ตอนที่ 239 การปฏิบัติทางสังคม
………………..
ฟ้ามืดสนิทแล้ว สี่พี่น้องหาวหวอดๆ ฉินเหยาโบกมือเรียก ครอบครัวหกคนจึงถือโคมไฟเดินทางกลับที่พัก อาบน้ำและเข้านอน
ก่อนนอน ซานหลางและซื่อเหนียงนำโคมไฟของบิดามารดาและพี่ชายมาวางร่วมกับของตนเอง
โคมไฟหกอันเรียงตามขนาด วางไว้บนม้านั่งยาวข้างหัวเตียง นอนก็ยังต้องมองพวกมันก่อน จึงค่อยหนุนหลังมือเล็กๆ ของตัวเองแล้วหลับไปอย่างมีความสุข
คืนนั้นฝันดีตลอดคืน ฉินเหยาตื่นแต่เช้ามาเพื่อฝึกฝนร่างกาย จิตใจแจ่มใสเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
ส่วนหลิวจี้ที่นอนอยู่บนฟูกที่พื้นกลับรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัว ขยับเขยื้อนไม่ไหว จำต้องสั่งให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางนำผักไปยังห้องครัว บอกท่านป้าชิวผู้เป็นแม่ครัว ให้แบ่งเตาให้พวกเขาทำมื้อเช้าด้วย
มองดูลูกชายทั้งสองคนถือตะกร้าผักและข้าวสารไปอย่างเชื่อฟัง เขาก็ล้มตัวลงนอน เปลี่ยนท่าทางให้นอนสบายขึ้นเล็กน้อยแล้วหลับต่อ
เมื่อคืนต้าหลางเอ้อร์หลางได้ปิ่นปักผมไม้คนละอันเป็นรางวัล หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เห็นฉินเหยากำลังหวีผม สองพี่น้องก็อึกอักๆ กุมมือไว้ เดินมาข้างหน้านาง พอเห็นนางเผลอก็รีบยัดปิ่นปักผมไม้ใส่มือนางแล้ววิ่งไปราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
ฉินเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก้มลงมองปิ่นไม้เรียบๆ สองอันที่เหลาจากไม้ประดู่ปลายด้ามประดับด้วยด้ายสีพันรอบไม้ ไล่สีจากส้มไปชมพูเข้ม ราวกับแสงของรุ้งบนท้องฟ้า
แม้จะเป็นเพียงปิ่นไม้ แต่ก็ทำออกมาได้อย่างมีศิลปะ
“ให้ข้าหรือ” ฉินเหยาเอ่ยถามไปทางลานบ้าน
เด็กชายสองคนที่ซ่อนอยู่หลังโขดหินในสวนจำลองส่งเสียงอืมออกมา
ฉินเหยามองปิ่นไม้สองอันในมือ ยิ้มบางๆ “ขอบคุณนะ สวยมากจริงๆ”
ซานหลางและซื่อเหนียงวิ่งเข้ามา ซื่อเหนียงดันมือของฉินเหยา “ท่านแม่ลองเสียบผมดูสิ ข้าจะดูว่าสวยหรือไม่สวย”
ซานหลางก็เงยหน้ามองมวยผมที่ฉินเหยาเพิ่งเกล้าเสร็จ ยังไม่ได้ใช้ผ้าโพกศีรษะคลุม ก็ยกมือทั้งสองข้างกุมแก้มเล็กๆ ของตน มองด้วยคาดหวังว่าจะได้เห็นนางปักปิ่นไม้
ตอนนี้กำลังนิยมปักปิ่นสองอันไว้ข้างเดียวกัน เพราะไม่มีกระจกตรงหน้า ฉินเหยาจึงบอกให้ลูกสาวเบิกตากว้างๆ แล้วใช้ดวงตาโตคู่นั้นเป็นกระจก ส่องแล้วปักปิ่นไม้สองอันเหลื่อมกันไว้ทางด้านซ้ายของมวยผม
ฉินเหยาหัวเราะออกมา แม้จะรู้ว่าคำพูดนั้นมีส่วนเกินจริง แต่ใครเล่าจะไม่ดีใจเมื่อได้รับคำชมเชย
“สวยจริงๆ หรือ” ฉินเหยามองซานหลางที่ยกมือประคองแก้ม ทำท่าทางราวกับถูกมนต์สะกด เจ้าตัวเล็กพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง กลัวว่าฉินเหยาจะถอดปิ่นออกจึงขอให้นางใส่ไว้ตลอด บอกว่าแบบนี้สวยมากๆ
ซานหลางซื่อสัตย์ที่สุด เขาพูดความจริง ท่านแม่แต่งตัวแบบนี้สวยมากจริงๆ!
