ตอนที่ 269 ความหวังของทั้งหมู่บ้าน
………………..
ตามความคิดของฉินเหยา รูปแบบขบวนรถม้าที่ดีที่สุดคือให้ครึ่งหนึ่งประจำการ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเคลื่อนที่อิสระ
หลิวเฝยยกมือขึ้น “อะไรคือเคลื่อนที่อิสระ”
ฉินเหยาอธิบาย “ก็คือพวกที่ไม่ประจำการ”
ทุกคนพยักหน้า เข้าใจแล้ว
หลิวจ้งถาม “เช่นนั้นพวกที่ประจำการหมายถึงรถม้าที่เราจะเช่าไว้ใช้นานๆ ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เช่า” ฉินเหยาส่ายหน้า “แต่เป็นซื้อ”
อีกทั้งยังต้องซื้อรถม้าทั้งหมด เพราะม้ามีความอึดดี ความเร็วก็สูง เวลาขนส่งระยะไกลย่อมสะดวกยิ่งกว่าเกวียนวัวมากนัก
เกวียนวัวนั้นบ้านของฉินเหยาเองก็มีอยู่เล่มหนึ่ง สามารถให้โรงงานเครื่องเขียนเช่าใช้ได้ การจัดซื้อประจำวันที่ระยะทางใกล้ๆ เกวียนวัวเล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราต้องซื้อรถม้ากี่คัน” หลิวไป่ถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ดูแลส่วนการขนส่งอยู่ อีกทั้งฟังความหมายของน้องสะใภ้สามแล้ว วันหน้าพวกเขายังต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าถึงหน้าประตูบ้าน
สถานที่นอกอำเภอไคหยาง สำหรับคนในหมู่บ้านแล้วเป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการออกมาได้ นอกจากความตื่นเต้นแล้วก็ยังมีความกังวล
ทว่าฉินเหยาบอกพวกเขาว่า นางจะเป็นผู้นำขบวนด้วยตนเองเพื่อทำงานขนส่งสำหรับคำสั่งซื้อรายการนี้ให้สำเร็จ เมื่อมีนางเป็นผู้นำ หลิวไป่กับหลิวเฝยก็พลันวางใจ ก้นที่เพิ่งขยับลอยจากม้านั่งเล็กน้อยพลันนั่งลงเต็มก้นทันที
ฉินเหยากล่าว “หีบหนังสือพลังเซียนกินพื้นที่มาก แน่นอนว่าไม่สามารถใช้ตัวรถม้าหรือแผ่นรองแบบธรรมดาได้ พวกเราต้องเปลี่ยนเป็นรถแบบมีส่วนพ่วงท้าย เช่นนี้จึงจะบรรทุกได้มากขึ้น”
“ตามกำลังบรรทุกของรถพ่วงหนึ่งคัน ขบวนขนส่งจำเป็นต้องคงกำลังการขนส่งไว้ที่รถม้าสิบถึงสิบห้าคันตลอดทั้งปี แต่การซื้อรถม้าสิบห้าคันในคราวเดียวสำหรับพวกเราที่เพิ่งเริ่มต้นนั้น ต้นทุนค่อนข้างสูง”
“ดังนั้น โรงงานของเราจะซื้อรถม้าเองเจ็ดคัน ส่วนที่เหลือให้เลือกทำสัญญาเช่าระยะยาวกับสารถีในบริเวณใกล้เคียงที่มีรถม้า”
“รูปแบบความร่วมมือก็มีให้เลือกหลายแบบ อาจเป็นแบบเหมาปี หรือเหมาเดือนก็ได้ หรือจะคิดตามจำนวนครั้งก็ได้ ค่อนข้างอิสระและยืดหยุ่น”
ผู้ใหญ่บ้านถามฉินเหยาอย่างสงสัย “เช่นนั้นรถม้าบ้านข้าสามารถมาช่วยขนของที่โรงงานของเราได้หรือไม่”
ฉินเหยายิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอนว่าได้ สัญญาเช่าเหล่านี้คนในหมู่บ้านของเราก็มาลงนามได้”
ผู้ใหญ่บ้านดีใจ รีบถามต่อ “เช่นนั้นค่าเช่ารายปีกับรายเดือนเป็นเงินเท่าใด”
ฉินเหยากล่าว “คิดตามราคาตลาด วันนี้ข้าส่งหลิวจี้ออกไปสืบราคาแล้ว ถึงเวลาข้าจะเขียนป้ายราคาแขวนไว้ก็จะชัดเจนในทันที”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างยินดี “ดีๆๆ ข้าเชื่อเจ้า เก็บไว้ให้พ่อของเจ้าหลิวฉีบ้านข้าก่อนฉบับหนึ่งได้หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้ารับแล้วส่งสัญญาณให้หลิวไป่จดบันทึกรถม้าของบ้านผู้ใหญ่บ้านไว้ ให้สิทธิ์ไปก่อนหนึ่งสิทธิ์
ทว่าฉินเหยาก็กล่าวคำที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน เมื่อเข้าร่วมขบวนรถม้าของนางแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของขบวนรถม้าของนาง ปฏิบัติตามมาตรฐานที่นางกำหนด
ตัวอย่างเช่น ภายหลังเมื่อจัดตั้งขบวนรถม้าขึ้นแล้ว นางจะต้องจัดการฝึกอบรมการคุ้มกันในป่าให้แก่เหล่าสารถีก่อนล่วงหน้า เป็นต้น
เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี ใครบ้างไม่รู้ว่าฉินเหยามีความรู้กว้างขวาง นางยินดีสอน พวกเขาย่อมต้องตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน!
