ตอนที่ 260 ดื่มสุรา เล่นไพ่ ทั้งยังด่าแม่
………………..
เมื่อเห็นพวกผู้คุ้มกันลังเล ฉีเซียนกวนก็โกรธจนพูดไม่ออก
แต่ฉินเหยามีบุญคุณช่วยแก้สถานการณ์ให้พวกเขาและหลิวจี้ก็เป็นสามีของนาง อย่างไรก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง
เขาจึงฝืนทนระงับความโกรธ เตือนหลิวจี้ว่าของขวัญขอบคุณที่สมควรให้ เขาจะไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย แต่ขอให้เขาอย่าได้เอ่ยถึงความต้องการไร้เหตุผลอย่างการกราบเป็นศิษย์ของอาจารย์ตนอีก
หลิวจี้หาได้สนใจเขาไม่ เด็กกะโปโลผู้นี้พูดแล้วไม่นับ
ทำเพียงจ้องไปที่กงเหลียงเหลียวผู้ซึ่งมิได้เอ่ยวาจาตั้งแต่ต้นจนจบตาแป๋ว เขาปล่อยให้ศิษย์ของตนโมโหจนแทบเสียสติ ส่วนตนเองก็เอาแต่ดื่มโจ๊กดูงิ้วนิ่งๆ
ฉีเซียนกวนมั่นใจยิ่งนักว่าท่านอาจารย์ไม่มีทางชอบคนบ้านป่าไร้ยางอายเช่นหลิวจี้ผู้นี้ จึงยืดอกขึ้นอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
กงเหลียงเหลียวซดโจ๊กจนหมดชามอย่างเนิบนาบ เมื่อวางชามโจ๊กลงแล้วจึงช้อนสายตาขึ้นมองหนึ่งร่างใหญ่และอีกหนึ่งร่างเล็ก ปกปิดแววล้อเลียนในดวงตาเอาไว้แล้วเอ่ยปากว่า “พวกเจ้า…”
“หลิวจี้!”
นอกกระโจมพลันมีเสียงเย็นเยียบถามขึ้น “อาหารเช้าที่ข้าให้เจ้าทำเล่า?!”
ทุกคนในกระโจมหันขวับไปมองหลิวจี้ที่ยังคงกำชายแขนเสื้อกงเหลียงเหลียวไว้ไม่ยอมปล่อย เห็นเพียงคนที่เมื่อครู่ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ ปล่อยมืออย่างรวดเร็วราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เขายกชายเสื้อบัณฑิตที่เกะกะขึ้นแล้วพุ่งพรวดออกไปนอกกระโจม
ความเร็วนี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก เห็นเพียงเงาร่างที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงรางๆ เกรงว่าหากช้าไปเพียงครึ่งก้าวจะต้องประสบกับหายนะครั้งใหญ่หลวง
กงเหลียงเหลียวรู้สึกเพียงมีลมกระโชกผ่านหน้าไป พอลืมตาอีกขึ้นครั้ง คนก็หายไปแล้ว เรื่องสนุกก็หมดลงไปด้วย
นอกกระโจมมีเสียงของหลิวจี้ที่ฟังดูขันแข็งทั้งยังเอาอกเอาใจดังแว่วมา “เมียจ๋า อาหารเช้าอยู่นี่แล้ว อยู่นี่! ข้ายกหม้อมาทางสหายสือโถวเพื่อเรียนทำอาหารกับเขา กระดูกชิ้นใหญ่ก็กำลังต้มอยู่ เด็กๆ ตื่นแล้วหรือยัง”
“อ้อๆ ตื่นแล้วรึ ข้าจะตักอาหารเช้ามาเดี๋ยวนี้ เมียจ๋ากินเยอะๆ หน่อยนะ พอกินอิ่มแล้วพวกเราค่อยออกเดินทางกันต่อ”
“แต่ว่าเมียจ๋า ตอนเจ้าโกรธนี่ดูดีที่สุดเลย…”
เดิมทีเขาคิดว่าหลิวจี้ประจบสอพลออาจารย์จนน่ารำคาญ แต่ไม่คิดว่าพออยู่ต่อหน้าภรรยา เขาจะ…นอบน้อมถึงเพียงนี้
ช่างสะใจและน่าขันจริงๆ!
อาจารย์เกลียดบุรุษที่ไร้ความทะนงตนเป็นที่สุด พอคิดถึงตรงนี้ ฉีเซียนกวนก็รีบมองดูสีหน้าของอาจารย์อย่างรวดเร็ว
เดิมที่คิดว่าท่านอาจารย์จะแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
คาดไม่ถึงเลยว่า มุมปากของอาจารย์กลับยกขึ้นเล็กน้อยราวกับพบเจอเรื่องอะไรสนุกๆ เข้า?