ปกติฉินเหยาแต่งตัวเรียบง่ายเกินไป พอมีสีสันเพิ่มขึ้นบนศีรษะเล็กน้อยก็ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสขึ้น แถมเหยาเหนียงก็มีใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว เพียงแค่แต่งแต้มเล็กน้อยก็ชวนให้มองซ้ำอีกหลายหน
ฉินเหยาหัวเราะเสียงดัง พอช้อนตามองไปก็เห็นต้าหลางและเอ้อร์หลางในลานบ้านพยักหน้าไม่หยุด
ฉินเหยาเอื้อมมือไปลูบศีรษะ เก็บผ้าโพกศีรษะสีเทาอมฟ้าที่ไม่เข้าชุดกันเอาไว้ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกๆ นางจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ได้ ต่อไปนี้จะใส่แต่แบบนี้แหละ”
ต้าหลางเอ้อร์หลางมองหน้ากัน ตื่นเต้นจนหน้าแดงเล็กน้อย เพราะปิ่นที่แม่เลี้ยงใช้นั้น เป็นรางวัลที่พวกเขาสองคนชนะได้มา!
หลิวจี้กอดหนังสือนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ มองห้าแม่ลูกที่กำลังมีความสุขด้วยสายตาขุ่นเคือง คิดในใจว่า ความรู้สึกของมนุษย์นั้นไม่เหมือนกัน เขาแค่รู้สึกว่าพวกนางเสียงดังหนวกหู!
ทว่าฉินเหยาสตรีโหดผู้นี้แม้จะใจร้าย แต่วันนี้กลับงดงามจริงๆ หลิวจี้อดไม่ได้ที่จะมองนางหลายครั้งแล้วบังคับตัวเองให้หลับตาลง
เขายังเจ็บระบมไปทั้งตัว ห้ามให้อภัยนางง่ายๆ เช่นนี้เด็ดขาด!
หลับตา ลืมตา หลับตา… ลืมตาอีกครั้ง ประตูห้องพักกลับเงียบสงัด ร่างของห้าแม่ลูกหายไปหมดแล้ว
“ช่างน่าชังนัก!” หลิวจี้ทุบโต๊ะด้วยกำปั้น “ออกไปเดินเล่นก็ไม่เรียกข้า!”
ด่าจบ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บที่มือ
หลิวจี้: ชีวิตนี้เยี่ยงนี้ ข้าทนต่อไปไม่ไหวแม้สักวันแล้ว!
….
ห้าแม่ลูกพกหีบหนังสือออกไปด้วย
ฉินเหยาเดินนำหน้า ต้าหลางและน้องๆ ทั้งสี่คนลากหีบหนังสือของตนเองเดินตามอยู่ข้างหลัง
ทันทีที่ออกจากประตูโรงเตี๊ยม หีบหนังสือในมือของสี่พี่น้องก็ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนน
หีบของต้าหลางนั้นเน้นประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด มีลิ้นชักลับสำหรับเก็บอาวุธ มีช่องสำหรับร่ม และยังมีเตาผิงมือ รูปลักษณ์โดยรวมค่อนข้างเรียบง่าย
หีบของซานหลางและซื่อเหนียงเล็กกว่าหน่อย เหมาะกับรูปร่างของพวกเขา พื้นสีดำสนิทถูกวาดด้วยลวดลายเด็กๆ น่ารัก แต่งด้วยหินสีที่เก็บมาจากริมแม่น้ำ หลากสีสัน สวยงามแปลกตา แต่น่ารักมาก
หีบหนังสือของเอ้อร์หลางนั้นทำเพิ่มมาภายหลัง มีสายสะพายและถุงผ้าเล็กๆ สำหรับใส่สายสะพายโดยเฉพาะ แขวนอยู่ด้านข้างหีบไม้ เป็นเครื่องประดับอีกอย่างหนึ่ง
