ตอนที่ 256 ข้าเรียกเจ้า เจ้ากล้าขานรับหรือไม่
………………..
อีกอย่าง เมื่อสองวันก่อนฉินเหยาเพิ่งสอบถามสถานการณ์การรับของในหมู่บ้านจากพ่อค้าไม้อย่างเถ้าแก่ฟางไป
ในเมื่อพวกช่างไม้หลิวยังคงรับไม้ได้ตามปกติ นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างในหมู่บ้านยังเป็นปกติดี
อีกอย่าง โจรภูเขาบุกมาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวของพวกเขาก็มีแต่จะถูกตีจนหนีไปเท่านั้น ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองจินสือมีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าคนหมู่บ้านตระกูลหลิวของพวกนั้นเขาหัวแข็งที่สุด หมัดหนักที่สุด?
หลิวจี้ตบอกอย่างโล่งใจทันที “มีเหตุผล จะบีบลูกพลับก็ต้องเลือกลูกนิ่มๆ อย่างไรก็คงไม่ถึงตาหมู่บ้านเรา”
มองรถม้าของตระกูลติงที่วิ่งลิ่วอยู่ข้างหน้า หลิวจี้ก็เอ่ยล้อเลียนว่า “คราวนี้คงไม่มีใครโง่พอที่จะใจบุญสุนทานกับพวกผู้อพยพใจคดเหล่านี้แล้วกระมัง”
ทว่าในวินาทีถัดมา พวกเขาก็ได้เจอกับ ‘คนโง่’ ที่ว่าเข้าจนได้
รถม้าของตระกูลติงหยุดลงอย่างกะทันหัน ผู้คุ้มกันรีบควบม้ากลับมา “ฉินเหนียงจื่อ ข้างหน้ามีผู้อพยพจำนวนมาก นายน้อยถามว่าต้องหันหัวรถกลับไปหลบก่อนหรือไม่ขอรับ?!”
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณให้หลิวจี้หยุดรถม้าแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีผู้อพยพมากเท่าใด”
ด้านหน้าเป็นทางโค้งพอดี มีเนินเขาบังสายตาอยู่ ครอบครัวของฉินเหยาวิ่งรั้งท้ายสุด จึงมองไม่เห็นสถานการณ์ข้างหน้า
เวลานี้ ตะวันคล้อยใกล้จะตกดิน ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง พวกนางกำลังคิดหาที่ตั้งค่ายพักแรม
วันนี้ตลอดเส้นทางล้วนถูกผู้อพยพทำให้ล่าช้า เสียโอกาสที่จะเข้าเมืองไปแล้ว
แต่ฉินเหยาจำศาลเจ้าและศาลาพักริมทางทั้งหมดระหว่างทางตอนขามาได้ มันอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก เดินทางไปอีกสี่ลี้ก็จะเจอศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ที่นั้นมีกำแพงล้อมรอบย่อมดีกว่านอนกลางแจ้ง
ผู้คุ้มกันรีบร้อนตอบ “ไม่ทราบขอรับ มองไปเห็นแต่คนดำทะมึนไปหมด ยังไม่ทันได้นับ กลัวว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นพวกเราเข้า ข้าจึงรีบควบม้ากลับมา!”
