ตอนที่ 264 ผักสดมีพอให้กิน
………………..
ซื่อเหนียงไม่สนใจกิจกรรมยิงนกของพวกเด็กผู้ชายเหล่านั้นจึงดึงจินฮวาเข้าไปหลบหลังรถม้า
นางชี้ไปยังห่อเล็กห่อใหญ่บนรถแล้วมองพี่สาวอย่างคาดหวังพลางกล่าว “พี่จินฮวา ข้าเอาโคมดอกไม้มาฝากท่าน ยามค่ำคืนวางไว้บนหัวเตียงจะงดงามเป็นพิเศษ ท่านก็ไม่ต้องกลัวเวลาตื่นกลางดึกแล้วด้วย”
จินฮวาเผยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี เป็นดังที่นางคาดหวังไว้จริงๆ “ซื่อเหนียง เจ้าคือพี่น้องที่ดีที่สุดของข้า!”
ซื่อเหนียงหัวเราะคิกคักเผยให้เห็นฟันขาวซี่เล็ก สองพี่น้องกอดกันกลมทันที สนิทสนมกันยิ่งนัก
หลิวเฝยตบแขนของหลิวจี้เบาๆ หลิวจี้ที่กำลังคุยโม้กับหลิวไป่และหลิวจ้งอยู่จึงหันกลับมายิ้ม “มีเรื่องอะไร”
หลิวเฝยทำหน้าจริงจัง “พี่สาม ท่านอย่าเสียใจไปเลย”
หลิวจี้ฉีกยิ้มกว้าง เจ้าดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มเต็มที่ของข้านี่สิ เหมือนคนกำลังเสียใจรึ
หลิวเฝยรู้สึกว่าเขากำลังฝืนยิ้ม พยายามทำสีหน้าให้ดูน่าไม่สงสารจนเกินไปจึงพูดเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่งว่า “ปีนี้สอบไม่ติด ปีหน้าย่อมติดได้แน่ หลิวลี่อ่านตำรามาสิบกว่าปี ท่านเพิ่งอ่านได้เพียงไม่กี่วัน เทียบไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”
รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของหลิวจี้ คราวนี้เขาเศร้าจริงๆ แล้ว เศร้าจนอยากจะฉีกปากของเจ้าหลิวเฝยนี่ทิ้งเสียจริงๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย!
พอเห็นว่าใบหน้าของหลิวจี้ไร้รอยยิ้ม หลิวเฝยก็รีบชี้นิ้วไปยังใบหน้าที่บึ้งตึงของเขา “ท่านดูสิ ยังจะบอกว่าไม่เสียใจอีก พี่สาม ทั่วทั้งตัวท่านมีแต่ปากนี่แหละที่แข็งที่สุด”
ปลายหูของฉินเหยาขยับเล็กน้อยคล้ายได้ยินเสียง “กรอด กรอด” ของการกัดฟัน จึงหันกลับไปมองอย่างสงสัย เห็นหลิวจี้ขบกรามแน่น ดวงตาทั้งสองถลึงกว้าง จ้องเขม็งไปยังหลิวเฝย ประกายไฟแห่งความโกรธาลุกโชนอยู่ในดวงตา
หลิวเฝยไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงกำชับพี่สามของเขาว่าอย่าคิดมาก คนอื่นสอบได้เป็นเรื่องของเขา พวกเราสอบไม่ได้ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ อะไรทำนองนั้น
ทุกประโยคไม่ได้เอ่ยถึงการสอบตก แต่ทุกคำกลับทิ่มแทงเข้าไปในใจของหลิวจี้
“ไปเถิด พวกเรากลับบ้านไปเก็บสัมภาระก่อนแล้วค่อยมาใหม่” ฉินเหยาตะโกนขึ้นมาในจังหวะที่เหมาะสม มิฉะนั้นนางกลัวว่าพี่น้องคู่เวรคู่กรรมคู่นี้จะตีกันตรงนั้น
จากไปเกือบหนึ่งเดือน ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฉินเหยานั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับรถม้าแล้วหันมองกลับไป ยามค่ำคืนฟ้ามืดสนิท มองเห็นผู้คนได้ไม่ชัดเจน แต่เสียงแสดงความห่วงใยและทักทายอันคุ้นเคยเหล่านั้นชวนให้ใจรู้สึกอบอุ่น พลันทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมลายหายไปสิ้น
