ตอนที่ 294 เอาเปรียบไม่รู้จักพอ
………………..
ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงโรงงานเครื่องเขียนอย่างปลอดภัยในยามพลบค่ำ หลังจากยุ่งวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ฉินเหยาจึงกลับเข้าบ้านเมื่อฟ้ามืดสนิทแล้ว
ผู้ที่รอต้อนรับฉินเหยาคือเด็กๆ ทั้งสี่ที่ง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว แต่ยังคงฟุบรออยู่ที่ห้องโถงและอาวั่งที่เตรียมอาหารมื้อดึกไว้พร้อมแล้ว
“ท่านแม่!”
“น้าเหยา!”
เด็กๆ ทั้งสี่เมื่อเห็นนางก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที พวกเขาวิ่งออกมาอย่างดีใจ วนเวียนอยู่รอบตัวฉินเหยา คนโตช่วยปลดสัมภาระให้ ส่วนคนเล็กก็ช่วยตักน้ำล้างมือให้
ฉินเหยาล้างมือจนสะอาด สะบัดหยดน้ำบนมือแล้วลูบหัวพวกเขาทีละคน “สำนักศึกษาเปิดเรียนแล้วสินะ”
เด็กๆ ทั้งสี่พยักหน้า
“เช่นนั้นก็รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าจะตื่นไม่ไหว” ฉินเหยาผลักเด็กๆ ทั้งสี่เข้าห้องพวกเขาอย่างไปไร้ความปรานีแล้วปิดประตูลง
“ห้ามออกมานะ!” นางชี้ไปที่ประตูแล้วกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
เสียงตอบรับ “อ้อ~” อย่างจนใจของทั้งสี่คนดังแว่วมาจากในห้อง
ฉินเหยาถอนหายใจโล่งอก ไม่ใช่ว่าไม่ได้เจอกันมาหลายร้อยปีเสียหน่อย กระตือรือร้นเกินไปแล้ว
เมื่อมาถึงห้องโถง อาวั่งก็จัดเตรียมอาหารมื้อดึกไว้เรียบร้อยแล้ว เขายืนอยู่ข้างประตูด้วยท่าทางรอให้นางกินเสร็จก่อนแล้วค่อยเลิกงาน
อาวั่งก้มศีรษะเอ่ย “ฮูหยิน”
ฉินเหยาตบห่อผ้าที่เอวของตน แสดงความเสียใจต่ออาวั่งว่าไม่มีโอกาสได้ใช้เลย
นางนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร ซดน้ำแกงบะหมี่อันหอมกรุ่นเข้าไปคำหนึ่ง กินพลางถามว่า “นายท่านใหญ่ผู้หล่อเหลาองอาจเจ้าสำราญของเจ้าเล่า?”