เป็นไปไม่ได้!
เขาต้องตาฝาดไปแน่!
ฉีเซียนกวนส่ายหัวแรงๆ มองไปยังใบหน้าของอาจารย์อีกครั้ง อืม เย็นชา เฉยเมย ดูแคลนทุกสิ่ง นี่สิถึงจะเป็นอาจารย์ที่เขารู้จัก เมื่อครู่นี้คงตาฝาดไปจริงๆ
ตบอกเบาๆ เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ณ มุมกำแพงลานศาลเจ้า
ครอบครัวฉินเหยาทั้งหกคนนั่งล้อมวงกินอาหารเช้าอยู่หน้าประตูกระโจม กินแผ่นแป้งย่างคำหนึ่ง ซดน้ำแกงกระดูกไปคำหนึ่ง รสชาติอร่อยกลมกล่อมอย่างยิ่ง
ซานหลางชอบกินของนิ่มๆ จึงฉีกแผ่นแป้งย่างเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ลงไปในน้ำแกง ใช้ช้อนไม้ตักเข้าปากคำใหญ่ๆ กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ แค่มองดูก็ชวนให้รู้สึกว่าหอมอร่อยแล้ว
“เจ้าไปทำอะไรทางนั้น” ฉินเหยากระซิบถาม
หลิวจี้กัดแผ่นแป้งย่าง แต่ตากลับจ้องไปยังกระโจมฝั่งตรงข้ามตาไม่กะพริบ
เมื่อครู่หลิวลี่และติงซื่ออยากจะเข้าไปคารวะท่านกงเหลียงเหลียว แต่ไม่อาจเข้าไปได้ ทำให้รู้สึกว่าความหวังที่ตนจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์มหาบัณฑิตนั้นมีสูงมาก
“พวกเราช่วยพวกเขาไว้ จะช่วยเปล่าๆ ได้อย่างไร ข้าย่อมต้องไปหาผลประโยชน์อะไรบ้างสิ” หลิวจี้พึมพำเสียงเบา
ฉินเหยาถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง กำลังคิดจะต่อว่าเขาว่าเป็นมนุษย์อย่าโลภมากเกินไป ฉีเซียนกวนบอกแล้วว่าจะให้ของขวัญขอบคุณ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว
ฉินเหยาค่อยๆ นำแผ่นแป้งย่างชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เอียงศีรษะ มองหลิวจี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ เป็นนางที่มองการณ์ใกล้เกินไป!
นางนึกว่าหลิวจี้แค่อยากได้เงินทองของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ไม่คิดว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้ด้วย!
“เจ้าไป ไปช่วยท่านผู้เฒ่าเก็บของหน่อยสิ เจ้าคนตาไม่มีแวว” ฉินเหยาผลักหลิวจี้ที่ทำท่ายุกยิกอยากจะไปเต็มแก่ออกไปอย่างเด็ดขาด
หลิวจี้ตกใจที่ได้รับความโปรดปราน ชามน้ำแกงในมือสั่นจนแทบร่วงลงพื้น เขารีบวางมันไว้ แล้วชี้ไปยังกระโจม ตัวรถม้า หม้อชามรามไหที่ยังไม่ได้เก็บของบ้านตนเอง “เมียจ๋า บ้านเรายังไม่ได้เก็บของเลยนะ ข้าทิ้งเจ้าไว้คนเดียวคงไม่ดีกระมัง?”
