ตอนที่ 229 ช่องว่างกว้าง
………………..
ฉินเหยายื่นเงินสามเฉียนให้หลิวจี้ “ไปสั่งบะหมี่มาแปดชาม ให้เสี่ยวเอ้อร์ใส่ผักเยอะๆ แล้วเพิ่มไข่ทอดหกฟองด้วย”
ปกติราคาของไข่ทอดเต็มที่ก็อยู่ที่ฟองละสองเหวิน ตอนนี้คงขึ้นราคาไปสี่ถึงห้าเท่าแล้ว เงินสามเฉียนนี้อาจจะไม่พอด้วยซ้ำ
เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว วันนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว กินให้อิ่มหน่อยจะได้มีอารมณ์เดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
เมื่อก่อนถ้าไม่ใช่เงินของตัวเอง หลิวจี้ไม่เคยเสียดายเลยสักนิด
แต่ตอนนี้ฉินเหยายื่นเงินมาให้ เขาเจ็บใจจนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เรียกต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลาง ไปสั่งอาหารที่ห้องโถงด้านหน้าด้วยกัน
บะหมี่ตั้งแปดชาม คนแค่สองมือจะถือกลับมาได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องเรียกคนไปเพิ่มอีกสามคน
หลิวจี้ใช้เงินสามเฉียนหมดเกลี้ยง ซื้อบะหมี่น้ำใสกลับมาแปดชามกับไข่ทอดอีกหกฟอง
ผักที่สั่งให้ใส่เพิ่มก็ไม่ได้เพิ่มมาสักเท่าไหร่ การขาดแคลนอาหารไม่ได้มีแค่ข้าวสารและแป้งสาลี ตราบใดที่กินได้ นอกจากข้าวที่ยังไม่สุกในนาแล้ว แม้แต่ผักป่าก็ไม่เว้น
ไข่นี่ขึ้นราคาแรงจริงๆ สิบเหวินต่อฟองยังเป็นราคาที่หลิวจี้ต่อแล้วลงมือทอดเองในครัว
ปกติอยู่ที่บ้านเคยชินกับการเทน้ำมันเยอะหน่อย เผลอใส่น้ำมันมากไปแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ! ก็เกือบจะโดนท่านป้าในครัวด่าตาย
อย่างไรก็ตาม อาหารเย็นมื้อนี้ทั้งหกคนในครอบครัวกินกันอย่างเอร็ดอร่อยมาก ฉินเหยาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวแสดงความพึงพอใจอย่างจริงใจด้วยการกินจนหมดชาม ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ยามค่ำคืน ทั้งครอบครัวเบียดเสียดกันอยู่ในห้องพักเล็กๆ เพราะวันนี้เดินทางมาเหนื่อยมาก หลิวจี้จึงนอนกรนเสียงดังสนั่น
กลางดึกโดนฉินเหยาเตะด้วยฝ่าเท้าไร้เงาไปทีหนึ่ง ถึงได้พลิกตัวแล้วหยุดกรน
แต่โดยรวมแล้ว คืนนี้ฉินเหยานอนหลับได้ไม่เลว
แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อมาถึงห้องโถงของโรงเตี๊ยมเพื่อซื้ออาหารสำหรับพกติดตัวไปกินระหว่างทาง กลับพบว่ารายการอาหารของร้านขึ้นราคาไปอีกห้าเหวิน
มือที่หลิวจี้ยื่นออกไป รีบหดกลับมาด้วยความตกใจ กำเงินไว้แน่น
ถึงกับรู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่เมื่อคืนฉินเหยาใจกว้างสั่งบะหมี่และไข่ทอดให้พวกเขากิน ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่ได้กินบะหมี่และไข่ในราคานั้นแล้ว
“เอาบะหมี่สดสิบจิน” ฉินเหยายังคงซื้ออยู่ บะหมี่สดหนึ่งจินราคาสามสิบเหวิน สิบจินรวมสามร้อยเหวิน
บะหมี่สดสิบจินบวกกับเสบียงแห้งที่ซื้อเมื่อวานพอให้พวกนางกินได้สองวัน เกือบจะถึงเมืองหลวงของมณฑลแล้ว ตอนนั้นใช้เตาเล็กๆ ต้มบะหมี่ด้วยน้ำร้อน ทั้งครอบครัวก็จะได้ชดน้ำแกงร้อนๆ ด้วย
