ตอนที่ 224 เงียบไว้ อย่าได้เอ็ดไป
………………..
ฉินเหยาจัดการทั้งเก้าคนเสร็จแล้วก็หันกลับไปมอง เห็นหลิวจี้แม้แต่รองเท้าเหม็นๆ ของอีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยผ่านจึงคิ้วขมวดมุ่น
หลิวจี้ไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หยิบดาบเหล็กกล้าเล่มหนึ่งยื่นให้ฉินเหยาประหนึ่งถวายของล้ำค่า “เมียจ๋าเจ้าดู ดาบเล่มนี้ไม่เลวเลย เหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก!”
“เหมาะสมกับหัวเจ้าสิ!” ฉินเหยาตวาดด้วยความรังเกียจ “วางลง อย่าได้แตะต้องสิ่งเหล่านี้โดยพลการ”
ทว่านางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้ พวกเงินทองนั้นสามารถเก็บไว้ได้ ทว่าต้องทำอย่างเงียบเชียบ อย่าเสียงดังไป
หลิวจี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
ทว่าเมื่อทิ้งสิ่งของเหล่านั้นลงหยิบไปแค่เงินแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ท้องฟ้ามืดมิดลงแล้ว ต้าหลางจุดโคมไฟสำรองสองดวง แขวนไว้บนรถม้าดวงหนึ่ง อีกดวงหนึ่งถือมาให้ท่านพ่อท่านแม่ใช้ส่องแสง
มีโจรร้ายผู้น่าสงสารถูกดาบของตนเองบาดเข้าที่ต้นขา ภาพนั้นดูน่าหวาดเสียวเล็กน้อย ทำให้ต้าหลางสะดุ้งตกใจ
แต่เขาก็กัดฟันบังคับตนเองให้มองอีกสองสามครั้ง เมื่อไม่รู้สึกอะไรแล้วจึงส่งโคมไฟให้ท่านพ่อ แล้วตนเองก็ถอยกลับเข้าไปในรถม้า
เอ้อร์หลางและซื่อเหนียงอยากจะยื่นหน้าออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เขากลับใช้มือทั้งสองข้างกดศีรษะของพวกเขาแล้วผลักกลับเข้าไป
“เด็กๆ อย่าได้อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป” ต้าหลางอบรมน้องๆ ด้วยท่าทางจริงจัง
ซื่อเหนียงใช้ศีรษะดันมือของพี่ใหญ่ แต่ไม่สำเร็จ นางจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วยอมแพ้
พอหันหลังกลับไป ซานหลางก็เบิกตากลมโตถามด้วยความไร้เดียงสาว่า “พี่ใหญ่ ท่านแม่อัดพวกคนเลวหนีไปแล้วหรือ”
ต้าหลางนึกถึงภาพที่เพิ่งเห็น นั่นมิใช่แค่อัดจนหนีไปแล้ว เกือบจะฆ่าคนตายเสียด้วยซ้ำ
ทว่าจิตใจอันบริสุทธิ์ของน้องชายยังคงต้องทะนุถนอมไว้ เขาจึงยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว คนเลวถูกท่านแม่ไล่ไปหมดแล้ว”
“แล้วทำไมท่านแม่ยังไม่กลับมา” ซานหลางมองแสงสว่างที่ลอดออกมาจากรอยแยกของประตูรถ ท้องฟ้ามืดมิดเกินไป เขากลัว
ต้าหลางตอบอย่างขอไปทีว่า “กำลังจัดการอยู่ พวกเรากินแป้งทอดรองท้องกันก่อนเถิด”
เขารู้สึกหิวแล้ว
ดังนั้น ต้าหลางจึงหยิบแป้งทอดออกมาอันหนึ่ง บิออกเป็นสี่ส่วน พี่น้องสี่คนแบ่งกันคนละชิ้น กินไปพลางรอไปพลาง
นอกรถม้า เหล่าผู้ใหญ่หลายคนมองโจรร้ายที่นอนเกลื่อนพื้น กลับรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
หลิวลี่เสนอให้ไปแจ้งทางการ
หลิวจี้เสนอให้โยนคนเหล่านั้นเข้าไปในป่าไผ่ให้หมาป่ากินเสีย แล้วพวกเขาก็สะบัดก้นกลับไปยังเมืองเพื่อหาโรงเตี๊ยมพักค้างคืนต่อ
ต้าจ้วงมิได้แสดงความคิดเห็น เพียงแต่มองฉินเหยาด้วยความชื่นชม ประหนึ่งว่านางสั่งสิ่งใด เขาก็จะพร้อมทำตาม