ต้าหลางและเอ้อร์หลางยืนอยู่คนละฝั่ง ผลักเปิดประตูบ้านที่ปิดสนิท ประตูไม้ก็เปิดออก ส่งเสียงดังเอี๊ยด
ลานบ้านอันคุ้นเคยปรากฏสู่สายตา ทั้งหกคนในครอบครัวยืนอยู่หน้าประตู แล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“ถึงเสียที!” ฉินเหยาก้าวข้ามธรณีประตูสูงเข้าบ้านไป สูดอากาศแสนคุ้นเคยเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ “นี่สิถึงจะเรียกว่าถึงบ้านจริงๆ”
จากนั้นก็จุดไฟในบ้าน คนทั้งหกในครอบครัววิ่งวุ่นทั้งในและนอกบ้าน ลานเล็กๆ ที่เงียบสงบมานานพลันกลับมามีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็ว
ฉินเหยารับผิดชอบขนของลงจากรถม้าและให้อาหารม้า ส่วนหลิวจี้และลูกๆ ทั้งสี่คนก็ขนสัมภาระเข้าบ้าน เลือกของขวัญที่จะมอบให้ผู้อื่นออกมาวางไว้ข้างๆ ก่อน เดี๋ยวตอนไปกินข้าวที่เรือนเก่าจะได้นำไปด้วย
ในลานบ้านไม่มีคนอยู่นานถึงเพียงนี้จึงสะสมฝุ่นไว้ชั้นหนึ่งแล้ว โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งในบ้านก็เช่นกัน พอแตะดูก็มีฝุ่นจับเป็นชั้น หลิวจี้คิดจะเก็บกวาดสักหน่อย เดินมาดูโอ่งน้ำใหญ่ข้างครัว ออกจากบ้านไปคราวก่อนลืมปิดฝาโอ่ง ตอนนี้ข้างในจึงมีแต่หญ้าเน่าที่ปลิวมาจากนอกลาน ใช้ไม่ได้เลย
จำต้องพับแขนเสื้อขึ้น หาไม้ปัดขนไก่มาปัดฝุ่นในบ้านไปก่อน
ฉินเหยาจอดรถม้าเรียบร้อย ให้อาหารม้าจนอิ่มก็ตรวจดูยุ้งฉางไปพลาง เปิดประตูหน้าต่างทุกห้องออกเพื่อระบายอากาศไปพลาง
ยุ้งฉางอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหาย ธัญพืชข้างในก็แห้งดี ใจที่แขวนอยู่ของฉินเหยาจึงวางลงได้เสียที
ตรวจสอบห้องเก็บของเสร็จก็ปิดประตูห้องอีกครั้ง แบกจอบแล้วเดินออกจากบ้านไปเข้าส้วม
พลังชีวิตของหญ้าป่านั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพียงแค่เดือนเดียวที่ไม่ได้จัดการ เนินด้านหลังนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้ารกจนหมดสิ้น
โชคดีที่นางมองการณ์ไกลนำจอบมาด้วยจึงไปถึงส้วมได้อย่างราบรื่น
เกวียนวัวจอดอยู่ที่เรือนเก่า หลิวไป่เป็นผู้รับผิดชอบมาโดยตลอด ปกติจะใช้ส่งเด็กๆ ไปโรงเรียน หรือไม่ก็ใช้ลากของในโรงงานเครื่องเขียนล้วนต้องใช้มันทั้งสิ้น
รอจนฉินเหยากลับมาจากส้วม ฝุ่นในบ้านก็ถูกห้าพ่อลูกปัดกวาดไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาบ้าง
“ไปเถอะ” ฉินเหยาตบมือ ไม่มีน้ำล้างมือก็ไม่ต้องพิถีพิถันแล้ว “ไปกินข้าวที่เรือนเก่าก่อน กินเสร็จแล้วกลับมาค่อยๆ เก็บกวาด”
แต่แผ่นแป้งย่างที่ทั้งแข็งทั้งแห้ง จะเทียบกับอาหารร้อนๆ สดใหม่ได้อย่างไรเล่า
พวกเขาจึงรีบพยักหน้าโดยพลัน พวกต้าหลางสี่พี่น้องนำของขวัญที่จะมอบให้ทุกคนในเรือนเก่าติดตัวไปด้วย ส่งเสียงอู้อี้แล้วพุ่งออกจากประตูบ้านไป
หลิวจี้ถือโคมไฟตามไปด้านหลังพลางตะโกน “เจ้าพวกตัวแสบ หยุดเดี๋ยวนี้นะ! หกล้มแล้วรับรองพวกเจ้าได้ร้องไห้แน่!”
มุมปากของฉินเหยาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ยกถังน้ำขนาดใหญ่พิเศษของบ้านขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อนแล้วลงกลอนประตู ก่อนจะค่อยๆ เดินตามไป
เอาถังน้ำไปด้วย ขากลับจะได้แวะตักน้ำกลับมา เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ไม่มีอารมณ์จะอาบน้ำเลย แต่หากไม่อาบอีก ฉินเหยารู้สึกว่าลมที่พัดผ่านร่างของตนคงมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวออกมาเป็นแน่
วางถังไม้ไว้ข้างประตูเรือนเก่า ฉินเหยามองไปยังห้าพ่อลูกที่กำลังแจกของขวัญให้ทุกคนอยู่ในโถงกลางบ้านแวบหนึ่ง ก็ยิ้มบางๆ แล้วเดินไปยังห้องครัว ล้างมือเสร็จก็ตรงเข้าไปที่หน้าเตาทันที
“มองอันใดรึ เมืองหลวงของมณฑลใหญ่โตปานนั้นยังไม่พอให้เจ้าดูอีกรึ ถึงมาดูบะหมี่น้ำใส่ไข่ของข้านี่” นางเหอเอ่ยหยอกล้อ
ฉินเหยาเข้าไปใกล้หม้อ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้กินอาหารร้อนๆ ปกติมาหลายวันติดต่อกัน กลิ่นนั้นหอมจนนางอยากจะมุดหัวเข้าไปกินให้หนำใจ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ฝีมือทำอาหารของท่านนี่ไปเป็นพ่อครัวหลักในโรงเตี๊ยมใหญ่ๆ ได้สบายเลยนะ” ฉินเหยายิ้มชม
“ไปๆๆ!” นางเหอรำคาญว่านางเกะกะจึงดันนางไปด้านข้าง “เจ้าเอาถ้วยตะเกียบออกมา ใกล้จะเสร็จแล้ว จะยกไปกินในบ้านหรือกินที่ลานเล่า”
ในลานเย็นสบาย ในบ้านก็สว่างไสว ต่างก็มีดีกันคนละอย่าง
แต่ฉินเหยาตัดสินใจว่าจะกินในลาน ใกล้จะถึงเดือนหกแล้ว ลมในหุบเขาเริ่มมีความร้อนอบอ้าว พอบะหมี่ร้อนๆ นี่ลงท้องไป ต้องเหงื่อไหลท่วมตัวเป็นแน่
เดินเตร่ไปทางเขียงในครัว เห็นผักสดสีเขียวในตะกร้า ดวงตาของฉินเหยาก็พลันเปล่งประกาย รีบร้องบอกพี่สะใภ้ใหญ่ว่าให้รอสักครู่ค่อยตักออกจากหม้อ รอให้นางใส่ผักสดลงไปก่อน
“ตลอดทางกลับมานี่พวกเจ้ากินอะไรกันแน่?” นางเหอถามอย่างสงสัย
แค่ผักสดกำมือเดียว ไฉนต้องทำสีหน้าเหมือนผีตายอดตายอยากมาเกิดเช่นนี้ด้วย?
ฉินเหยาล้างผักอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกท่านไม่รู้หรอก ข้างนอกนั่นขอเพียงเป็นของที่กินได้ หญ้าก็ยังถูกเก็บไปจนหมดสิ้น ตลอดทางที่พวกข้ากลับมานี้ ไม่ได้กินผักแม้แต่ใบเดียว”
นางชิวใช้ผ้าห่อร่างต้าเหมาที่ตื่นแล้วสะพายไว้ข้างหลังก่อนจะเข้ามาช่วยในครัว ได้ยินคำพูดนี้ของฉินเหยาก็สบตากับนางเหอทีหนึ่งแล้วจุ๊ปากออกมาสองครั้ง ช่างน่าอนาถเกินไปแล้ว
ทั้งยังรู้สึกยินดีที่บ้านตนเองกักตุนธัญพืชไว้เพียงพอแต่เนิ่นๆ ต่อให้กินอย่างเต็มที่ ก็ยังคงเหลืออีกมาก
ข้าวสาลีหนึ่งพันจินที่ซื้อมาก่อนหน้านี้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แตะต้อง เก็บไว้ในยุ้งฉางมาโดยตลอด
นางเหอสงสารจึงกล่าวกับฉินเหยาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ล้างผักเพิ่มอีกสักหลายๆ ใบเถิด แปลงผักที่บ้านมีผักสดพอให้กิน พวกเราไม่ต้องประหยัดหรอก”
………………..
MANGA DISCUSSION