ตอนที่ 217 ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน
………………..
เจ้าของร้านไม่คาดคิดว่าจะทายถูกจริงๆ
เมื่อปีกลายเขาเห็นนางเพียงแวบเดียวจากระยะไกลผ่านฝูงชน มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่ภาพลักษณ์อันสง่างามบนหลังม้านั้นกลับฝังลึกลงไปในใจ
เมื่อครู่ที่ฉินเหยาเดินเข้าร้านมา เขาก็รู้สึกเหมือนเบื้องหน้าสว่างเจิดจ้าไปวูบหนึ่ง
เมื่อมองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนมาก
เมื่อถามออกไปอย่างกล้าหาญก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง!
ก็จริงอยู่ สตรีที่สามารถเดินเข้ามาในร้านหนังสือได้อย่างสง่าผ่าเผย และประสานสายตากับเหล่าบัณฑิตได้อย่างใจเย็น จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป หรืออาจเพราะเก้อเขิน เว้นเสียแต่ฉินเหยาจะเอ่ยถาม เจ้าของร้านจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
บางทีเขาอาจจะคิดว่า นางผู้สามารถตัดศีรษะหัวหน้าโจรได้ ย่อมต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างกระมัง
ฉินเหยาสัมผัสได้ถึงสายตาที่เจ้าของร้านมองมาที่นางราวกับว่านางมีฟิลเตอร์ครอบจักรวาลที่สามารถทำได้ทุกอย่างอย่างนั้น ทว่าความจริงแล้ว นางยังมีอีกมากที่ไม่รู้
ระหว่างการรักษาท่าทีลึกลับกับเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ฉินเหยาลังเลไม่ถึงสองวินาทีก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง
การโอ้อวดไม่สามารถนำมาเลี้ยงชีพได้ แต่ปัญหาเรื่องการหลงทางนั้นใหญ่หลวงนัก
“ท่านช่วยอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆ บนแผนที่นี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่” ฉินเหยาถาม
การกระทำนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าบัณฑิตที่มองนางอยู่เมื่อครู่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาหลายคนก็ขยับเข้ามาใกล้ ไม่รอให้เจ้าของร้านตอบ พวกเขาก็อาสาอธิบายให้ฉินเหยาฟังทันที
หลังจากฉินเหยาจ่ายเงินหนึ่งตำลึงซื้อหนังสือ “แผนที่บอกทางแคว้นเซิ่ง” แล้วออกจากร้านหนังสือ เหล่าบัณฑิตที่ช่วยนางอธิบายก็รีบวิ่งกลับสำนักศึกษา
“พี่หลิวจี้! พวกเราเจอภรรยาของท่านด้วย!”
เหล่าบัณฑิตหลายคนเป็นสหายหอพักข้างๆ ของหลิวจี้ พวกเขาตะโกนด้วยความตื่นเต้นตลอดทาง เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ของวีรสตรีในระยะใกล้ นี่เป็นครั้งแรก
หลิวจี้ที่ไม่ได้นอนกลางวันและกำลังซักถุงเท้าอยู่ พอได้ยินเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นของคนเหล่านั้นก็ชะงักมือ “ใคร? เมียจ๋าข้ามาหรือ”
อยู่ดีๆ นางมาได้อย่างไร
หลิวจี้เผลอนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตนเองทำในช่วงนี้ ตรวจสอบว่ามีสิ่งใดที่ตนทำไม่ดีแล้วข่าวแพร่ไปถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวฉินเหยาจึงเข้าเมืองมาเพื่อจัดการเขาหรือไม่
ผลปรากฏว่าไม่มี
ตลอดทั้งเดือนนี้ เขาตั้งใจอยู่ในสำนักศึกษาเพื่อเตรียมสอบ อ่านหนังสือ ท่องหนังสือ คัดลอกหนังสือและทำข้อสอบจำลองทั้งวันทั้งคืน ไม่อาจขยันไปกว่านี้ได้อีกแล้ว!