“หากพ่อของเขาเรียนได้ไม่ดี เจ้าก็บอกข้ามาได้เลยนะ ดูสิว่าข้าผู้เฒ่าจะจัดการเขาอย่างไร!” ผู้ใหญ่บ้านตบอก กำชับฉินเหยาด้วยเสียงดังฟังชัด
หลิวฉีเกาหัว แอบเช็ดเหงื่อเย็นให้บิดาแท้ๆ ของตน
เรื่องขบวนรถม้าก็ผ่านมติเป็นเอกฉันท์ ฉินเหยาสอบถามทุกคนว่ายังมีปัญหาอื่นอีกหรือไม่
ทุกคนต่างส่ายหน้า ตอนนี้แค่เรื่องเหล่านี้ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขายุ่งจนตายแล้วจึงไม่กล้าเสนอคำถามขึ้นมาอีก
“ในเมื่อทุกคนไม่มีปัญหาแล้ว เช่นนั้นการประชุมย่อยของพวกเราในวันนี้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้”
ฉินเหยาลุกขึ้นยืน ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นเช่นกันและกล่าวอย่างจริงจังว่า “เลิกประชุม!”
ทุกคนที่ยืดตัวตรง พอได้ยินคำว่า “เลิกประชุม” สองคำนี้พลันรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว แต่ละคนล้วนผ่อนคลายร่างกายลงอย่างเกียจคร้าน
พอดีกับที่ด้านหน้ามีเสียงเรียกให้กินข้าวเที่ยงแล้ว ทุกคนจึงพากันแยกย้ายไป
ฉินเหยากำชับหลิวจ้งว่าอีกครู่หลังกินข้าวเสร็จให้มาเบิกค่าใช้จ่ายในการซื้อรถม้ากับตน หลิวจ้งรับคำอย่างยินดี รีบคว้าตัวหลิวฉีที่กำลังรีบไปกินข้าวไว้ ให้เจ้าเด็กนี่ช่วยตนคำนวณว่าซื้อรถม้ามากขนาดนั้นจะต้องใช้เงินเท่าใด
ฉินเหยาเชิญผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลไปกินอาหารง่ายๆ ด้วยกันที่ลานว่างด้านหน้า ผู้เฒ่าทั้งสองโบกมือ บอกว่าพวกเขาเพิ่งกินไปเมื่อเช้า ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลย
ฉินเหยาจึงเดินเป็นเพื่อนผู้เฒ่าทั้งสองกลับหมู่บ้านช้าๆ ถือโอกาสสอบถามเรื่องที่จะต้องไปลงทะเบียนแจ้งทางการด้วย
นี่เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก หากจัดการไม่เรียบร้อย ทางการก็มีเหตุผลนับหมื่นที่จะสั่งปิดโรงงานเครื่องเขียนของนาง หรือเรียกเก็บภาษีจิปาถะในราคาสูงลิ่ว
แม้ว่าฉินเหยาจะรู้สึกว่าตอนนี้นายอำเภอไคหยางคงไม่ทำเช่นนี้ แต่บ่อยครั้งคนที่ทำเรื่องเหล่านี้กลับเป็นพวกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่ไม่สะดุดตาที่สุดในที่ว่าการอำเภอ
ผู้เฒ่าในหมู่บ้านมักกล่าวว่า “พญายมพบง่าย ผีน้อยนั้นรับมือยาก”
สำหรับชาวบ้านระดับล่างแล้ว อำนาจเพียงน้อยนิดที่อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย เช่น การเร่งรัดเก็บภาษีและการจับกุมก็เพียงพอที่จะกดขี่ชาวนาธรรมดาแทบตายแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านบอกฉินเหยาว่าไม่ต้องกังวล เพียงแค่ดำเนินกิจการโรงงานเครื่องเขียนต่อไปก็พอ เขาได้ไปบอกกล่าวกับทางหลี่เจิ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว
ส่วนเรื่องการไปแจ้งที่ทางการ ตอนนี้ยังไม่รีบ เพราะตอนนี้ยังเข้าเมืองไม่ได้เลย