ผู้คุ้มกันมีสีหน้าตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าจำนวนคนมากถึงขั้นที่ลำพังผู้คุ้มกันสองคนกับบวกกับสารถีอีกหนึ่งคนนั้นไม่เพียงพอที่จะรับมือได้
ต้าจ้วงและหลิวลี่ต่างก็มองมา บนรถม้าของฉินเหยายังมีเด็กอยู่ด้วย ย่อมไม่เสี่ยงภัยแน่
“รอเดี๋ยว ข้าจะขึ้นเนินไปดู พวกเจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว” ฉินเหยากำชับพลางเรียกให้ผู้คุ้มกันคนนั้นลงจากหลังม้า ทั้งสองคนรีบปีนขึ้นเนินไปด้วยกัน
ผู้คุ้มกันกลับไปแจ้งติงซื่อก่อนแล้วจึงรีบลงจากหลังม้า ตามฉินเหยาไปอย่างเร่งรีบ
ทั้งสองคนปีนขึ้นไปถึงยอดเนิน เบื้องหน้าคือทุ่งนาอันกว้างใหญ่ รอบๆ ยังมีหมู่บ้านที่ไม่เล็กนักแห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างขวางอย่างมาก
ถนนหลวงทอดไปกลางทุ่งนา รอบด้านไม่มีสิ่งใดบดบัง ดังนั้นจึงมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน
ผู้คุ้มกันตระกูลติงไม่ได้พูดเกินจริง ที่นั่นเต็มไปด้วยคนดำทะมึนจริงๆ มีคนราวสองสามร้อยคนกำลังรวมตัวกันอยู่บนถนนหลวง พวกเขาเบียดเสียดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กรูไปยังรถม้าหรูหราที่จอดอยู่ตรงกลาง
คนแต่งกายคล้ายผู้คุ้มกันสิบกว่าคน ขี่ม้าอารักขารถม้าสองคันไว้ตรงกลาง บนพื้นมีถุงเสบียงตกกระจายอยู่ แถมยังมีกล่องอาหารที่สวยงามอีกด้วย
น่าเสียดาย ฝากล่องอาหารหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อาหารเลิศรสในกล่องก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนผู้อพยพเหล่านั้น พอเห็นถุงเสบียงบนพื้นต่างก็กรูกันเข้าไปแย่งชิง
ผู้คุ้มกันชักอาวุธออกมาขัดขวาง ทว่าก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พวกเขาเหมือนคนไม่กลัวตาย ในสายตามีเพียงถุงเสบียงเท่านั้น
โดยเฉพาะเมื่อมุมถุงเสบียงเปิดออกเผยให้เห็นข้าวสารสีขาวข้างใน ผู้อพยพที่อดอยากมานานย่อมคิดอะไรได้ไม่มาก ในใจมีแต่เรื่องกินเท่านั้น!
คนที่อยู่รอบนอกไม่รู้สถานการณ์ข้างในเลยคิดว่ามีเสบียงอาหารมากมาย จึงไม่สนใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงห้ามปรามของคนที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ข้างใน เอาแต่พุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว
ผู้คุ้มกันและรถม้าถูกขังอยู่กลางวงล้อมของผู้อพยพ แม้ในมือจะถือดาบ แต่จะฆ่าก็ไม่ได้ ไม่ฆ่าก็ไม่ได้จึงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ถึงแม้พวกเขาจะอดทนอดกลั้นถึงเพียงนี้ก็ยังหาทางฝ่าออกไปไม่ได้
นอกจากจะยอมทิ้งรถม้าและสัมภาระทรัพย์สินทั้งหมด จึงจะพอมีหวังฝ่าวงล้อมอันน่าสะพรึงกลัวนี้ออกไปได้
“จิ๊~” ฉินเหยาส่ายหน้า รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันสิ้นโลกอีกครั้ง
เพราะภาพเหตุการณ์เบื้องล่างนั้น แทบจะเหมือนกับฉากซอมบี้ล้อมโจมตีมนุษย์ไม่มีผิด
โชคดีที่เหล่าผู้อพยพนั้นถูกรถม้าหรูหราดึงดูดความสนใจไป จึงไม่สังเกตเห็นพวกนางที่อยู่ข้างหลัง
ฉินเหยามองลงไปยังหมู่บ้านและทุ่งนาเบื้องล่าง พบว่าด้านขวามีทางเล็กๆ อีกเส้นหนึ่ง สามารถเลี่ยงผู้อพยพบนถนนหลวงเหล่านี้แล้วเข้าไปในหมู่บ้านได้
ก่อนหน้านี้ผู้คุ้มกันได้เห็นความร้ายกาจของผู้อพยพเหล่านี้แล้ว พวกเขาไม่เหมือนกับที่จินตนาการไว้ว่าทั้งผอมแห้งและสิ้นหวัง แต่ละคนล้วนเป็นหมาป่าที่กำลังหิวโซ!