ในเวลานี้ ความชื่นชมที่เขามีต่อฉินเหยานั้นเปรียบเสมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่มีวันเหือดแห้ง
ฉินเหยาถึงกับสงสัยว่า หากนางสั่งให้เขาไปกินอุจจาระ เขาก็คงจะไป
แน่นอนว่านางมิได้ใจร้ายถึงเพียงนั้น
ฉินเหยากล่าวว่า “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากสถานีพักม้า ข้าเสนอว่าพวกเราควรกลับไปยังสถานีพักม้าเพื่อพักผ่อน”
“ส่วนเก้าคนนี้มัดไว้ก่อน เดี๋ยวข้าจะสอบถามพวกเขาถึงเรื่องราวความเป็นมา แล้วจดบันทึกทุกอย่างลงบนกระดาษ ทิ้งจดหมายอธิบายไว้ เมื่อถึงเมืองต่อไป ค่อยหาคนไปแจ้งทางการ”
เมื่อเห็นหลิวลี่ยังลังเลเล็กน้อย ฉินเหยาก็กล่าวเสริมว่า “หากแจ้งทางการตอนนี้ ทางการสืบสวน พวกเราก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของพวกเรา”
“อีกทั้งการกลับไปยังเมืองตอนนี้ก็ไม่มีความหมายนัก พักผ่อนที่สถานีพักม้าสะดวกกว่า ทุกคนก็เหนื่อยและหิวแล้ว เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ต้องรีบพักผ่อน มิอาจเสียเวลาในการเดินทางพรุ่งนี้ได้”
เดิมทีนางมิได้คิดที่จะข้องแวะกับโจรร้ายเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าตายเป็นเรื่องที่ทางการต้องจัดการ พวกเขาเพียงแค่หลีกเลี่ยงอย่างมีไหวพริบก็พอ
น่าเสียดายที่เก้าคนนี้กลับมาหาที่ตายด้วยตนเองก็อย่าได้โทษว่านางไม่เกรงใจ!
หลิวจี้ยกมือขึ้น “ข้าฟังเมียจ๋าทุกอย่าง”
ต้าจ้วงก็ยกมือขึ้นเช่นกัน “ข้าฟังฉินเหนียงจื่อ”
หลิวลี่มิได้ดึงดันที่จะไปแจ้งทางการอีกต่อไป เขาพยักหน้า ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ต่างกลับไปยังรถม้าเพื่อหาสิ่งของมามัดคน
หลิวลี่และบ่าวของเขาพลิกหาทั่วหีบห่อสัมภาระก็พบเพียงเชือกบังเหียนสำรองเส้นเดียว เมื่อเห็นฉินเหยานำเชือกป่านมัดใหญ่ออกจากใต้ท้องรถม้า ดวงตาทั้งสองข้างก็แทบจะถลนออกนอกเบ้า
ฉินเหยาเลิกคิ้วให้เขา “อย่างไรเสียข้าก็เป็นมืออาชีพ”
รู้ว่านางกำลังตำหนิเรื่องที่เขามิไว้วางใจนางก่อนออกเดินทาง หลิวลี่จึงประสานมือคำนับฉินเหยาด้วยความละอาย แสดงออกว่าบัดนี้เขายอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของนางอย่างยิ่ง
หลิวจี้รู้ดีว่าตนเองมิใช่มืออาชีพจึงถือโคมไฟส่องแสงให้ฉินเหยา มองนางใช้ทักษะที่ชำนาญยิ่งนัก มัดคนทั้งเก้าคนอย่างแน่นหนาในพริบตา
เพียงแต่ท่าทางนั้นดูแปลกประหลาด โจรร้ายถูกมัดให้หันหน้าลงกับพื้น ร่างแอ่นโค้งราวกับกุ้ง มือเท้าถูกผูกเข้าไว้ด้วยกันแล้วโยงไปด้านหลัง
เมื่อมัดคนเสร็จ ฉินเหยาจึงส่งสัญญาณให้หลิวจี้และหลิวลี่รีบขับรถม้าพาเด็กๆ กลับไปยังสถานีพักม้าก่อน ส่วนเก้าคนนี้นางจะเป็นผู้จัดการขนส่งไปเอง
หลิวจี้ครุ่นคิดอยู่ในใจ คาดว่าภาพต่อไปคงเต็มไปด้วยความรุนแรง มิใช่สิ่งที่เด็กเล็กควรจะเห็น จึงรีบผงกศีรษะรับคำอย่างรู้ความทันที
ทว่าก่อนไป นึกถึงสถานีพักม้าที่ดูวังเวงในป่าไผ่รกชัฏ เขาก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
“เมียจ๋า ไม่สู้เจ้าขนพวกเขาไปยังสถานีพักม้าก่อนแล้วพวกเราค่อยตามไปทีหลังดีไหม” หลิวจี้พยายามต่อรอง “เผื่อในสถานีพักม้ายังมีโจรร้ายอีกเล่า”
“เป็นไปไม่ได้!” ฉินเหยาตอบอย่างหนักแน่น
