ตอนที่ 226 แก่นแท้ที่มั่นคง
………………..
หลังจากเขียนคำอธิบายและบันทึกอาชญากรรมทั้งหมดเสร็จสิ้น ค่ำคืนก็ล่วงเลยไปมากแล้ว สองครอบครัวใช้ฉากกั้นแบ่งห้องพักรวมออกเป็นสองส่วนแล้วขึ้นเตียงนอนพักผ่อน
ต้าหลางและน้องๆ ทั้งสี่คนใช้เวลานานกว่าจะหลับได้ วันแรกของการเดินทางก็เจอเรื่องตื่นเต้นเช่นนี้ พวกเขาตื่นเต้นมาก
เดิมฉินเหยาคิดว่าเด็กๆ จะกลัว ใครจะคิดว่าพวกเขากล้าหาญถึงเพียงนี้ ยังกล้าวิ่งออกไปดูโจรร้ายเก้าคนที่ถูกมัดอยู่ข้างนอกประตู วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาของพวกเขาพลางชี้ไม้ชี้มือไม่หยุด
ภายหลังเมื่อนางเล่าคำให้การของคนทั้งเก้าให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็ตั้งใจฟังกันมาก จนคนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่ากำลังฟังนิทานพิสดาร
ทว่าเมื่อคิดอีกที นี่มิใช่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านิทานพิสดารเสียอีกหรือ?
กว่าเด็กๆ จะหลับก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว
หลิวจี้ยังไม่หลับ ต้าจ้วงที่อยู่ข้างๆ นอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาหลับไม่ลงเลยสักนิด
“พึ่บ พึ่บ!”
ในความมืดมิด ไม่ไกลนักมีเสียงประหลาดดังมาจากคนบางคน
ฉินเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังคิดจะเมินเฉย เงาดำก็ย่องเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ
ฉินเหยาลุกขึ้นนั่งพลางคว้าคอผู้มาเยือนไว้อย่างแม่นยำทันที ในความมืดมีเสียง “อึก” ดังขึ้น ตามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เมียจ๋า…ข้าเอง…”
แรงที่คอคลายลง หลิวจี้รีบสูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ดึงมือของนางออก นอนลงบนที่ว่างข้างกายนางแล้วหัวเราะเบาๆ
ฉินเหยากำลังจะด่าว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรก็รู้สึกว่ามีมืออีกข้างทาบทับลงบนกลางฝ่ามือของนางพร้อมของแข็งๆ หล่นออกมาสองสามชิ้น
เป็นเงินตำลึง!
ดวงตาของฉินเหยาเปล่งประกายวูบวาบในความมืด ชั่งน้ำหนักดูมีประมาณสี่ถึงห้าตำลึง
“อยู่ตรงนี้หมดแล้วหรือ” ฉินเหยาถามเสียงเบา
หลิวจี้ตอบด้วยน้ำเสียงซื่อตรงยิ่งนัก “ใช่แล้ว ควานหาออกมาได้ทั้งหมดแค่นี้ อยู่ตรงนี้หมดแล้ว ข้ามิได้ซ่อนไว้แม้แต่เหวินเดียว”
กล่าวจบก็รู้สึกได้ถึงความยินดีของนาง เขาจึงเอามือหนุนศีรษะ พลิกตัวหันหน้ามาทางนาง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ดีใจหรือไม่”
“เฉยๆ นะ”
เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมาย
หลิวจี้ใจเต้นตึกตัก ฉวยโอกาสก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือรีบควานเข้าไปในอกพลางทำท่าทางตกตะลึง “อ๊ะ ลืมไปเลย ตรงนี้ก็ยังมีอีกก้อนหนึ่งแน่ะ”
เป็นเงินก้อนเล็กๆ หนักสองตำลึงกว่าอีกก้อนหนึ่ง รวมเข้าด้วยกันก็เจ็ดตำลึงพอดี
ฉินเหยาจึงหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “นับว่าเจ้ารู้ความ”
หลิวจี้มองเพดานที่มืดมิด ในใจมีคนตัวเล็กกำลังร้องไห้ ไม่รู้ความก็ไม่ได้นี่นา มองโจรร้ายเก้าคนที่ยังสลบอยู่หน้าประตู เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าฉินเหยาทำอะไรกับพวกเขาบ้าง
“นอนเถิด” ฉินเหยาเก็บเงินแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ทั้งสองคนนอนห่างกันไม่ถึงครึ่งแขน นางยังได้ยินเสียงพลิกตัวของเขา
คืนนี้เห็นได้ชัดว่าหลิวจี้ไม่คิดจะย้ายไปไหน ตั้งใจจะนอนอยู่ตรงนี้แล้ว
เพราะ…เขากลัวนี่นา!