สหายร่วมชั้นเรียนหลายคนเดินเข้ามาหาเขา ต่างก็พูดกันเซ็งแซ่ว่าพวกเขาเห็นสตรีผู้หนึ่งในร้านหนังสือซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก
แต่เมื่อพวกเขาตั้งใจฟังก็พบว่าเป็นภรรยาของหลิวจี้ชวนให้ประหลาดใจเข้าไปอีก
แต่สิ่งนี้ยังไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นถึงเพียงนี้
เหตุผลที่พวกเขาตื่นเต้นมากเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาได้สอนวีรสตรีปราบโจรดูแผนที่บอกทางด้วยตนเอง ในระยะที่ใกล้เช่นนั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบที่ซ่อนอยู่ในแววตาอ่อนโยนของนาง ช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ!
หลิวจี้ฟังไปฟังมาก็ขมวดคิ้วแน่น อะไรคือระยะใกล้? อะไรคือการสอนเมียจ๋าของเขาดูแผนที่ด้วยตนเอง?
ไม่รู้หรือว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันน่ะ
หลิวจี้โยนถุงเท้าในมือลงในอ่างเสียงดัง “ปัง” แล้วรีบวิ่งออกจากสำนักศึกษาด้วยความโกรธเกรี้ยว ฉินเหยา หญิงอำมหิตไร้ยางอายผู้นี้ เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ!
ทว่าเมื่อเขาพุ่งไปถึงประตูจวนที่ว่าการอำเภอด้วยท่าทีฮึกเหิมเช่นนั้น และได้เห็นสตรีที่กำลังพูดคุยหัวเราะกับหลิวต้าฝูเดินออกมา เท้าที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าก็หยุดลงกะทันหัน
เขาหันหลัง เงยหน้ามองฟ้า ถอยกลับทันที
ทุกการกระทำต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว ลื่นไหลเป็นอย่างยิ่ง
“หลิวจี้!”
ฉินเหยาตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง หลิวจี้ก็สะดุ้งไปแล้วสามครั้ง
“มาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน” นางตอบ
เมื่อซื้อที่ดินที่ใฝ่ฝันมานานได้สำเร็จ ฉินเหยาจึงลูบสัญญาซื้อขายที่ดินที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านในอก อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
หลิวจี้รู้ว่าฉินเหยาหมายตาที่ดินของหลิวต้าฝูมานานแล้ว ประกอบกับเมื่อครู่ทั้งสองเดินออกมาจากประตูข้างของจวนที่ว่าการอำเภอด้วยกัน เมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจว่าฉินเหยาซื้อที่ดินของหลิวต้าฝูได้แล้ว
“บ้านเราซื้อที่ดินของหลิวต้าฝูกี่หมู่หรือ” เขารีบถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
นั่นเป็นที่ดินอุดมสมบูรณ์ชั้นดี เป็นรากฐานของการดำรงชีพของชาวบ้าน เมื่อมีที่ดินอยู่ในมือ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกินในมื้อถัดไป
เดิมทีฉินเหยาไม่อยากบอกเขา แต่เมื่อบังเอิญมาพบกันแล้วจึงต้องตอบไปว่า “ก็ที่ดินสิบหมู่ที่ปลูกพืชอยู่ตอนนี้นั่นแหละ”
ส่วนซื้อมาด้วยเงินเท่าไหร่ นางไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ทว่าประโยคถัดมานางก็กล่าวว่า “ข้าจะบอกข่าวดีให้เจ้ารู้ ในการสอบฝู่ซื่อหลิวลี่จะเดินทางไปพร้อมกับเจ้า ข้าจะคุ้มกันพวกเจ้าทั้งสองไปเมืองหลวงของมณฑลด้วยตนเอง แผนที่ก็ซื้อมาแล้ว”
กล่าวจบ นางก็ยก “แผนที่บอกทางแคว้นเซิ่ง” ที่หุ้มด้วยกระดาษน้ำมันอย่างดีขึ้นมาโบกต่อหน้าเขา
รอยยิ้มของหลิวจี้แข็งค้าง ที่แท้พวกเจ้าทำข้อตกลงกันเช่นนี้นี่เอง!