ต่อให้มี ตอนนี้พวกมันคงจะตกใจเสียงดังของพวกนางจนหนีไปหมดแล้ว
หลิวจี้เห็นว่าไม่มีทางต่อรองได้อีกจึงกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบๆ ลืมจนหมดสิ้นว่าเมื่อครู่ยังดุด่าลูกอยู่ เขาเรียกต้าหลางออกมาอยู่เป็นเพื่อนอย่างไม่อาย แล้วจึงขับรถม้าไปยังสถานีพักม้า
ครั้นรถม้าสองคันแล่นไปไกลแล้ว ฉินเหยาจึงกระตุกเชือกป่านในมือ ‘กุ้ง’ ทั้งเก้าตัวที่ถูกร้อยเรียงกันไว้ก็ร้องครวญครางตื่นขึ้นมา
นางเพียงคนเดียว จับเชือกเส้นเดียว ก้าวเดินไปข้างหน้า ก็สามารถลากคนร่างใหญ่กว่าตนเองถึงเก้าคนได้
ราวกับกำลังลากซากสัตว์ร้ายเก้าตัว ฉินเหยามิได้หลีกเลี่ยงหินแหลมคมและหลุมบ่อ ปล่อยให้โจรร้ายทั้งเก้าที่มิรู้จักผิดชอบชั่วดีส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
เสียงร้องโหยหวนเหล่านั้น แม้แต่สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ได้ยิน ก็ยังต้องหลีกหนีให้สามส่วน
จากนั้น เสียงร้องโหยหวนก็เงียบลง เสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิตดังขึ้น
ฉินเหยาเยาะเย้ย “ข้าเหลือทางรอดให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากลับไม่ไป กลับเลือกที่จะเดินเข้าสู่ทางตันนี้ ทำให้ข้าเสียเวลาไปมาก ยังกล้ามาขอความเมตตาอีกหรือ”
“ข้าถามพวกเจ้า เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าหายไปไหน?!”
นางกระชากเชือกป่านอย่างแรงในทันที เก้าคนรู้สึกราวกับว่าเอวของตนเองถูกแรงรัดที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันรัดจนจะขาดแล้ว
พวกเขาล้วนเป็นพวกเดนตาย มิใช่ผู้กล้าหรือวีรบุรุษผู้ซื่อสัตย์ ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัส ฉินเหยาเพียงแค่ใช้วิธีเล็กน้อย พวกเขาก็สารภาพออกมาทั้งหมด
“เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าถูกพวกเราฆ่า ศพถูกฝังอยู่ด้านนอกประตูหลังสถานีพักม้า”
จากนั้น พวกเขาก็กล่าวอีกว่า พวกเขาถูกบีบบังคับให้ต้องกลายเป็นโจรผู้ร้าย ปีนี้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยมาก หิวโหยจนทนไม่ไหวจึงคิดที่จะปล้นสถานีพักม้าของทางการ ขอให้ฉินเหยาเมตตาพวกเขา ปล่อยพวกเขาไป
ฉินเหยาฟังคำพูดเหล่านั้น ดวงตาที่เย็นชาของนางมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางยังคงสอบถามพวกเขาต่อไปว่ายังมีพรรคพวกคนอื่นๆ อยู่อีกหรือไม่
ทั้งเก้าคนกล่าวว่าไม่มีแล้ว พวกเขาทั้งเก้ามาจากหมู่บ้านเดียวกัน ไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาร่วมด้วย จึงมีกันอยู่เพียงเก้าคนนี้เสมอมา
ในช่วงเวลาเพียงเดือนกว่าๆ พวกเขาฆ่าคนไปแล้วสิบแปดคน เป็นสตรีและเด็กเก้าคน บุรุษห้าคน สุดท้ายเห็นว่าชาวบ้านธรรมดาไม่มีทรัพย์สินมีค่าจึงหันไปหมายตาคนของทางการ
สี่ชีวิตที่เหลือ เป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานีพักม้าและคนส่งสารของทางการ
พวกเขายังคงอ้อนวอนขอความเมตตา ฉินเหยาถามในสิ่งที่นางต้องการทราบหมดแล้ว ไม่อยากฟังเสียงแก้ตัวที่น่ารำคาญของพวกเขาอีกต่อไป นางจึงต่อยไปที่พวกเขาคนละหมัดจนสลบเหมือดไปทั้งหมด!
………………..
MANGA DISCUSSION