ตอนทำอาหาร ฉินเหยามิได้กล่าวสิ่งใด ทว่าหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ นางกลับบอกตำแหน่งที่ฝังศพของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าออกมา
เพียงแค่หลิวจี้นึกว่าคนที่เพิ่งตายไปถูกฝังอยู่ในป่าไผ่บริเวณประตูหลัง และตนเองเพิ่งทำอาหารอยู่ในครัวโดยมีศพของคนผู้นั้นอยู่ใกล้ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ขึ้นมา
ในป่าลึกเช่นนี้ แม้แต่เงาของกิ่งไม้ที่สะท้อนบนหน้าต่างก็ทำให้เขาตกใจแทบตายแล้ว
ดังนั้น การนอนอยู่ระหว่างแผ่นไม้กับฉินเหยาจึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่า
ฉินเหยาเห็นแก่เงินที่เพิ่งรับมาจึงปล่อยเลยตามเลย ขอเพียงอย่ามาแตะต้องตัวนางก็พอ
ทว่าดูเหมือนว่าคนบางคนนอนจะไม่ค่อยสงบนัก มักจะกลิ้งมาทางนางอยู่เสมอ
ดังนั้น เช้าวันถัดมา เมื่อต้าหลางและน้องๆ ทั้งสี่ตื่นขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือท่านแม่เอาเท้าข้างหนึ่งยันหลังท่านพ่อเอาไว้ ทำเอาทั้งร่างของท่านพ่อแนบติดไปกับแผ่นไม้ ส่วนท่านพ่อยังคงนอนหลับปุ๋ยโดยที่ใบหน้าแนบกับผนังอย่างนั้น เป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดสิ้นดี
ครั้นสองผู้ใหญ่ตื่นขึ้น ซานหลางก็ตามท่านพ่อไปยังห้องครัว มองเขาจุดไฟต้มน้ำร้อนพลาง มองเอวของเขาด้วยความสงสัยแล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า
“ท่านพ่อ ท่านปวดเอวหรือไม่”
หลิวจี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวอย่างปากแข็งว่า “ยังไหวอยู่”
ซานหลางส่งเสียงอ้อแล้ววิ่งไปยังคอกม้าตามหลังท่านแม่ที่กำลังเทียมรถม้า ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ ท่านปวดขาหรือไม่”
ฉินเหยาหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ไม่ปวดนี่” พอดีได้ยืดเส้นยืดสาย
ซานหลางส่งเสียงอ้ออีกครั้ง เกาศีรษะแล้วเดินกลับไปที่ห้องโถง เห็นพี่ใหญ่และพี่รองกำลังวุ่นวายเก็บสัมภาระก็ถามด้วยความสงสัยว่า
“พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านพ่อท่านแม่นอนด้วยกันเมื่อวาน ทำไมถึงไม่ปวดเอวไม่ปวดขาเลยล่ะ”
ต้าหลางส่ายหน้า “ไม่รู้สิ” เขาไม่สนใจคำถามนี้
เอ้อร์หลางยักไหล่ “บางทีท่านพ่อท่านแม่อาจจะแข็งแรงก็ได้”
กล่าวจบก็รำคาญที่ซานหลางยืนเกะกะอยู่ข้างๆ จึงบอกให้เขาออกไปเล่นกับซื่อเหนียง อย่าได้ขัดขวางพวกเขาเก็บสัมภาระ
ซานหลางที่ถูกพี่ชายทั้งสองรังเกียจจึงทำปากยื่นอย่างน้อยใจแล้วหันหลังกลับวิ่งเหยาะๆ ไปหาพี่สาวที่หน้าประตู
ผลก็คือพบว่าซื่อเหนียงยืนถือหนังสือ กำลังอ่านหนังสือของช่วงเช้าเสียงดังอยู่ในป่าไผ่
โจรร้ายทั้งเก้าคนตื่นแล้ว แต่ถูกอุดปากไว้อย่างแน่นหนา ร่างพิงอยู่กับประตูหน้าโรงเตี๊ยม ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในชีวิต
ซานหลางจึงนึกขึ้นได้ว่ายังต้องทบทวนบทเรียน เขาจึงเข้าร่วมกลุ่มอ่านหนังสือตอนเช้าของซื่อเหนียงอย่างมีความสุข
ต้าจ้วงอุ้มสัมภาระเดินออกมาจากห้องโถง เห็นหลิวลี่ที่กำลังจัดหีบหนังสืออยู่ข้างรถม้า ก็กระซิบข้างหูเขาอย่างมีเลศนัยว่า
“เมื่อคืนฉินเหนียงจื่อกับหลิวจี้นอนด้วยกัน ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะดีถึงเพียงนี้ จริงด้วย ร่างกายก็แข็งแรงดีด้วยนะ เอวไม่ปวด ขาก็ไม่เมื่อย…”
ดวงตาของหลิวลี่เบิกกว้าง นี่มันถ้อยคำหยาบคายอะไรกัน!