หลิวจี้เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ซื้อจริงหรือ”
พวกเขามีบะหมี่อีกห้าสิบจินอยู่ในรถไม่ใช่หรือ อย่างมากก็เอาออกมากินสิ
ฉินเหยาส่ายหน้า ไม่อนุญาตให้เขาคิดถึงบะหมี่ห้าสิบจินนั้นตอนนี้ นางตั้งใจเก็บไว้สำหรับขากลับ เผื่อขากลับเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง นี่จะเป็นเสบียงช่วยชีวิต
ถ้าเอาออกมากิน ตอนนั้นจะกินลมกลับไปหรืออย่างไร
จะซื้อใหม่ก็พอทำได้อยู่หรอก เพียงแต่ราคาอาหารในตอนนี้ยังพุ่งขึ้นเช่นนี้ หากถึงครานั้น ราคาคงแพงเสียจนแม้แต่นางเองยังไม่กล้าจ่ายแน่แท้
ทางการกล่าวว่าเสบียงส่วนเกินยังคงมีพอเพียง แต่ก็ไม่รู้เหตุใดถึงยังไม่เปิดคลังแจกจ่ายเพื่อบรรเทาสถานการณ์เสียที
หากยังเพิกเฉย อีกไม่นานหลังการสอบฝู่ซื่อสอบเสร็จสิ้น จะต้องเกิดความวุ่นวายเป็นแน่
น่าเสียดายที่เรื่องแบบนี้ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาไม่มีสิทธิ์รับรู้ ได้แต่หวังให้สวรรค์เมตตาเท่านั้น
บางทีทางการอาจจะมีเหตุผลของพวกเขา แต่ฉินเหยาไม่สนใจมากขนาดนั้น สิ่งที่นางทำได้คือทำอย่างไรจึงจะไปถึงเมืองหลวงของมณฑล และทำอย่างไรจึงจะกลับไปถึงหมู่บ้านตระกูลหลิว
“ซื้อ!” น้ำเสียงของฉินเหยาหนักแน่นไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง สั่งให้หลิวจี้จ่ายเงิน แล้วจัดการคิดบัญชีให้เรียบร้อย
ซื้อบะหมี่เสร็จแล้ว อาหารเช้าทั้งสี่คนในครอบครัวจึงกินแป้งทอดที่ซื้อมาเมื่อวานตอนเที่ยงวัน กินกับน้ำแกงไข่ที่สั่งมาจากในครัว เด็กและผู้ใหญ่ต่างก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
หลิวลี่เลียนแบบฉินเหยา เห็นฉินเหยาซื้อบะหมี่ก็อดทนต่อราคาที่สูงลิ่ว สั่งให้ต้าจ้วงไปซื้อเสบียงสำหรับสองวัน ตั้งใจว่าจะทำอาหารกินเองในช่วงสองวันนี้
พวกเขากินวันละสองมื้อ ตอนเที่ยงหิวก็กินอะไรรองท้องไปก่อน ไม่เหมือนกับครอบครัวของฉินเหยาที่กินวันละสามมื้อจริงจัง การสิ้นเปลืองอาหารจึงน้อยกว่า ซื้อแค่สามจินก็พอแล้ว
ต้าหลางและเอ้อร์หลางนำเสื้อผ้าที่ซักเมื่อคืนแต่ยังไม่แห้งสนิทออกมาตากบนราวไม้ไผ่สำหรับแขวนโคมไฟที่ประตูรถม้า
หลิวลี่ที่เดินนำหน้าในวันนี้ เมื่อหันกลับไปเห็นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ ครอบครัวนี้กลับยังดูเหมือนมาเที่ยวเล่น เขาอดไม่ได้ที่จะอิจฉาความเข้มแข็งทางจิตใจของพวกนางจริงๆ
ไม่พูดถึงหลิวจี้ อีกฝ่ายเป็นพวกที่ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังนอนอยู่บนพื้นได้ สิ่งที่ทำให้หลิวลี่รู้สึกอิจฉาจริงๆ ก็คือพวกต้าหลางทั้งสี่พี่น้อง
อายุยังน้อยเพียงนี้ แต่ก็มีประสบการณ์เดินทางไกลที่น่าประทับใจเช่นนี้แล้ว คราวหน้าเมื่อนึกย้อนกลับมา คงรู้สึกว่างดงามไม่น้อยกระมัง
ส่วนเขา ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เพิ่งจะเคยออกจากเขตอำเภอไคหยางเป็นครั้งแรก
รถม้าบนถนนเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มองก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตที่จะไปสอบที่เมืองหลวงของมณฑล