พอได้ฟังความคิดของฉินเหยาครานี้จึงรีบตอบรับทันที
ส่วนกลุ่มคนที่ถูกล้อมอยู่นั้นก็ขอให้โชคดีแล้วกัน
ทั้งสองคนรีบลงมาจากเนินเขา แจ้งสถานการณ์ให้พวกพ้องทราบ ทุกคนไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาเคลื่อนขบวนอย่างเชื่องช้า แต่มุ่งหน้าไปสู่ทางเล็กด้านขวาอย่างเงียบเชียบ
ทางเส้นนี้น่าจะเป็นทางที่ชาวนาทำขึ้นเพื่อใช้เข็นรถโดยเฉพาะ รถม้าขนาดเล็กสามารถผ่านไปได้อย่างพอดี
โดยทั่วไปสถานการณ์เช่นนี้ต้องดูที่ฝีมือของสารถีแล้ว
หากพลั้งพลาดไปแล้วล้อรถตกลงไปข้างทาง คงไม่ดีแน่
หลิวจี้อาศัยว่าม้าของตนเชื่องและแสนรู้จึงมองล้อรถม้าของบ้านหลิวลี่ที่ส่ายไปมาอยู่บนขอบทางด้านหน้าแทบจะตกแหล่มิตกแหล่อย่างลำพองใจแล้วเผลอหัวเราะออกมา
ผลคือหัวเราะได้ไม่นานก็เกิดเรื่อง ม้าแก่ก็มีพลาดท่าได้ รถม้าบ้านคนอื่นไม่ตก แต่รถม้าบ้านเขาดันส่งเสียง “เอี๊ยด” ทีหนึ่ง จากนั้นก็เสียหลักลงไป
พูดไปแล้วเหมือนช้าแต่เหตุการณ์เกิดรวดเร็วนัก ฉินเหยาเหยียดมือออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ยกใต้ท้องรถม้าขึ้น รถม้าพลันกลับมาอยู่บนเส้นทางดังเดิม
เหล่าหวงเองก็ยังร้องออกมาอย่างขวัญเสีย หลิวจี้ที่อยู่บนรถหน้าซีดเผือด คำว่า “เมียจ๋าช่วยด้วย” สี่คำนี้เกือบจะหลุดปากออกมาแล้ว
ผลคือยังไม่ทันได้อ้าปาก วิกฤตก็ผ่านพ้นไปแล้ว เขารีบส่งยิ้มแหยๆ ให้ฉินเหยาอย่างรู้สึกผิด ไม่กล้าเสียสมาธิอีก
ฉินเหยาถลึงตาใส่เขา นางรู้ดีว่านิสัยของเจ้าบ้านี่ต้องก่อเรื่องอะไรให้เดือดร้อนอีกแน่ ดังนั้นพอเข้าสู่เส้นทางเล็ก นางจึงเดินอยู่ข้างรถม้าตลอดเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ผลคือก็ยังป้องกันได้ไม่หมดจริงๆ!
สารถีทางฝั่งตระกูลติงเป็นมือเก๋ามากประสบการณ์จึงสามารถผ่านเส้นทางเล็กๆ ในทุ่งนาไปได้อย่างมั่นคง
ต้าจ้วงและหลิวลี่เองก็เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ แต่ทว่าก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
สุดท้ายคือครอบครัวฉินเหยาที่มาถึงอย่างราบรื่น ทั้งสามครอบครัวไม่หยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย รีบผ่านหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว คิดเพียงต้องการออกจากสถานที่เจ้าปัญหานี้ไปโดยเร็วที่สุด
ใครจะคาดคิด บนถนนหลวงพลันมีเสียงเด็กดังขึ้นอย่างตื่นเต้นและกระจ่างชัดว่า “หลิวจี้! หลิวจี้แห่งหมู่บ้านตระกูลหลิว อำเภอไคหยาง!”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ระบุชื่อแซ่ชัดเจน ทำเอาขวัญของหลิวจี้แทบจะแตกกระเจิง
“ใครน่ะ” เขามองฉินเหยาแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นสองสามีภรรยาก็มองไปยังต้นเสียงอย่างงุนงง พบว่าบริเวณที่นั่งด้านหน้าของรถม้าซึ่งถูกล้อมไว้ ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งที่ดูไม่ค่อยจะคุ้นตานัก
ฉีเซียนกวนตะโกนเรียกพวกเขาไม่หยุด “หลิวจี้! หลิวจี้!”
หลิวจี้คิดในใจ อะไรกัน เรียกชื่อข้าแล้วจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ได้รึ
“ฉีเซียนกวน?” ฉินเหยาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เหลือบมองหลิวจี้แวบหนึ่ง “เจ้าสองคนสนิทกันมากรึ”
หลิวจี้ส่ายหน้าพรืด ไม่สนิทกันเลยสักนิด!
ดังนั้น…
“พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเลย พวกเขามีผู้คุ้มกันตั้งเยอะแยะ ขอเพียงยอมทิ้งรถม้า ก็หนีออกมาได้แน่นอน”
ฉินเหยาพยักหน้า ในช่วงเวลาสำคัญ สองสามีภรรยายังคงรู้ใจกันเป็นอย่างดี
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น บนรถม้าอีกคัน ดูเหมือนจะมีบางตัวตนที่ทำให้ฉีเซียนกวนต้องเกรงใจอยู่ ทำให้เขาลังเลมิอาจออกคำสั่งให้เหล่าผู้คุ้มกันพาตนเองทิ้งรถแล้วหนีไปได้
………………..
MANGA DISCUSSION