ตอนที่ 225 กำลังซุ่มซ่อนพัฒนาตน
………………..
ครั้นนางลากคนทั้งเก้ามาถึงหน้าประตูสถานีพักม้า โคมไฟของที่นี่ก็ได้ถูกหลิวจี้จุดขึ้นแล้ว เด็กๆ นั่งอยู่ในห้องโถงที่สว่างไสว
รถม้าถูกปลดออกแล้ว สัมภาระกองไว้ในห้องพักรวมหลังฉากกั้นของสถานีพักม้า
ม้าถูกนำไปขังในคอกม้าและได้กินหญ้าเรียบร้อยแล้ว
ฉินเหยาทิ้งโจรร้ายทั้งเก้าและเครื่องมือที่ใช้ก่อเหตุไว้หน้าประตู หลิวจี้ที่ยืนรออยู่ตรงประตูมองคนทั้งเก้าแวบหนึ่งแล้วส่งเสียง “ซี๊ด” ออกมา สภาพของคนทั้งเก้าในเวลานี้ เขาทำได้เพียงใช้คำว่าน่าเวทนายิ่งนักมาบรรยาย
เมื่อมองฉินเหยาเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หลิวจี้ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ฉินเหยาเงยหน้ามองเขา ที่เจ้าถอยหลังไปนั้นจริงจังหรือไม่
หลิวจี้ยิ้มประจบแล้วถามว่า “เมียจ๋า ดูเหมือนว่าจะมีเตาไฟอยู่ที่ลานหลังบ้าน พวกเราก็มีเตรียมแป้งสาลีมาเอง ไม่สู้คืนนี้ไม่กินบะหมี่ดีไหม”
ฉินเหยาลูบท้องที่หิวเสียจนแทบจะแนบติดแผ่นหลังแล้วถามเขาว่าบะหมี่ต้องทำนานแค่ไหน
“ประมาณสองเค่อ” หลิวจี้คาดคะเน
ฉินเหยาส่ายหน้า “นานเกินไป พวกเจ้าลองหาดูว่าในโรงเตี๊ยมมีอาหารอื่นอยู่หรือไม่”
คนทั้งเก้าฆ่าคนก็เพื่ออาหารในสถานีพักม้า ที่นี่น่าจะมีของกินอยู่
หลิวจี้พยักหน้าแล้วเรียกหลิวลี่ที่กำลังเก็บสัมภาระอยู่ในห้องโถง ตั้งใจว่าจะไปดูที่ห้องครัวที่ด้านนอกประตูหลังด้วยกัน
หลิวลี่ไม่เต็มใจที่จะไปพร้อมกันกับเขาจึงเรียกต้าจ้วงมาด้วย
ฉินเหยากำลังจะนั่งพักผ่อนสักครู่ มองดูทั้งสามคนกำลังจะเปิดประตูหลัง ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบร้องขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน ข้าทำเอง!”
ทั้งสามคนมองนางด้วยความสงสัย
ฉินเหยารับน้ำเต้าจากต้าหลางมาดื่มน้ำดับกระหายไปอึกใหญ่ ลุกขึ้นเดินไปยังประตูหลัง มิได้บอกอะไรพวกเขา นางเปิดประตูด้วยตนเองแล้วส่งสัญญาณให้ทั้งสามคนรอสักครู่ จากนั้นเดินออกไปข้างนอกคนเดียวเพื่อตรวจสอบ
ด้านนอกประตูหลัง เป็นกระท่อมมุงหญ้าโทรมๆ หลังหนึ่ง ข้างในมีตู้ที่ลงกลอนไว้และเตาไฟสองเตา บนเตามีเขียง บนเขียงมีมีดทำครัวเล่มหนึ่งและผักสดตะกร้าเล็กๆ
ทว่าฉินเหยากลับเห็นรอยเลือดบนเตาไฟและผักกับเขียงที่มีรอยเลือดติดอยู่
หากฟ้ามืดจนมองเห็นไม่ชัด แล้วนำพวกมันมาทำอาหารเลยล่ะก็…ฉินเหยาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว สะบัดความคิดที่น่าขยะแขยงในหัวออกไป
นางเดินเข้าไปในครัวแล้วโยนสิ่งสกปรกเหล่านั้นทั้งหมดไปที่ป่าไผ่ จากนั้นก็ทุบกุญแจตู้ให้แตก เมื่อเปิดดู ชั้นบนเป็นชามตะเกียบและเนื้อรมควันที่แข็งเล็กน้อย ชั้นล่างมีไหดินเผาเล็กๆ สองใบ ในไหมีข้าวสารและข้าวฟ่าง
“คืนนี้ต้มโจ๊กเถิด” ฉินเหยาสั่งหลิวจี้ที่ยืนอยู่ข้างประตูหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
หลิวจี้ส่งเสียงตอบรับแล้วถามด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อยว่า “พวกเราออกไปได้หรือยัง”