พวกเขามีอายุมากบ้างน้อยบ้าง มีคนหนึ่งดูเหมือนจะอายุประมาณสิบขวบ หลิวลี่และหลิวจี้เห็นแล้วก็ตกใจมาก
“นี่มันเด็กอัจฉริยะชัดๆ!” หลิวจี้พึมพำด้วยความตกใจ
รถม้าของอีกฝ่ายหรูหรามาก มีผู้คุ้มกันและคนรับใช้มากมาย พวกเขาจึงต้องหลีกทางให้อีกฝ่ายไปก่อน
คำพึมพำด้วยความตกใจของหลิวจี้ถูกอีกฝ่ายได้ยินเข้าเต็มๆ
เด็กคนนั้นกับผู้คุ้มกันขี่ม้ามาด้วยกัน เด็กคนนั้นหันหน้ามามองเขาแวบหนึ่ง เสื้อแพรไหมสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายหลากสี เกือบจะทำให้ตาของหลิวจี้พร่ามัว
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหันกลับไปเร็วเกินไป กว่าเขาจะตั้งสติได้และอยากจะมองให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กอัจฉริยะจากตระกูลผู้มีอำนาจ เด็กคนนั้นก็ขี่ม้าไปไกลแล้ว
แต่เพียงแค่แวบเดียวนั้นก็แผดเผาใจเขา ทำให้หลิวจี้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกอยู่นาน
เด็กคนนั้นเปรียบเสมือนการตบหน้าหลิวจี้รอบด้าน แม้แต่หลิวลี่ก็ยังเริ่มเสียศูนย์ นั่งอยู่ในรถก็อ่านหนังสือไม่เข้าหัว
มีคู่แข่งแบบนี้ พวกเขายังจะมีโอกาสอีกหรือ
เมื่อก่อนตอนอยู่ในสำนักศึกษาเล็กๆ ในอำเภอไคหยาง พอถูกอาจารย์ชมสองคำก็คิดว่าตัวเองเป็นมังกรในหมู่คน
ตอนนี้เมื่อออกมาดูข้างนอก เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริงแล้ว พวกเขานับเป็นตัวอะไร?
ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น!
ตอนเที่ยงพักกินอาหารกลางวันที่ศาลาริมทาง หลิวจี้และหลิวลี่สบตากันแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน “เฮ้อ~”
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงไม่ได้ให้เวลาพวกเขาปรับตัวมากนัก หลิวจี้มองต้าจ้วงที่งีบหลับพิงประตูรถม้าด้วยความอิจฉาแล้วรับฟืนที่ฉินเหยาและลูกๆ อีกห้าคนแบกมา ก่อไฟต้มน้ำทำบะหมี่กิน
เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนใส่บะหมี่จึงเกือบจะเอาทั้งมือและบะหมี่จุ่มลงไปในน้ำเดือด ถ้าฉินเหยาไม่เห็นทันแล้วจับมือเขาไว้ ปีนี้ก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการสอบแล้ว
“เจ้าเป็นอะไรไป? ใจลอยอยู่ได้?” ฉินเหยาถามด้วยความไม่พอใจ
หลิวจี้เพิ่งรู้สึกตัว หันไปมองบะหมี่ที่ถูกต้มจนสุกในน้ำเดือดก็รู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย
แต่ในใจกลับมีความรู้สึกที่อยากระบายออกมา เขาถอนหายใจแล้วพึมพำว่า “พวกผู้เข้าสอบที่กำลังเดินทางไปสอบนั่นมีทั้งรถม้าหรูหรา มีผู้คุ้มกันและคนรับใช้ติดตาม…อย่างไรข้าก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี หรือว่าพวกเรายอมแพ้เลยดีหรือไม่ แถวนี้ราคาอาหารก็ยังสูงขนาดนี้ มิสู้กลับบ้าน…”
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง มองท้องฟ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลิวจี้รู้สึกว่าตัวเองเล็กยิ่งกว่าฝุ่นละอองเสียอีก
………………..
MANGA DISCUSSION