มุมปากของอาวั่งกระตุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาหันกายมาหาฉินเหยาแล้วก้มหน้าตอบว่า “ประตูของอำเภอเปิดแล้ว นายท่านกลับไปสำนักศึกษาที่อำเภอแล้วขอรับ เพิ่งไปเมื่อวานนี้”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉินเหยามองมาจึงพูดต่อ
“ชั้นเรียนสอนหนังสือในโรงงานเปิดได้ครึ่งเดือน ตอนนี้เลิกไปแล้วขอรับ”
ฉินเหยาถามอย่างสงสัย “ผลของชั้นเรียนสอนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง”
อาวั่งตอบตามจริง “พอใช้ได้ขอรับ สอนการคำนวณพื้นฐานไปบ้างแล้ว ตัวอักษรก็เรียนไปหนึ่งร้อยตัว พอรู้ว่านายท่านจะกลับสำนักศึกษา ทุกคนต่างอาลัยอาวรณ์ หวังว่าชั้นเรียนสอนหนังสือจะเปิดต่อไปได้”
แต่หลิวจี้ก็ไม่ได้อยู่ต่อเพราะเหตุนี้ พอประตูเมืองเปิด เขาก็กลับสำนักศึกษาไปทันที
เมื่อได้เห็นความรุ่งโรจน์ของหลิวลี่ที่เป็นซิ่วไฉผู้นี้แล้ว ตอนนี้ในหัวของเขามีเพียงความคิดเดียวคือสอบให้ได้ซิ่วไฉ
ก่อนไป เขาขนหนังสือที่บ้านไปทั้งหมด บอกว่าจะเก็บตัวเรียนหนังสือ ให้่อาวั่งขับรถไปรับเขากลับมาจากอำเภอในวันหยุดพักผ่อนครั้งหน้า
ฉินเหยาเลิกคิ้ว ยังจำได้ว่าต้องสอบเอาตำแหน่ง ไม่เลว ไม่เลว
“จริงสิ เด็กๆ จากหมู่บ้านอื่นในชั้นเรียนสอนหนังสือ ไม่ได้กลับมาอีกใช่หรือไม่” ฉินเหยาอยากรู้ว่าหลิวจี้จัดการเรื่องราวเรียบร้อยดีหรือไม่ อย่าได้ทิ้งปัญหาไว้ให้นางเชียว
อาวั่งส่ายหน้าแล้วเอ่ยต่อว่า “ช่วงนี้มีชาวบ้านมาหลายคน ถามว่าท่านจะกลับมาเมื่อใด ข้าน้อยถามว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่ พวกเขาล้วนบอกว่าไม่มีแล้วก็จากไป น่าจะมาเพราะเรื่องชั้นเรียนสอนหนังสือขอรับ”
ห้าเหวินก็สามารถเรียนคำนวณเรียนรู้ตัวอักษรได้ ไม่มีอะไรจะคุ้มค่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ก่อนที่จะได้สัมผัสด้วยตนเอง ชาวบ้านก็ไม่กล้าคิดเรื่องเหล่านี้ แต่หลังจากเข้าร่วมชั้นเรียนสอนหนังสือไปครึ่งเดือนแล้ว จู่ๆ ก็หยุดไปพลันรู้สึกว่ายังไม่จุใจ
ได้ยินมาว่าในโรงงานเครื่องเขียนจะยังคงเปิดรุ่นที่สองรุ่นที่สามต่อไป ให้คนที่เรียนแล้วสอนคนที่ยังไม่ได้เรียน
แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านเล่า?
ชั้นเรียนราคาห้าเหวินนั้นหาไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้นจึงมีคนคิดให้โรงงานเปิดชั้นเรียนสอนหนังสือต่อไป ไม่ได้หวังว่าจะสอบได้ตำแหน่งอะไร เพียงแค่อยากวางพื้นฐานให้พวกเด็กๆ ปีหน้าจะได้ไปแข่งขันเพื่อชิงสิทธิ์เข้าเรียนโดยไม่เสียค่าเรียนที่สำนักศึกษาในเมือง
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนล้วนยินดีจ่ายค่าเล่าเรียนห้าเหวินต่อครึ่งเดือนต่อไป
หากไม่มีภูเขาลูกใหญ่อย่างการสอบชิงตำแหน่งกดทับอยู่บนศีรษะ หลิวจี้ก็คงอยู่ต่อแล้ว
การเป็นอาจารย์สอนหนังสือก็ใช่ว่าจะไม่ดี ในหมู่บ้านเองก็มีเด็กยี่สิบสามสิบคน คนหนึ่งเก็บเดือนละสิบเหวินก็จะได้เงินสองสามร้อยเหวินเข้ากระเป๋าแล้ว
น่าเสียดาย หลังจากออกไปเห็นโลกที่กว้างใหญ่ขึ้นแล้ว ตอนนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะออกไปข้างนอก!
