห็นว่าฟ้ากำลังจะมืดแล้ว พวกเขาก็กังวลมากว่าพ่อลูกคู่นี้จะถูกหลอกลวง
อีกทั้งการทนหิวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี ตั้งแต่ออกจากภูเขามา แม้แต่ผลไม้ป่าที่เก็บสะสมไว้ก็กินหมดแล้ว
เดิมทีพวกเขายังสามารถหาของกินในภูเขาได้บ้าง แต่ตอนนี้ได้แต่ยืนรอคนอยู่ริมแม่น้ำ อาหารเย็นก็ยังไม่มีวี่แววเลย
เมื่อถูกสหายร่วมหมู่บ้านสงสัย ฮวาเอ๋อร์ก็เริ่มร้อนรนเล็กน้อย ทำได้เพียงอธิบายอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ฮูหยินท่านนั้นบอกให้พวกเรารอนางอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
ชายใบ้ตบศีรษะบุตรสาวเบาๆ ส่งสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องกังวลแล้วใช้ภาษามือบอกกับสหายร่วมหมู่บ้านอย่างหนักแน่นว่า รออีกหน่อยเถิด นางต้องมาแน่!
ทุกคนพยักหน้า ถ้าเช่นนั้นก็รออีกสักหน่อย ขอเพียงมีงานให้ทำจริงๆ การรอก็คุ้มค่า
ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ว เด็กหนุ่มทั้งสามคนหากิ่งไม้มาได้ก็ชวนฮวาเอ๋อร์ไปจับปลาที่ริมแม่น้ำด้วยกัน
ขณะที่เด็กทั้งสี่กำลังประลองปัญญาและกำลังกับปลาในน้ำที่เจ้าเล่ห์จนแทบจะกลายเป็นภูตพรายนั้น ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปโดยไม่รู้ตัว ม่านราตรีปกคลุมลงมา ท้องฟ้ามืดลงในชั่วพริบตา
สหายร่วมหมู่บ้านที่อยู่ข้างกายชายใบ้รอจนถึงตอนนี้ เดิมทีก็หมดหวังแล้ว กำลังจะจากไปอย่างผิดหวังอยู่ เด็กหนุ่มที่ริมฝั่งก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจระคนยินดี “ดูนั่น! มีแสงไฟ!”
ฮวาเอ๋อร์วิ่งพรวดพราดจากริมแม่น้ำขึ้นไปยังคันนาของหมู่บ้านพลางร้องตะโกนเสียงดังว่า “ฮูหยิน! ใช่ท่านหรือไม่เจ้าคะ ฮูหยิน!”
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉินเหยาถือคบเพลิงเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ด้านหลังตามมาด้วยอาวั่ง หลิวจ้ง หลิวฉี และชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
ที่มาช้าเช่นนี้ก็เพื่อรอคนงานที่เลิกงานด้วย เพราะอย่างไรเสีย ฉินเหยาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ การพบหน้ากันครั้งแรก ย่อมต้องนำชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านมาด้วยเพื่อคุมสถานการณ์
เมื่อเห็นใบหน้าที่แย้มยิ้มของฉินเหยาปรากฏขึ้นใต้แสงไฟ หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของพ่อลูกฮวาเอ๋อร์ก็วางลงได้ในที่สุด
MANGA DISCUSSION