ตอนที่ 254 ร่วมทางกลับ
………………..
ฉินเหยาคิดจะไปหาติงซื่อเพื่อร่วมเดินทางกลับไปด้วยกัน ฝ่ายติงซื่อเองก็กำลังจะมาหานางเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายพอพบหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ก็บรรลุข้อตกลงร่วมกันทันทีว่าจะเดินทางกลับไปด้วยกัน
“นายน้อยติงนำผู้คุ้มกันมากี่คนหรือ” ฉินเหยาเอ่ยถาม
ติงซื่อตอบว่า “ผู้คุ้มกันสองนาย บวกกับสารถีและตัวข้า รวมเป็นสี่คน รถม้าหนึ่งคัน กับม้าอีกสองตัว”
ฉินเหยาเองก็เล่าสถานการณ์ของฝ่ายตนเองให้ฟังบ้าง “พวกเรามีสองครอบครัว หลิวลี่ท่านคงรู้จักกระมัง ก็ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาในอำเภอไคหยางนี่แหละ”
พอฉินเหยากล่าวถึงหลิวลี่ ติงซื่อก็หัวเราะขึ้นมา “รู้จักสิ เขาผ่านการสอบคัดเลือกด้วย แถมยังได้ขั้นสองอันดับที่สิบสาม ข้าจำไม่ผิดใช่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า จำไม่ผิด
แม้ว่าติงซื่อจะมีชื่ออยู่ในสำนักศึกษาของอำเภอไคหยางแต่ก็เป็นเพียงในนาม เขาแทบไม่เคยอยู่ที่สำนักศึกษานานๆ แต่ทุกคนก็เป็นคนของสำนักศึกษาเดียวกัน ย่อมเคยพบหน้ากันบ้าง เพียงแต่ไม่สนิทสนมกันเท่านั้น
หลังจากนัดหมายเวลารวมพลกับติงซื่อที่ประตูเมืองในวันพรุ่งนี้แล้ว ฉินเหยาก็กลับไปที่โรงเตี๊ยม เรียกหลิวลี่และหลิวจี้มารวมกันแล้วประกาศข่าวนี้
หลิวลี่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ตรงกันข้าม เขากลับตั้งตารอคอยเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าติงซื่อจะอายุน้อยกว่าพวกเขา แต่ชื่อเสียงในสำนักศึกษากลับโด่งดังเป็นอย่างมาก
หนึ่งเป็นเพราะเขามีบิดาที่เคยเข้าสอบเคอจวี่อย่างนายท่านติง
สองเป็นเพราะเขามีชื่อเสียงด้านความรู้ความสามารถเกินคนมาตั้งแต่เด็กๆ ประกอบกับอิทธิพลของตระกูลติงในอำเภอไคหยาง ทำให้มีผู้คนให้ความสนใจเขามากมาย
แต่ตระกูลติงมีทรัพยากรเป็นของตนเอง สองปีมานี้ติงซื่อจึงไม่ค่อยมาที่สำนักศึกษาเท่าใดนัก เพียงนานๆ ครั้งเมื่ออาจารย์เจ้าสำนักมีเรื่องสำคัญต้องกำชับ เขาถึงจะมาปรากฏตัวบ้าง
ครั้งนี้คนทั้งสองในฐานะชาวอำเภอไคหยาง ต่างก็มีชื่อติดอันดับ หลิวลี่ย่อมอยากถือโอกาสนี้ผูกสัมพันธ์สักหน่อย เผื่อในภายภาคหน้าจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้บ้าง
แน่นอนว่าคุณชายตระกูลใหญ่เช่นนั้นอาจไม่เต็มใจคบหากับเขาก็เป็นได้ แต่หลิวลี่คิดว่า แค่ได้ทำความคุ้นเคยกันระหว่างเดินทางก็ยังดี
หลิวจี้ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น
ฉินเหยาเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ยามเฉินไปรวมตัวกันที่ประตูเมือง”
ทางฝั่งหลิวจี้เตรียมของที่ต้องเตรียมเกือบจะพร้อมแล้ว หลิวลี่จึงเอาอย่างบ้าง ให้ต้าจ้วงไปหาแม่ครัวให้ช่วยทำแผ่นแป้งย่างไว้ไม่น้อย ทั้งยังซื้อกระดูกชิ้นใหญ่สองท่อนติดตัวไว้ต้มน้ำแกงดื่มระหว่างทาง
เขายังคิดอยากจะนำเนื้อรมควันไปด้วย แต่เสียดายที่หาทั่วเมืองแล้วก็ยังหาไม่พบ ทำได้เพียงเตรียมทุกอย่างแบบเรียบง่าย เพื่อที่จะได้เดินทางอย่างคล่องตัว
ทว่าแม้จะพยายามทำให้คล่องตัวเพียงใด แต่เพราะพักอยู่หลายวันและได้ซื้อหาของฝากของที่ระลึกจิปาถะต่างๆ นานาเอาไว้มากมาย ทำให้ของยังคงอัดแน่นจนเต็มตัวรถม้าอยู่ดี
พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางกันแล้ว กลางคืนหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ครอบครัวฉินเหยาทั้งหกคนจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ
พอฟ้าสาง หลิวจี้ก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้น เขาหาวหวอดแล้วเดินไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า
พอทำอาหารเสร็จ ทางฝั่งฉินเหยาก็นำเด็กสี่คนเก็บสัมภาระเสร็จพอดี ทั้งยังกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจูงม้าไปรอที่ประตูหลังโรงเตี๊ยมด้วย
หลังจากทานอาหารเช้าง่ายๆ ขนสัมภาระขึ้นรถและจัดการเรื่องคืนห้องพักเรียบร้อย ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทางกลับบ้าน
พวกต้าหลางสี่พี่น้องยังคงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง พวกเขาหันกลับไปมองโรงเตี๊ยมนานทีเดียว ครู่ใหญ่จึงค่อยหันกลับมา ทยอยขึ้นไปบนรถม้า
ทางฝั่งต้าจ้วงเองก็เตรียมตัวเกือบเสร็จแล้ว พอหลิวลี่ขึ้นรถ สองครอบครัวก็มุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
ทั้งสองฝ่ายไปถึงหน้าประตูเมืองเกือบจะพร้อมกัน ผู้คุ้มกันของตระกูลติงล้วนแต่เป็นใบหน้าที่คุ้นเคย พวกเขายิ้มพลางพยักหน้าทักทายฉินเหยา
ฉินเหยายิ้มตอบ “คนมาครบแล้ว”
“ไปกันเถอะ” ติงซื่อนั่งยองๆ อยู่บริเวณที่นั่งสารถี เมื่อยืนยันว่าคนครบแล้ว ก็พยักหน้าให้ฉินเหยาครั้งหนึ่ง ก่อนจะมุดตัวเข้าไปนั่งในตัวรถม้า
ล้อรถม้าหมุนดังครืดคราดไปข้างหน้า เวลานี้ยังเช้าอยู่ หน้าประตูเมืองจึงมีคนเพียงไม่กี่คน เสียงรถม้าเคลื่อนที่ดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ประตูเมืองตลอดเวลา
พวกต้าหลางสี่พี่น้องมุดศีรษะออกมาจากหน้าต่างรถอีกครั้ง เหลียวมองกำแพงเมืองสูงใหญ่ของเมืองหลวงของมณฑล รู้สึกเพียงว่าช่วงเวลากว่าครึ่งเดือนนี้ ช่างราวกับความฝัน งดงามและมีความสุขจนดูไม่เหมือนจริง
แต่พอนึกถึงเรือนเล็กๆ บนเนินทางเหนือของหมู่บ้านตระกูลหลิว เมืองหลวงของมณฑลที่อยู่เบื้องหน้าก็ไม่นับเป็นอะไรอีกต่อไป นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากเหง้า เป็นบ้านของพวกเขา
“ท่านแม่ ข้าซื้อโคมดอกไม้ให้พี่จินฮวาและต้าเหมาด้วย ท่านว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่เจ้าคะ”
ซื่อเหนียงปีนออกมาจากประตูรถม้าครึ่งตัว ออดอ้อนซบอยู่บนแผ่นหลังกว้างของท่านพ่อ พลางหันหน้าไปถามฉินเหยาซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง
“ชอบสิ นี่เป็นของขวัญที่ซื่อเหนียงตั้งใจเลือกมาเชียวนะ” ฉินเหยายิ้มตอบ
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที ร่างเล็กสั่นน้อยๆ หลิวจี้ไหวไหล่ “ร้อน ซื่อเหนียง เจ้าเข้าไปในตัวรถม้าเถอะ”
ช่วงเช้าของปลายเดือนห้า พอตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ไอความร้อนก็พวยพุ่งขึ้นมาทันที ร่างของลูกสาวนั้นร้อนผ่าว ฤดูหนาวนางตัวอุ่นสบายก็จริง แต่ฤดูร้อนเช่นนี้อย่าเลยจะดีกว่า
ซื่อเหนียงแค่นเสียงขึ้นจมูกเสียงหนึ่ง เอานิ้วเล็กๆ จิ้มแผ่นหลังท่านพ่อเป็นการระบายอารมณ์ ก่อนจะปีนกลับเข้าไปในตัวรถม้า
ประตูหลังรถม้าสามารถเปิดออกได้ เมื่อเปิดประตูทั้งสองบานออกพร้อมกันแล้วนั่งอยู่ในตัวรถม้าก็จะมีลมโกรกผ่าน เย็นสบายยิ่งนัก
โต๊ะเล็กในตัวรถม้าถูกเก็บไปแล้วปูทับด้วยผ้านวมและเสื่อเย็น เด็กทั้งสี่คนก็จะสามารถนอนเกลือกกลิ้งไปมาได้อย่างกว้างขวาง