ก่อนกลับสำนักศึกษา เพราะกลัวว่าเมื่อฉินเหยากลับมาจะว่าตนว่าจัดการเรื่องราวไม่เรียบร้อย หลิวจี้จึงปฏิเสธชาวบ้านไปแล้ว
แต่ทุกคนรู้ดีว่า ในบ้านนี้เขาพูดแล้วไม่อาจนับได้ นี่อย่างไรจึงเฝ้ารอฉินเหยากลับมา อยากจะขอร้องนางอีกครั้ง
วันที่สองหลังจากกลับมาบ้าน ตอนเช้าตรู่ ฉินเหยายังคงนอนหลับอยู่ ประตูเรือนก็ถูกเคาะเสียงดัง
อาวั่งส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษาแล้ว ในบ้านเงียบสงัด เป็นเวลาที่ดีที่จะงีบหลับต่อ จู่ๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่น ฉินเหยาจึงยากที่จะมีสีหน้าดีๆ ได้
นางเปิดประตูเรือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ชาวบ้านหลายคนที่อยู่หน้าประตูเห็นนางกวาดสายตาเย็นชามา หัวใจก็หยุดเต้นไปครู่หนึ่ง รู้สึกตกใจอยู่บ้าง คำพูดที่มาถึงปากก็ติดอยู่ในลำคอ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครึ่งค่อนวันก็พูดไม่ออก
ฉินเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก นวดขมับที่ปวดตุบๆ แล้วถาม “หลิวฟาไฉ พวกเจ้าต้องการอะไร”
จู่ๆ ถูกเรียกชื่อ หลิวฟาไฉพลันสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันได้เตรียมตัวก็ถูกชาวบ้านที่มาด้วยกันผลักไปอยู่ตรงหน้าฉินเหยา
“คือว่า คือว่า…” เมื่อเห็นสีหน้าของฉินเหยาแสดงความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลิวฟาไฉก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจเสี่ยงดวง “ผู้จัดการใหญ่ฉิน พวกเราอยากจะมาถามท่านว่า ชั้นเรียนสอนหนังสือในโรงงานยังจะเปิดอยู่หรือไม่ เด็กๆ ที่บ้านรอไปเรียนกันอยู่ขอรับ”
“ก่อนไปหลิวจี้ไม่ได้บอกพวกเจ้าให้ชัดเจนหรือ” ฉินเหยาถามกลับอย่างไม่พอใจ
หลิวฟาไฉหัวเราะแห้งๆ “นี่ไม่ใช่ว่ารู้กันหมดแล้วหรือว่าที่บ้านท่านเป็นผู้ตัดสินใจ” คำพูดนี้มีเจตนาประจบสอพลออยู่บ้างเพราะคิดว่าฉินเหยาชอบฟังคำยกยอปอปั้นแบบนี้
แต่กลับไม่รู้ว่า หลิวจี้ถูกตีถูกด่าที่บ้านนั้นนเป็นเรื่องในบ้าน เมื่อเผชิญหน้ากับคนนอก ฉินเหยามักจะรักษาท่าทีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ
“เขาเป็นอาจารย์ เขาพูดแล้วก็ถือเป็นที่สุด”
แววตาหลิวฟาไฉเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนไม่คิดว่าฉินเหยาจะช่วยพูดแทนหลิวจี้ แต่พอมาคิดอีกที คนเขาเป็นสามีภรรยากันย่อมสนิทสนมกันมากกว่าคนนอกอย่างพวกเขาอยู่แล้ว
“ไม่เปิดแล้วจริงๆ หรือขอรับ เช่นนั้นเด็กๆ จะทำอย่างไร นี่เก็บเงินไปแล้วจู่ๆ ก็ไม่เปิด มันดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนะขอรับ…” พูดถึงตรงนี้ หลิวฟาไฉก็จงใจหยุด ไม่พูดต่อ
แต่ความหมายนั้นชัดเจนมาก พวกท่านจะเก็บเงินแล้วไม่ทำงานไม่ได้นะ หากไม่ทำงาน ก็คืนเงินมา
เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ฉินเหยาก็แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลูกของบ้านเจ้า เจ้าก็ไปคิดหาวิธีเอาเองสิ เกี่ยวอะไรกับข้า ไม่ใช่ลูกของบ้านข้าเสียหน่อย”
เดิมทีก็เป็นชั้นเรียนสอนหนังสือที่โรงงานจัดให้คนงานอยู่แล้ว เพราะเห็นแก่หน้าผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลจึงให้เด็กๆ ในหมู่บ้านเข้าไปเรียนด้วยครึ่งเดือน แม้จะเก็บเงินไป แต่เงินห้าเหวินนี้ยังไม่พอค่าจัดหาสถานที่ของนางเลยด้วยซ้ำ ได้คืบจะเอาศอก พอได้แล้ว เอาเปรียบไม่รู้จักพอ!