“รออีกสักครู่” นางต้องไปตามหาศพของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าก่อน
ที่จริงหาได้ง่ายมาก อยู่ด้านนอกป่าไผ่ ร่องรอยดินถูกขุดสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ฉินเหยามาถึงจุดฝังศพ ใช้เท้าเขี่ยดินออกเล็กน้อย ศพถูกฝังอย่างลวกๆ เพียงแค่เขี่ยเบาๆ เสื้อผ้าของผู้ตายก็โผล่ออกมา เป็นชุดเครื่องแบบสีแดงเข้มของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้า น่าจะเป็นศพของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าที่หายไป
ฉินเหยายืนอยู่กับที่ ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่สามวินาทีว่าจะขุดศพขึ้นมาดีหรือไม่
แต่เมื่อหันกลับไปมองหลิวจี้ที่ทำท่าขี้ขลาดตาขาวอยู่หลังประตู นางก็กลัวว่าเขาจะทำอาหารไม่เสร็จจึงล้มเลิกความคิดนั้นไป
ฉินเหยาเดินกลับมาจากป่าไผ่อย่างใจเย็นแล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้าตรวจสอบแล้ว บริเวณนี้ไม่น่าจะมีโจรร้ายแล้ว พวกเจ้าทำอาหารเถิด ข้าจะกลับไปดูเด็กๆ ที่ห้องโถง”
กล่าวจบ นางก็ล้างมือในถังน้ำข้างครัว เดินผ่านทั้งสามคนกลับไปยังห้องโถง
หลิวจี้มองต้าจ้วงแล้วมองหลิวลี่ “ทำอาหารเป็นหรือไม่”
ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน ที่บ้านล้วนเป็นสตรีที่ทำอาหาร พวกเขาแทบจะไม่เคยเข้าไปในครัวเลย
หลิวจี้จึงเหลือบมองทั้งสองคนอย่างจนใจ “ถ้าเช่นนั้นก็มาช่วยงาน”
ต้าจ้วงพยักหน้าไม่มีความเห็น หลิวลี่กลับไม่ยอม “ตำราว่าไว้ วิญญูชนควรอยู่ห่างจากห้องครัว…”
ยังไม่ทันขาดคำก็ถูกหลิวจี้โบกมือขัดอย่างหงุดหงิด “วิญญูชนอะไรกัน พูดมากนัก! มานี่มาก่อไฟ!”
มิรอช้า เขาก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปในครัวเพื่อก่อไฟทันที
คุณชายรองบ้านตนเองฝีมือระดับใด ต้าจ้วงรู้ดี มองหลิวลี่ที่ยัดฟืนเข้าไปในช่องเตาโดยตรงแล้ว ก็ลังเลที่จะพูด กล่าวแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็กล่าว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าเขาทำเองดีกว่า
ต้าจ้วงเชิญหลิวลี่ขยับถอยไปด้านข้าง นำฟืนทั้งหมดออกมาจากช่องเตาแล้วใส่เศษไม้บางๆ สำหรับจุดไฟ ใช้หินเหล็กไฟจุดไฟจนติดแล้วจึงเติมฟืนเข้าไป
หลิวจี้เทข้าวสารออกจากโอ่งข้าว ซาวข้าวแล้วต้มโจ๊ก ท้องฟ้ามืดแล้ว ขณะตักน้ำรู้สึกว่าด้ามทัพพีไม้เหนียวเหนอะหนะ เขาจึงยกมือขึ้นมาดูใกล้ๆ ด้วยความสงสัย ได้กลิ่นที่ไม่ค่อยดีนัก เห็นว่ามีคราบสีน้ำตาลติดอยู่ที่นิ้ว
“อะไรเนี่ย?” หลิวจี้พึมพำ ตักน้ำล้างมืออีกครั้งแล้วจึงซาวข้าวทำอาหารต่อ
เนื้อรมควันในตู้ถูกสับละเอียดแล้วใส่ลงในโจ๊ก กลื่นหอมฟุ้งกระจาย
น่าเสียดายที่ผักสดสองสามกำเมื่อครู่ถูกสตรีดุร้ายบ้านเขาทิ้งไปเสียแล้ว มิฉะนั้นใส่ผักลงไปอีกหน่อย คงจะอร่อยยิ่งขึ้น
โจ๊กหม้อนี้ต้มออกมา ที่จริงยังไม่พอสำหรับสองครอบครัวกิน ทุกคนจึงหยิบอาหารแห้งของตนเองออกมาเพื่อกินกับโจ๊ก