หลิวจี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง นอกจากอิจฉาแล้วก็ยังคงอิจฉา
น่าเสียดาย สตรีข้างกายยังไม่เข้าไปนอน เขามนุษย์ผู้น่าสงสารคนหนึ่งจะมีสิทธิ์อันใดเล่า
ตั้งแต่ออกจากเมืองจนกระทั่งขึ้นสู่ถนนหลวง ตลอดทางล้วนเป็นผู้คนจากหมู่บ้านเกษตรกรรมใกล้เคียงที่มาจ่ายตลาดเช้า สองข้างทางของถนนหลวงเป็นทุ่งนาเขียวขจี คาดการณ์ได้ว่าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะต้องเก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์เป็นแน่
ผู้คนและทิวทัศน์ที่กลมกลืนเช่นนี้ ทำให้หลิวจี้มองอย่างงุนงง “มิใช่ว่าข้างนอกวุ่นวายมากหรอกหรือ”
เหตุใดจึงไม่เหมือนกับที่ฉินเหยาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้เลยเล่า
ฉินเหยาเตือนเขาว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุป นี่เพิ่งออกมาได้ห้าร้อยเมตร ยังไม่ถึงหนึ่งลี้ด้วยซ้ำ
การจะออกจากเขตเมืองหลวงของมณฑลจริงๆ ต้องไปถึงเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปสองลี้ก่อน
ที่นั่นมีเพียงถนนใหญ่เส้นเดียวที่มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของมณฑล หากประสบสถานการณ์คับขัน จะมีทหารของทางการมาตั้งด่าน ณ ที่แห่งนั้น
คณะเดินทางมุ่งหน้าต่อไป เนื่องจากมีรถม้า ความเร็วจึงไม่นับว่าเร็วมากนัก
เดินทางไปอีกครึ่งเค่อ ในที่สุดก็เห็นเนินเขาที่ตั้งด่าน สถานที่ซึ่งตอนมาไม่มีด่าน ตอนนี้กลับมีรั้วสูงกว่าสองเมตรถูกตั้งขึ้น
มีเจ้าหน้าที่ของทางการราวสิบกว่าคนเฝ้าอยู่ที่นั่น อนุญาตให้ออกเท่านั้น ห้ามเข้า หากมีผู้ใดต้องการเข้า จะต้องแสดงใบผ่านทาง
ยังไม่ถึงด่านตรวจ คณะของฉินเหยาก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมายดังมาจากที่แห่งหนึ่ง ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไรกัน แต่สัมผัสได้ว่าที่นั่นมีคนเป็นจำนวนมาก
รถม้าของตระกูลติงวิ่งอยู่ด้านหน้าสุด ผู้คุ้มกันนายหนึ่งขี่ม้าล่วงหน้าไปเพื่อดูสถานการณ์ก่อน แล้วรีบกลับมารายงาน
“นายน้อย ที่ด่านด้านหน้ามีคนราวหนึ่งถึงสองร้อยคนที่ต้องการเข้าเมืองหลวงของมณฑลล้อมอยู่ เกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่อพยพหนีภัยมาจากมณฑลข้างเคียง ดูจากการแต่งกายแล้ว น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น”
ไม่ว่ายามใด ผู้มีเงินและอำนาจย่อมได้รับข้อมูลข่าวสารเร็วกว่าคนธรรมดาเสมอ และสามารถหลบหนีภัยพิบัติได้ล่วงหน้า
หลังจากรายงานนายน้อยเสร็จ ผู้คุ้มกันก็ทำตามคำสั่งของติงซื่อ คือมายังท้ายขบวน แล้วบอกเล่าสถานการณ์ด้านหน้าให้ฉินเหยาฟัง
“ไม่มีอันตราย พวกเราเดินทางไปตามทางของเราต่อ แต่พวกท่านที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ต้องระวังให้มากขึ้น หากระหว่างทางพบเจอผู้อพยพหรือขอทาน อย่าหยุดรถ เดินทางไปตามทางของเราต่อ อย่าไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
มีเพียงฉินเหยาเท่านั้นที่กล้าสั่งการเช่นนี้ หลิวจี้ยังกังวลว่านางพูดเช่นนี้แล้ว นายน้อยตระกูลติงฟังแล้วจะไม่พอใจ
เมื่อผู้คุ้มกันได้รับคำสั่ง เขาก็กลับไปถ่ายทอดให้ติงซื่อฟัง
ติงซื่อรู้สึกว่าเรื่องผู้อพยพและขอทานนั้นต้องดูไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ก็ยังจดจำคำกำชับของฉินเหยาไว้และให้สารถีทำตามที่ฉินเหยากล่าว
………………..
MANGA DISCUSSION