ตอนที่ 230 ไม่ยอมรับชะตา
………………..
ฉินเหยายังคิดว่าเขาเป็นลมแดดระหว่างขับรถเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพราะเสียหน้านี่เอง
นางโบกมือ สั่งให้เขาไปอยู่ข้างๆ ให้ห่างจากไฟเสียหน่อย ส่วนตนนั่งลงหน้าเตา มองบะหมี่ในหม้อพลางกล่าวว่า
“เจ้าดูแผนที่ พวกเราใกล้จะถึงเมืองหลวงของมณฑลแล้ว เมืองหลวงของแคว้น ย่อมใหญ่โตและรุ่งเรืองกว่าอำเภอไคหยางเล็กๆ มากนัก ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ขุนนางและพ่อค้าคหบดีมีมากมายนับไม่ถ้วน”
“เหนือจวนเจ้าเมืองขึ้นไป ยังมีซุ่นเทียนฝู่ทางเหนือ อิงเทียนฝู่ทางใต้ และแคว้นเซิ่งทั้งสองเมืองหลวง ขุนนางชั้นสูงล้วนอยู่ที่นั่น เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งใต้อำเภอไคหยางพอถูกโยนเข้าไปแล้ว เกรงว่าจะต่ำต้อยยิ่งกว่าขอทานข้างถนนเสียอีก เพราะอย่างไรเสียพวกขอทานก็เติบโตขึ้นที่นั่น ได้เห็นความหรูหราของขุนนางชั้นสูงมานับไม่ถ้วน”
เมื่อบะหมี่สุกแล้ว ฉินเหยาจึงส่งสัญญาณให้ต้าหลางและคนอื่นๆ นำชามออกมา ตักบะหมี่ให้พวกเขาตามปริมาณที่กิน โรยเกลือเล็กน้อย หยดน้ำปรุงรสสองหยดก็มีรสชาติแล้ว
“ท่านพ่อ ชามของท่าน” ซื่อเหนียงยื่นชามให้หลิวจี้ เขาฝืนยิ้มรับ ไม่กล้ารบกวนฉินเหยา ลงมือตักบะหมี่เอง
ตักเสร็จก็ถือชามบะหมี่ไว้แต่ไม่กิน
บะหมี่ที่เหลือในหม้อเป็นของฉินเหยาทั้งหมด นางยกหม้อขึ้นซดกินพลางกล่าวว่า “ถิ่นกำเนิดของคนเราสำคัญมาก แต่สิ่งนี้เราเลือกไม่ได้ เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ทรัพยากรขาดแคลน ไม่มีอะไรสักอย่าง”
“เกิดในเมืองหลวง แม้จะเป็นขอทานก็อาจได้กินของอร่อยเลิศรสที่พวกขุนนางทิ้งขว้างบ้าง”
“แต่คนที่เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ก็ยังสามารถเลือกเส้นทางที่จะเดินในอนาคตได้”
“เขาอาจจะใช้ชีวิตไปวันๆ สืบทอดที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟินของบรรพบุรุษและเป็นชาวนาซื่อๆ หรืออาจจะมุ่งมั่นตั้งใจเล่าเรียนสอบเคอจวี่ ออกจากหมู่บ้าน ออกจากอำเภอ ออกจากเมืองหลวงของมณฑล ไปยังเมืองหลวง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวจี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “แต่ข้าผู้ซึ่งเกิดมาโดยไม่มีอะไรเลย ต้องไปแข่งขันกับพวกเขาในห้องสอบเดียวกัน จะสู้ได้อย่างไร”
เขาถอนหายใจ “บางที นี่อาจจะเป็นโชคชะตา…”
“อืม เจ้าจะยอมรับชะตาก็ได้” ฉินเหยาซดบะหมี่คำสุดท้ายเสียงดัง วางชามลง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน กางนิ้วคำนวณอย่างจริงจัง
“เมื่อครั้งไถ่ตัวเจ้า ข้าให้เงินหลินเอ้อร์เป่าไปสามสิบแปดตำลึง ค่าเล่าเรียนในสำนักศึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกห้าตำลึง กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา เจ้ากินของข้า ใช้ของของข้า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนเป็นเงินของข้าทั้งนั้น ข้าคิดเหมาให้เจ้าสิบตำลึงก็แล้วกัน รวมกับดอกเบี้ยที่ผ่านมาทั้งหมด รวมกันเป็น…”
หลิวจี้ตัวสั่นเทิ้ม “ข้าไม่ยอมรับชะตา! ข้าไม่มีวันยอมรับชะตาเด็ดขาด!”