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ หลิวจี้ก็เดินวนเวียนไปทั่วห้องโถง คว้าจับสิ่งนั้นที มองสิ่งนี้ครู่หนึ่ง ตามหลักแล้วในโรงเตี๊ยมน่าจะมีสุราและสิ่งอื่นๆ ทว่ากลับหาไม่พบ
ภายหลังจึงคิดได้ว่าน่าจะถูกโจรร้ายเก้าคนที่สลบอยู่หน้าประตูนั้นขนไปหมดแล้ว
ในความมืดมิดเช่นนี้ ยากที่จะไปหาของที่พวกมันซ่อนไว้ หลิวจี้จึงทำได้เพียงยอมแพ้ด้วยความขุ่นเคือง
เมื่ออิ่มท้องแล้ว ทุกคนจึงมีเวลาถามฉินเหยาว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
หลิวลี่หยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกออกมา ต้าจ้วงช่วยฝนหมึก เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกไว้ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานเมื่อไปแจ้งทางการ
ลมที่พัดมาจากภูเขานั้นเย็นเล็กน้อย ฉินเหยาส่งสัญญาณให้หลิวจี้ไปปิดประตูใหญ่ สองครอบครัวจึงมานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะ ฟังฉินเหยาเล่าเรื่องราวทั้งหมด
หลิวลี่บันทึกอย่างมีระเบียบแบบแผน เขามีความรู้เรื่องกฎหมายเป็นอย่างดี และเคยอ่านคำให้การของนักโทษในคุก ข้อมูลที่ฉินเหยากล่าว เขาจะนำมาสรุปและจัดเรียงใหม่แล้วจึงลงมือเขียน
ชื่อและฉายาของคนทั้งเก้า ฉินเหยาได้สอบถามจนหมดสิ้นแล้ว ใครพูดคำใด หลิวลี่จะมีหมายเหตุพิเศษกำกับไว้ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างยิ่ง
ลักษณะรูปร่างหน้าตาของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกคนทั้งเก้าทำร้าย สถานที่เกิดเหตุ และวิธีการฆาตกรรมล้วนถูกบันทึกไว้โดยละเอียด
เมื่อเขียนเสร็จหนึ่งชุด เขาก็นำไปให้ฉินเหยาตรวจดูก่อน
ฉินเหยามองบันทึกการกระทำผิดของอาชญากรในมือ และเอกสารอธิบายสถานการณ์ของโรงเตี๊ยมที่พวกเขาสองครอบครัวพบเจออย่างถี่ถ้วน ในใจก็รู้สึกประจักษ์ถึงความสามารถทางวรรณกรรมอันสูงส่งของบัณฑิตในยุคนี้เป็นครั้งแรก
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีความเจ็บปวด หันหน้ากลับไปมองหลิวจี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังเล่นตบแปะกับซานหลางและซื่อเหนียง ฉินเหยาก็อยากจะจับเขายัดท้องมารดากลับไปเกิดใหม่เสียจริง
“หลิวจี้ เจ้ามานี่” ฉินเหยาเชิดคางเรียกเขา “เจ้าดูบันทึกที่หลิวลี่เขียนนี่สิ ตัวอักษรสวยงามเป็นระเบียบ มีเหตุมีผลชัดเจน เจ้าหัดไว้!”
ต่อหน้าฉินเหยา หลิวจี้ได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อม
หางตาเหลือบไปเห็นท่าทาง ‘แสร้งถ่อมตัว’ ของหลิวลี่ เขาก็ส่งเสียง ‘ชิ’ แสดงความรังเกียจใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที
ก็แค่เขียนหนังสือได้สองสามตัว มีอะไรน่าภูมิใจนัก!
ในใจไม่อยากยอมรับ แต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์ยิ่งนัก เขาลอบจดจำรูปแบบของบันทึกนี้ไว้ในใจอย่างเงียบๆ กำลังซุ่มซ่อนพัฒนาตนเอง
………………..
MANGA DISCUSSION