เขามุมปากกระตุก “ข้าก็ว่าอยู่ หลิวต้าฝูผีขี้เหนียวจะยอมขายที่ดินดีถึงเพียงนี้ให้บ้านเราได้อย่างไร”
แต่เมื่อได้ยินนางบอกว่าจะคุ้มกันเขาไปเมืองหลวงของมณฑลด้วยตนเอง เขาก็แสดงความคาดหวังออกมาหลายส่วนแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า
“เมียจ๋า ข้าได้ยินมาว่าเมืองหลวงของมณฑลใหญ่กว่าอำเภอไคหยางของเรามาก มีร้านสุราและโรงเตี๊ยมอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็ดย่างในหอเติงอวิ๋นก็เป็นเลิศ มิสู้พวกเรา……”
“ค่อยว่ากันเถอะ” ฉินเหยายกมือขึ้นขัดจังหวะ ตบหน้าอกเขาแล้วกำชับว่า “ช่วงกลางเดือนสี่ลาหยุดกลับมาช่วยปักกล้ารอบสองด้วย ข้าไปแล้ว เจ้าตั้งใจอ่านหนังสือเถิด”
หลิวจี้ชะงักงัน เขาอุตส่าห์รีบร้อนมาพบนาง แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยกันสักกี่คำ นางก็จะไปเสียแล้วหรือ
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ยังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่”
รอยยิ้มของหลิวจี้ไม่อาจฝืนรักษาไว้ได้อีกต่อไป มันค่อยๆ เหี่ยวเฉาลง ดวงตาทั้งสองข้างเลื่อนลอยแล้วส่ายหน้า
เพราะอย่างไรการมาพบเขาไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางเข้าเมืองครั้งนี้ของนางอยู่แล้ว
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่บ้านรอให้นางไปจัดการอยู่
ต้นกล้าโตพอที่จะลงนาได้แล้ว ชาวบ้านทั้งหมู่กำลังบ้านรอให้นางไปสอนวิธีการปักกล้ารอบแรก
ยังมีโรงเรือนเลี้ยงสัตว์และยุ้งฉางที่จะสร้างเพิ่มเติม การบำรุงรักษาโรงโม่น้ำเป็นประจำ ฟางที่วัวและม้าจะต้องกิน หญ้าในสวนผักก็ต้องถาง…
ตอนนี้ยังมีแผนการไปเมืองหลวงของมณฑลเพิ่มเข้ามาอีก เวลาน้อยลงทุกที
ฉินเหยาตบศีรษะเบาๆ ไม่คิดแล้ว ยิ่งคิดนางก็จะยิ่งอยากปล่อยวางไม่ทำอะไรเลย!
หลิวจี้ยืนอยู่ที่ประตูสำนักศึกษา มองส่งนางจนลับสายตาไปแล้วจึงได้สติอุทานว่า “อ้อ” ออกมา
จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเข้าไปในสำนักศึกษาด้วยความหดหู่ใจ
สายฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายไม่หยุดหย่อน แต่ฝีเท้าอันเร่งรีบของชาวนากลับไม่หยุดลงเพราะเหตุนี้
ต้นกล้าในเรือนเพาะชำโตพอที่จะลงนาได้แล้ว เช้าวันที่เริ่มปักกล้า ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิวทั้งหมดมาล้อมอยู่ที่คันนาของบ้านฉินเหยา เพื่อชมวิธีการปักกล้าของนางในระยะใกล้
ต้นกล้าต้องไม่ปักถี่เกินไปและไม่ห่างเกินไป ปริมาณน้ำในนาต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่ท่วมรากต้นกล้าพอดี
ทุกคนปลูกข้าวกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว งานในนาเหล่านี้ฉินเหยาเพียงแค่ชี้แนะเล็กน้อย ทุกคนก็เข้าใจ
เมื่อถึงช่วงบ่าย แต่ละบ้านก็ไปรับต้นกล้าที่โรงเพาะชำแล้วเริ่มลงมือในนาของตนเอง
ฉินเหยาก็มีความรับผิดชอบสูง หมุนเวียนไปตรวจตราและให้คำแนะนำในนาของแต่ละบ้าน
เมื่อปักกล้ารอบนี้เสร็จสิ้น ชาวนาที่ทำงานหนักมาเป็นเวลานานก็สามารถหยุดพักหายใจได้เสียที
ฉินเหยาจึงมีเวลาว่าง ไปซื้อเนื้อดีๆ ชิ้นใหญ่ๆ สามชิ้นที่ตลาดในเมือง ซื้อไม้จากโรงงานของตนเองมานิดหน่อยและซื้อกระเบื้องสีเขียวหลายร้อยแผ่นจากเตาเผาอิฐในหมู่บ้านเซี่ยเหอ เชิญลุงเก้าและพี่น้องหลิวไป่ หลิวจ้งมาช่วยสร้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์และยุ้งฉางที่บ้าน
………………..
MANGA DISCUSSION