ต้าจ้วงส่งสายตาให้หลิวลี่ว่า ‘อย่าบอกใครเล่าว่าข้าเป็นคนพูด’ แล้วเปิดประตูหลังรถม้า ขนสัมภาระเข้าไปทั้งหมด หันกลับไปวุ่นวายอยู่ที่สถานีพักม้าอีกครั้ง
ฉินเหยามอบหมายงานให้เขาไปปักป้ายเตือนไว้ริมทาง เพื่อไม่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องหลงเข้าไปในสถานีพักม้า
เรื่องนี้จัดการง่าย หาแผ่นไม้มาแผ่นหนึ่ง ให้คุณชายรองบ้านเขาเขียนข้อความเตือน แล้วปักไว้ริมถนนหลวงก็พอ
ชาวบ้านธรรมดาคงไม่มาที่นี่ ขุนนางและผู้เข้าสอบล้วนอ่านหนังสือออก เมื่อเห็นก็จะรู้ว่าเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นที่นี่ ต้องหลีกเลี่ยง
เครื่องมือที่ใช้ก่อเหตุทั้งหมดถูกเก็บไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะคิดเงินของสถานีพักม้า เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายเก็บไปใช้ก่อเหตุร้ายอีก
เอกสารอธิบายถูกวางไว้บนโต๊ะโดยมีเชิงเทียนทับไว้ โจรร้ายทั้งเก้าคนถูกปิดปากมัดไว้ในสถานีพักม้า เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฉินเหยาจึงตรวจสอบอีกครั้ง ปิดประตูใหญ่ของสถานีพักม้า แล้วให้อาหารม้าของทางการในคอกอีกกำมือหนึ่ง จากนั้นจึงออกเดินทาง
เดินทางไปข้างหน้าสามสิบลี้ ผ่านเมืองประจำอำเภอ หลิวจี้เสียเงินสิบเหวินจ้างคนช่วยส่งจดหมายร้องเรียนไปยังทางการ
เมื่อทางการทราบเรื่อง พวกเขาก็เดินทางไปถึงเมืองถัดไปแล้ว
อาหารแห้งหมดแล้ว พวกเขาจึงหยุดพักที่นี่เล็กน้อย หาโรงเตี๊ยมเล็กๆ กินอาหารกลางวัน แล้วซื้อแป้งทอดที่เก็บไว้ได้นานอีกมากเป็นเสบียงเดินทางต่อ
ตอนเช้าแสงแดดเจิดจ้า ตอนเที่ยงท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าสดใส ไม่คิดว่าเพิ่งออกจากเมืองได้ไม่นาน เมฆดำก็บดบังดวงอาทิตย์และฝนเริ่มตก
ฝนตกหนักและกะทันหันมาก โชคดีที่นอกเมืองมีศาลาพักริมทางให้หลบฝนได้บ้าง ผู้คนจึงไม่เปียกปอน
หลิวจี้ผูกม้าเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปในศาลา ชี้ไปที่ท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วด่าทอ
ขณะนั้นเอง ฟ้าก็ผ่าลงมา ทำให้หลิวลี่และต้าจ้วงตกใจจนกล่าวว่าหลิวจี้ไม่เคารพฟ้าดินจึงถูกลงโทษ
ทั้งสองคนไม่ถูกกันอยู่แล้วจึงทะเลาะกันอีก หลิวจี้ไม่เชื่อเรื่องฟ้าลงโทษอะไรนั่นหรอก หากจะลงโทษก็ควรลงโทษโจรร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วเหล่านั้น ทำไมพวกมันถึงยังอยู่ดีกันเล่า
ทะเลาะกันเสร็จ ทะเลาะจนชนะ ทะเลาะจนหลิวลี่พูดไม่ออก เขาก็หันกลับไปมองห้าแม่ลูกข้างหลังอย่างภาคภูมิใจ
ทว่าไม่คิดเลยว่า ในสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้ ฉินเหยายืนอยู่ในศาลา มองหมู่บ้านและทุ่งนาที่พร่ามัวนอกม่านฝนแล้วหัวเราะออกมา
เพราะท่าทีของนาง ต้าหลางและน้องๆ จึงมิได้กระวนกระวายเพราะฝนตกหนัก ทั้งสี่คนพูดคุยกันเจื้อยแจ้วว่าจะใช้บทกวีใดมาบรรยายภาพเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุด
แก่นแท้อันมั่นคงเช่นนี้ ทำให้หลิวจี้ที่กำลังโกรธจัดถึงกับชะงักไป…เขาดูเป็นคนทึ่มไปเลย!
………………..
MANGA DISCUSSION