ปากถามเช่นนั้น แต่เท้าซ้ายก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว เตรียมพร้อมจะหันหลังไปยังฝั่งตรงข้ามได้ทุกเมื่อ
พอเห็นฉินเหยาตบอกรับปากว่าทางนี้ให้นางจัดการเอง เขาก็ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” พลางเดินไปยังฝั่งตรงข้าม ฉวยโอกาสแย่งงานที่สามารถเข้าใกล้กงเหลียงเหลียวได้มาทำ
หลิวลี่ที่อยู่ข้างๆ ครอบครัวทั้งหกคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขามองหลิวจี้ทีหนึ่ง แล้วหันไปมองฉินเหยาที่ยิ้มลุกขึ้นเก็บหม้อชามรามไหอย่างแข็งขัน สนับสนุนหลิวจี้อย่างเต็มที่ ก็ลอบกำหมัดแน่น นึกเกลียดที่ตนเองหน้าบางเกินไป
ทว่างานที่ฉินเหยาต้องทำก็มีไม่มากนัก พวกต้าหลางสี่พี่น้องกินอาหารเช้าเสร็จ ก็เอาหม้อชามไปล้างที่ริมน้ำพุจนสะอาด
อีกทั้งสัมภาระต่างๆ ก็เก็บกันเรียบร้อยตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว ยามนี้ยัดใส่เข้าไปในตัวรถม้า เก็บกระโจมอีกครั้ง จูงม้าออกมาเทียมรถม้าก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ตะวันค่อยๆ ลอยสูงขึ้น เมื่อเห็นฉินเหยาเก็บของเสร็จแล้ว นายบ่าวตระกูลติงและหลิวลี่ก็เร่งมือขึ้นเช่นกัน
ทางด้านตระกูลฉีนั้นมีคนมาก รถม้าก็เตรียมเสร็จนานแล้ว กระโจมก็เก็บเรียบร้อย รอเพียงเจ้านายทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางได้
รอจนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเต็มที่ ทุกครอบครัวก็เตรียมตัวพร้อมสรรพ ออกเดินทางพร้อมกัน
ตระกูลฉีวิ่งนำหน้าไปก่อน ตามด้วยตระกูลติง จากนั้นจึงเป็นครอบครัวของฉินเหยาและหลิวลี่
ขบวนเดินทางของพวกเขา มีรถม้าทั้งหมดห้าคัน คนสามสิบกว่าคน ดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่พวกที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ผู้อพยพที่เจอระหว่างทางจึงไม่มีใครกล้ากรูเข้ามารุมแย่งอาหารอีก อย่างมากก็มีเพียงบางคนที่อุ้มลูกจูงหลานหรือพยุงคนชรา เข้ามาขอทานบ้าง
หลิวจี้นั้น ตั้งแต่ถูกฉินเหยาส่งตัวออกไปก็ไม่ได้กลับมาที่รถม้าของบ้านตนอีกเลย ตั้งแต่ออกเดินทางเขาก็เบียดตัวเข้าไปอยู่ในรถม้าของกงเหลียงเหลียว
เหตุผลที่เขาหามาอ้างก็ช่างไร้ที่ติ
ตอนที่หลิวจี้กล่าวคำนี้ มีสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจราวกับว่าการได้ปรนนิบัติท่านอาจารย์ทำธุระส่วนตัวนั้นทำให้ชีวิตของตนสมบูรณ์แล้ว แม้แต่ฉีเซียนกวนยังรู้สึกว่าหากปฏิเสธเขาไป สำหรับคนป่าที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างคนนี้ คงจะโหดร้ายเกินไปหน่อย
อย่างไรเสีย เขาก็แค่ต้องการปรนนิบัติท่านอาจารย์ทำธุระส่วนตัวเท่านั้น เขาจะมีเจตนาร้ายอะไรได้เล่า!
ดังนั้น หลิวจี้จึงได้นั่งอยู่ในรถม้าของกงเหลียงเหลียว
ตลอดเส้นทางนี้ เสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” อย่างร่าเริงของหลิวจี้ก็ดังออกมาจากในรถม้าเป็นครั้งคราว นานๆ ครั้งยังได้ยินเสียงไอเหมือนกลั้นหัวเราะของกงเหลียงเหลียวแว่วออกมาหลายครั้ง ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองด้วยความสงสัยว่าเขาคุยอะไรกับท่านอาจารย์กันแน่
รอจนถึงเวลาพักกลางวัน หลิวจี้จึงลงมาจากตัวรถม้าครู่หนึ่ง เตรียมอาหารกลางวันสำหรับครอบครัวตนเองเสร็จแล้ว ก็กลับขึ้นไปบนตัวรถม้าปรนนิบัติกงเหลียงเหลียวต่อ
ก่อนไป หลิวจี้โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูฉินเหยา แบ่งปันเรื่องราวลับๆ กับนาง “เมียจ๋า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงมีฉายาว่าบัณฑิตประหลาดผู้บ้าคลั่ง?”
อาจเป็นเพราะหลิวจี้เพิ่งล้างกระโถนเสร็จ ฉินเหยาจึงรู้สึกว่าพอเขาเข้ามาใกล้ก็มีกลิ่นแปลกๆ ลอยโชยมา นางอดกลั้นสัญชาตญาณที่จะหลบหลีก กลั้นหายใจแล้วถาม “เหตุใดรึ?”
หลิวจี้ถูกฉินเหยารังเกียจไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้วจึงไม่ได้คิดมาก เขาหัวเราะหึๆ อย่างน่าหมั่นไส้สองทีแล้วตอบว่า “ท่านกงเหลียงเหลียวน่ะเขาชอบดื่มสุรา เล่นไพ่ ทั้งยังด่าแม่อีกด้วย!”
………………..
MANGA DISCUSSION