“รอให้พวกผู้อพยพสลายตัวไปก่อนแล้วค่อยไปลงทะเบียนที่ทางการก็ได้” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวพลางยิ้ม “ถึงตอนนั้นข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
ฉินเหยาไม่คิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะช่วยไปบอกกล่าวกับทางหลี่เจิ้งไว้ล่วงหน้า จึงทั้งประหลาดใจและซาบซึ้งเล็กน้อย
ในวินาทีนี้ นางรู้ว่าภาพอนาคตอันงดงามที่พวกเขาวาดฝันไว้ด้วยกันก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่กำลังมุ่งหน้าไปหามันอยู่ตลอด
ถึงทางแยกแล้ว ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลส่งสัญญาณให้ฉินเหยาไม่ต้องไปส่งแล้ว ให้ไปทำธุระของตนเองเถิด ก่อนจากกัน ผู้เฒ่าทั้งสองยังกำชับฉินเหยาด้วยความยินดี “ตั้งใจทำให้ดีนะ”
หากผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ในยุคปัจจุบัน เวลานี้คงจะกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า…เจ้าคือความหวังของทั้งหมู่บ้านเรา!
ฉินเหยาพยักหน้ารับหนักๆ มองส่งผู้เฒ่าทั้งสองเดินจากไปไกลแล้วก็หันกายเดินกลับบ้าน
หลิวจี้ไม่อยู่บ้าน เด็กสี่คนในบ้านก็ออกไปวิ่งเล่นซนอยู่ข้างนอก ในลานบ้านจึงว่างเปล่า
ฉินเหยาไขกุญแจห้องเก็บของ หยิบชามาสองกล่อง และหยิบของแห้งที่นำกลับมาจากทางเมืองหลวงของมณฑลอีกเล็กน้อย นำไปส่งที่บ้านผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล
เพียงครู่เดียว ผู้เฒ่าทั้งสองก็ลงไปทำนาอีกแล้ว ฉินเหยามอบของให้แก่คนในบ้านของพวกเขา ตอนเดินผ่านริมนาได้บอกกล่าวกับผู้เฒ่าทั้งสอง ทำให้ทั้งสองยินดีจนยิ้มไม่หุบ
รู้ว่าฉินเหยามาขอบคุณที่พวกเขาไปบอกกล่าวกับทางหลี่เจิ้งให้ก็ไม่ได้เกรงใจนางอีก
หัวหน้าตระกูลยังกล่าวติดตลกว่า “แก่แล้ว ฟันฟางไม่ดีแล้ว คราวหน้าอย่าลืมเอาขนมนุ่มๆ มาบ้างเล่า!”
“เจ้าคนนี้นี่ เหยาเหนียงอุตส่าห์มีน้ำใจ เจ้ายังจะเหลิงได้ใจไปกันใหญ่!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างดูแคลน
หัวหน้าตระกูลหัวเราะฮ่าๆ ฟันในปากร่วงไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย เห็นฉินเหยายังยืนอยู่ริมทางมองดูพวกเขาสองผู้เฒ่าหัวเราะก็รีบหุบยิ้ม โบกมือไล่นางไป
ฉินเหยาพยักหน้าอย่างขบขัน ลับหลังคนในตระกูล ผู้เฒ่าทั้งสองช่างทำตัวเหมือนเด็กน้อย ไร้ซึ่งท่าทีน่าเกรงขามในวันวาน
ตอนที่ฉินเหยากลับมาถึงโรงงาน ทุกคนกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ต่างจับกลุ่มนั่งพักผ่อนกันเป็นกลุ่มๆ บนลานว่าง
นางเหอเก็บข้าวกับข้าวไว้ให้นางครึ่งไห ฉินเหยาอุ้มไหไปนั่งกินอยู่ข้างๆ อวิ๋นเหนียงก็รีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วปรึกษาเรื่องที่ตกหล่นไปในการประชุมเมื่อครู่…สายสะพายหีบหนังสือยังมิได้ตกลงกันให้เรียบร้อยเลย!
………………..
MANGA DISCUSSION