ฉินเหยาส่งสายตาสื่อว่าสายไปแล้วให้เขา “รวมทั้งหมดห้าสิบห้าตำลึง โอ้ ยังมีหีบหนังสือและหนังสือของเจ้าอีก ตีราคาเพิ่มอีกห้าตำลึง รวมเป็นหกสิบตำลึงถ้วน เจ้าเอาเงินมาให้ข้า เจ้าก็กลับไปได้ แผ่นดินกว้างใหญ่ สุดแล้วแต่เจ้าจะท่องเที่ยวไป”
แน่นอน หากไม่มีเงินจ่ายก็ต้องขออภัย คงต้องให้เขาไปตายเสีย
พวกต้าหลางสี่พี่น้องซึ่งกำลังกินบะหมี่อยู่ถึงกับหยุดชะงัก มองไปยังหลิวจี้ที่อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาด้วยความตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเช่นนี้
ไม่ใช่ เขาหวงแหนชีวิตมากต่างหาก อุตส่าห์คลานกลับมาจากชายแดน ทั้งยังดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา
หลิวจี้ก่อนหน้านี้ยังคิดได้ไม่ทะลุปรุโปร่งเหมือนเด็กๆ ที่ยังคงคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม
แต่ตอนนี้เมื่อถูกฉินเหยากระตุ้นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยยอมรับชะตาเลย!
“เมียจ๋า เจ้าอย่าโกรธ ข้าคิดผิดไป มาๆ เจ้ามานั่งพักสักครู่ ข้าจะไปล้างชามที่ริมน้ำแล้วพวกเราจะออกเดินทางกันทันที”
หลิวจี้ซดบะหมี่ในชามจนหมดเกลี้ยง คว้าชามและตะเกียบของฉินเหยาและพวกต้าหลางทั้งสี่คนเดินไปยังริมแม่น้ำ
“ท่านพ่อ!” ซื่อเหนียงวิ่งตามไปอย่างโกรธเคือง “ข้ายังกินไม่หมดเลย!”
ซานหลางวิ่งตามหลังน้องสาวไปติดๆ เขากินช้า ยังเหลือบะหมี่คำเล็กๆ ในชาม “ฮือๆๆ ซื่อเหนียงเจ้ารอข้าด้วย…”
ฉินเหยายืนอยู่ใต้เพิงหญ้าที่ร่มรื่น เฝ้ามองดูสามพ่อลูกเดินไปยังริมแม่น้ำ นางเลิกคิ้วขึ้น หลิวจี้ผู้นี้กลับกลอกไปมาอยู่บ่อยครั้ง พาให้นางขบขันอยู่ไม่น้อย
กลับไม่รู้เลยว่าหลิวลี่ที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอยู่ข้างๆ ก็แอบคิดในใจว่า ได้เรียนรู้แล้ว!
พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกเส้นทางที่จะเดินได้
“เฮ้อ~” หลิวลี่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย ด้วยสติปัญญาและวรยุทธ์ของฉินเหนียงจื่อ หากเป็นชาย คงสร้างคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ได้แน่แท้
ฉินเหยารับรู้ถึงสายตาที่ร้อนแรงจากด้านหลังมานานแล้ว นางหันกลับไปยิ้มให้หลิวลี่ที่มองมาด้วยความเสียดาย “เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ”
“ได้!” หลิวลี่ตอบรับเสียงดัง ปลุกต้าจ้วงที่นอนหลับอยู่ข้างๆ “จะไปแล้วหรือ”
“เอ๊ะ? คุณชายรองท่านดูร่าเริงขึ้นแล้วนี่” ต้าจ้วงถามด้วยความสงสัย เมื่อกี้นี้ยังถอนหายใจอยู่เลย
หลิวลี่พยักหน้า ไม่เพียงแต่หายดีแล้ว เขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจอีกด้วย
ขึ้นรถ เปิดหีบหนังสือ อ่านหนังสือต่อไป
ต้าจ้วงเกาหัว ทั้งที่ตอนแรกยังบอกว่าจะไม่อ่านหนังสือตลอดทางแท้ๆ?