พอเห็นฉินเหยาทำหน้าเย็นชา หลิวฟาไฉก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เรียกชาวบ้านอีกหลายคนแล้วจากไปอย่างไม่พอใจ
แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ เสียงบ่นอย่างไม่พอใจของเขาจึงดังมาจากในหมู่บ้านแต่ไกลว่า “มีอะไรน่าอวดดีนัก พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่จ่ายเงิน พวกเจ้าดูท่าทางนางสิ คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไร!”
คนข้างๆ บอกให้เขาเบาเสียงลงหน่อย ที่บ้านพวกเขายังมีคนทำงานในโรงงานเครื่องเขียนอยู่ หลิวฟาไฉยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น พอเดินไปถึงบ่อน้ำในหมู่บ้าน เห็นเด็กๆ กลุ่มหนึ่งก็พูดจาแดกดันว่า
“รู้จักแต่จะเล่นดินโคลน ไม่รู้หรือไรว่าพ่อแม่พวกเจ้าต้องยอมลดตัวไปอ้อนวอนผู้จัดการใหญ่เพื่อให้พวกเจ้าได้เรียนหนังสือน่ะ ไม่รู้ประสาเอาเสียเลย!”
“ท่านว่าใครน่ะ ว่าอาสะใภ้สามของข้าใช่หรือไม่!”
จินฮวาในกลุ่มคนกระโดดพรวดขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่แล้วชี้หน้าเขาถามเสียงดัง
หลิวฟาไฉหัวเราะเหอะๆ “ยัยเด็กนี่ ชี้หน้าลุงของเจ้ารึ!”
จินฮวาทำแก้มป่อง หยิบก้อนดินบนพื้นปาใส่ตัวเขา ปาเสร็จก็หันหลังวิ่งตรงไปยังโรงงานเครื่องเขียนทันที
วิ่งพลางก็หันกลับไปมอง พอเห็นหลิวฟาไฉไม่กล้าตามมาก็แลบลิ้นใส่เขา “แบร่~” พลางทำหน้าทะเล้นใส่ ทั้งยังรู้สึกว่าไม่พอ วิ่งเข้าไปในโรงงานเครื่องเขียนฟ้องท่านป้าใหญ่บอกว่าหลิวฟาไฉรังแกนาง
นางชิวมีนิสัยอ่อนโยน เด็กหญิงตัวน้อยรู้ว่าต้องไปหาใครจึงจะได้ผล
นางเหอคว้าตะหลิวอันใหญ่พรวดพราดออกมาทันที ทำให้หลิวฟาไฉตกใจจนรีบวิ่งหนีกลับบ้านแทบไม่ทัน
นางเหอหัวเราะเยาะหยัน ถ่มน้ำลายตามหลังหลิวฟาไฉอย่างแรง “ถุย! เป็นตัวอะไรกัน!”
ฉินเหยาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากลานหน้าบ้าน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พี่สะใภ้ใหญ่ช่างทรงพลังยิ่งนัก!
………………..
MANGA DISCUSSION