แถมหีบหนังสือของเขายังเพิ่มโต๊ะพับได้ เผื่อทำโจทย์ที่อาจารย์สั่งเมื่อวานไม่เสร็จ ก็สามารถรีบไปที่หน้าสำนักศึกษาก่อนสำนักศึกษาจะเปิดแล้วกางโต๊ะออกมาทำโจทย์ให้เสร็จ
แน่นอนว่า หากมีสหายร่วมชั้นเรียนใจดีให้ลอกการบ้านก็ย่อมได้
ล้อไม้หมุน “ครืดๆ” ไปบนพืนหินสีเขียวอย่างลื่นไหล เดินจนเหนื่อย ซานหลางและซื่อเหนียงยังหยุดนั่งพักบนหีบหนังสือครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินตามท่านแม่ต่อไป จนมาถึงบริเวณร้านหนังสือในเมืองหลวงของมณฑล
ฉินเหยาเช่าแผงลอยในราคาสิบเหวิน เรียกสี่พี่น้องมา “วันนี้พวกเราจะมาเรียนวิชาปฏิบัติทางสังคมกัน ส่วนบันทึกหลังการอ่านตอนเย็นก็ไม่ต้องเขียนแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องเขียนบันทึกหลังการอ่านตอนเย็น สี่พี่น้องก็ตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
ฉินเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วเริ่มจัดแจง
หัวข้อของวันนี้คือการรับจ้างเขียนจดหมาย
เรื่องนี้ง่ายมาก ต้าหลางรีบวางหีบหนังสือของคู่แฝดลงกับพื้นใช้แทนเก้าอี้ แล้วให้เอ้อร์หลางกางโต๊ะที่ติดอยู่กับหีบหนังสือของเขาออกมา เปิดหีบที่ใส่พู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก นำสิ่งของข้างในออกมาวางเรียงกัน
สุดท้ายก็นำหีบหนังสือของตนเองวางไว้ด้านหลังโต๊ะ เมื่อนั่งลงก็สามารถเริ่มกิจการได้
ฉินเหยายืนมองพวกเขาจัดแผงลอย เห็นต้าหลางกำลังเลือกพู่กันหลายด้าม เนื่องจากโต๊ะไม่กว้างพอที่จะวางพู่กันทั้งหมดพร้อมกันได้จึงต้องวางเพียงด้ามเดียวก่อน
“เอ้อร์หลาง” ฉินเหยาเรียก เอ้อร์หลางรีบวิ่งมาหานาง
เจ้าตัวเล็กที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้มองออกถึงเจตนาของนางแล้วจึงพูดขึ้นก่อนว่า
“ท่านแม่ เดี๋ยวข้าให้พี่ใหญ่เปิดหีบหนังสือพวกนั้นสักรอบหนึ่ง จะได้เห็นแต่ละช่องที่แตกต่างกันออกไป”
ฉินเหยาชูนิ้วโป้งให้เอ้อร์หลาง เจ้าเด็กนี่ มีสหายร่วมกลุ่มแบบนี้ สองแม่ลูกไม่รวยแล้วใครจะรวยเล่า?
ฉินเหยาโน้มตัวลงกระซิบข้างหูเอ้อร์หลาง “ไปเอาชุดเครื่องเขียนในหีบหนังสือของซื่อเหนียงมาให้พี่ใหญ่เจ้าใส่พู่กัน”
เอ้อร์หลางหัวเราะ “รับทราบ!”
ดูท่าว่าท่านแม่ต้องการจะแนะนำสินค้าตัวใหม่ด้วย เขาย่อมเข้าใจดี
ก่อนออกเดินทางมายังเมืองหลวงของมณฑล ฉินเหยาทิ้งแบบใหม่ไว้ให้ช่างไม้หลิว เป็นแบบที่พัฒนามาจากกล่องเครื่องเขียนในยุคปัจจุบัน แตกต่างจากกล่องใส่พู่กันแบบลิ้นชักที่เห็นได้ทั่วไปที่นี่
กล่องเครื่องเขียนของนางเป็นแบบเปิดปิด
ที่นี่ไม่มีบานพับ สิ่งของที่เป็นโลหะหายาก ต้นทุนก็สูง ดังนั้นบานพับของนางจึงใช้บานพับประตูแทน
………………..
MANGA DISCUSSION