รอจนกระทั่งหลิวจี้และลูกๆ ทั้งสามคนกลับมา จัดเตรียมสัมภาระเล็กน้อย สองครอบครัวก็ออกเดินทางต่อ
การเดินทางในวันต่อมา เมื่อเทียบกับวันแรกที่ลดความตื่นเต้นหวาดเสียวลงไป ความตื่นเต้นที่จะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางกลับมีมากขึ้น
ตลอดทางที่ผ่านมา พบเจอผู้เข้าสอบมากขึ้นเรื่อยๆ หลิวจี้สังเกตว่า ผู้เข้าสอบที่เดินทางด้วยรถม้าหรูหราพร้อมกับผู้คุ้มกันนั้นมีเพียงหนึ่งถึงสองในสิบส่วน ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้แตกต่างจากพวกเขามากนัก
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจมองผู้คนที่ดูดีมีสง่าจนละเลยคนธรรมดาส่วนใหญ่ไป
ในขณะที่จำนวนผู้เข้าสอบเพิ่มขึ้น จำนวนชาวบ้านที่เดินทางบนท้องถนนก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวงของมณฑล จำนวนผู้คนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ราคาธัญพืชที่เคยพุ่งสูงอย่างไร้เหตุผลก็ค่อยๆ คงที่อยู่ในระดับสูง พอใกล้ถึงเมืองหลวงของมณฑล ราคาธัญพืชก็แทบไม่ต่างกันนัก สภาพแวดล้อมก็มั่นคงกว่ามาก
เมื่อเห็นประตูเมืองหลวงของมณฑลที่มีป้อมขนาดเล็ก เด็กๆ ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกันว่า “ว้าว!”
ต้าหลางอุทาน “ที่แท้กำแพงเมืองสูงถึงสามจั้งจริงๆ ด้วย!”
ซื่อเหนียงและซานหลางก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ที่นี่ใหญ่กว่าอำเภอมากนัก มากจริงๆ”
เอ้อร์หลางเกาะขอบหน้าต่างรถ มองดูผู้คนที่เดินเข้าออกที่ล้วนแต่งกายสวยงาม แตกต่างจากผู้คนนอกอำเภอไคหยางที่แต่งกายมอมแมมและดูซีดเซียวอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมองกลับมาที่พวกเขา เสื้อผ้าป่านสีขาวทำให้พวกเขาดูยากจนยิ่งขึ้น
ถนนในเมืองหลวงของมณฑลเป็นระเบียบและกว้างขวาง สามารถให้รถม้าสองคันวิ่งคู่กันได้ และยังมีพื้นที่ให้ชาวบ้านตั้งแผงขายของริมสองข้างทางได้
บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นอิฐและกระเบื้อง อาคารสองชั้นเล็กๆ ตั้งแต่เข้าเมืองมา ก็เห็นติดต่อกันแปดถึงเก้าหลัง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
สำเนียงของผู้คนที่นี่ก็แตกต่างจากอำเภอไคหยาง หลิวจี้ลงจากรถมาถามทาง ถามอยู่นานกว่าจะรู้ว่าสำนักข้าหลวงกรมศึกษาอยู่ที่ไหน
เขาและหลิวลี่ต้องไปรายงานตัวที่สำนักข้าหลวงกรมศึกษาก่อน เพื่อยื่นเอกสารและดำเนินการตามขั้นตอน
คนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับท้องถิ่นโดยทั่วไปจะหาตัวแทน
อุตสาหกรรมตัวแทนจึงได้ก่อตัวเป็นห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง มีคนรับจัดการขั้นตอนที่ยุ่งยาก ช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน บัณฑิตจะได้มีสมาธิกับการเตรียมตัวสอบเคอจวี่มากขึ้น
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกหลอกลวง ต้องพิจารณาด้วยตนเอง
ไม่หาตัวแทนก็ได้ ไปจัดการเองก็แค่เสียเวลามากขึ้น
เมื่อถึงในเมือง หลังจากหาโรงเตี๊ยมที่ยังมีห้องว่างและคุ้มค่าได้แล้ว ฉินเหยาและเด็กๆ ก็อยู่เก็บสัมภาระ ส่วนหลิวจี้และหลิวลี่รีบนำเอกสารที่จำเป็นออกไปสอบถาม
พวกเขาสองคนแค่สื่อสารกับคนท้องถิ่นก็ยังไม่คล่องแคล่ว นับประสาอะไรกับการติดต่อกับขุนนางในราชสำนัก
ดังนั้นจึงเตรียมที่จะหาตัวแทนท้องถิ่นมาช่วย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นเหมือนแมลงวันหัวขาด
………………..
MANGA DISCUSSION