ตอนที่ 214 การเพาะพันธุ์รวม
………………..
อย่างไรก็ตามเพื่อให้สามารถสอบผ่านและได้เข้าสู่สำนักศึกษาตระกูลติงในปีหน้า นางจึงกัดฟันอดทน
นานวันเข้า สถานะของสองพี่น้องก็กลับตาลปัตร
เมื่อก่อนเป็นจินฮวาที่นำน้องสาวอย่างซื่อเหนียงเที่ยวเล่นไปทั่วทุกแห่ง บัดนี้กลับกลายเป็นซื่อเหนียงที่วิ่งไล่ตามพี่สาวกลับบ้าน เรียกให้มาเรียนหนังสือทั้งวัน
เมื่อตามจนเหนื่อย ซื่อเหนียงก็ใช้สมองน้อยๆ คิดแผนดีๆ ออกมาได้ นั่นคือให้พี่สาวจินฮวาสอนงานเย็บปักถักร้อยให้ตนเองแล้วทั้งสองก็ผลัดกันเป็นอาจารย์
จินฮวาพลันเกิดความสนใจขึ้นมาตามคาด ในยามเย็นนางจึงไม่อยากไปเที่ยวเล่นซุกซนบนเขากับเด็กในหมู่บ้านอีก ตั้งใจเรียนรู้ลวดลายใหม่ๆ จากมารดา รอคอยให้ซื่อเหนียงกลับมาจะได้สอนนางบ้าง
เช่นนี้แล้ว ซื่อเหนียงจึงเรียนรู้การร้อยด้ายและเย็บผ้าเล็กๆ น้อย ส่วนจินฮวาก็เริ่มสนใจการเรียนรู้ตัวอักษร
บางครั้งเมื่อเห็นลวดลายงดงามที่มีตัวอักษรปรากฏอยู่ก็จะรีบมาหาซื่อเหนียงแล้วถามว่า “ตัวนี้คืออักษรอะไรหรือ”
ซื่อเหนียงรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างจึงต้องนำลวดลายนั้นไปถามพี่ชายอีกที
หากพวกพี่ชายก็ไม่รู้เช่นกัน นางก็จะวิ่งไปยังลานว่างข้างศาลบรรพชนเพื่อหาฉินเหยา
“ท่านแม่ ท่านดูให้หน่อยสิว่านี่คือตัวอักษรอะไร”
ฉินเหยากำลังสอนนักเพาะพันธุ์กล้าที่คัดเลือกมาจากในหมู่บ้านถึงวิธีการปูดิน มือของนางจึงเปื้อนดินโคลนจึงบอกให้ซื่อเหนียงยกแบบลายให้สูงขึ้น “ข้าดูหน่อย…น่าจะเป็นตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าโชคลาภนะ”
ลวดลายนั้น มีความเป็นศิลปะอยู่บ้างจึงยากที่จะมองออกได้ในทันที
จินฮวาร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ “ที่แท้ นี่ก็เป็นตัวอักษรด้วย!”
ซื่อเหนียงก็เกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว นางยกลวดลายขึ้นดูตัวอักษร ‘ฝู’ ที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงแล้วร้องว้าวออกมา “ที่แท้ตัวอักษรก็เขียนให้สวยงามได้ถึงเพียงนี้ งามประหนึ่งดอกไม้เลยทีเดียว!”
ฉินเหยาอธิบายว่า “การเขียนตัวอักษรมีหลายแบบ ที่พวกเจ้าเรียนอยู่ตอนนี้เป็นแบบอักษรมาตรฐานที่ง่ายที่สุด นอกจากนี้ยังมีอักษรเฉ่าซู สิงซู จ้วนซู ลี่ซูและอื่นๆ ที่ร้ายกาจกว่านั้นก็คืออักษรบุปผาที่สร้างสรรค์ขึ้นเอง เช่นเดียวกับตัวฝูที่พวกเจ้าเห็นอยู่นี้ น่าจะเป็นแบบที่สร้างขึ้นเอง”
ฉินเหยาโบกมือไปมา “ไปเล่นทางโน้นเถิด แถวนี้มีแต่โคลน ระวังเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อน”
“อื้มๆ!” สองพี่น้องพยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่อได้คำตอบก็กลับบ้านไปอย่างรื่นเริง เล่นบทบาทสมมติเป็นอาจารย์กันต่อ
มองส่งเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนเดินจากไป ฉินเหยาก็กระแอมขึ้นเบาๆ เตือนให้คนรอบข้างตั้งใจฟัง แล้วสอนต่อไป
ด้วยว่าทุกครัวเรือนในหมู่บ้านขาดแคลนแรงงานในการไถนาพรวนดิน อีกทั้งทุกคนยังเรียนรู้การเพาะพันธุ์เป็นครั้งแรก เกรงว่าผลผลิตจะไม่สม่ำเสมอและส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยว หลังจากทุกคนเห็นพ้องต้องกัน จึงตัดสินใจส่งคนฉลาดเฉลียวสองสามคนมาเรียนรู้จากฉินเหยา จากนั้นคนทั้งหมู่บ้านค่อยร่วมเพาะพันธุ์ด้วยกัน
เช่นนี้เพียงแค่มีโรงเพาะพันธุ์ขนาดใหญ่ขึ้นอีกหน่อย ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการของคนทั้งหมู่บ้านได้ ทั้งยังแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานอีกด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือสะดวกต่อการจัดการ ผู้ที่รับผิดชอบการเพาะพันธุ์สามารถผลัดเปลี่ยนเวรกันดูแลได้
ดังนั้น ทุกครัวเรือนจึงส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวมาตามความต้องการของตน โดยมีฉินเหยา หลิวฉี หลิวกง นางชิว อวิ๋นเหนียง และหนุ่มสาวคนอื่นๆ ในหมู่บ้านร่วมกันรับผิดชอบ
ปริมาณของแต่ละบ้านถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าและทำเครื่องหมายไว้ เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถมารับไปได้เลย
อวิ๋นเหนียงมีฝีมือด้านงานไม้ นางจึงเป็นผู้รับผิดชอบถาดเพาะกล้าทั้งหมด
นางชิวเป็นคนละเอียดรอบคอบและอดทน ฉินเหยาจึงมอบหมายให้นางแช่เมล็ดพันธุ์
หลิวฉีมีพละกำลังมากจึงไปขนดิน
ฉินเหยาจึงนำหลิวกงไปแบ่งถ่านที่แต่ละบ้านนำมาใส่ในกระถางถ่าน จุดไฟให้ดี แล้วนำไปวางไว้ตามมุมต่างๆ ของโรงเพาะพันธุ์
ด้วยว่าทุกคนต่างใช้โรงโม่น้ำของบ้านฉินเหยา โรงโม่มือแบบเดิมที่เคยใช้จึงถูกทิ้งร้างมานาน บัดนี้จึงนำมาใช้เป็นโรงเพาะพันธุ์ ช่วยประหยัดแรงงานของหน่วยเพาะพันธุ์ไปได้มาก
อุณหภูมิต้องควบคุมให้ดี จะร้อนเกินไปไม่ได้ หนาวเกินไปก็ไม่ได้ ยังต้องวางถังน้ำไว้ด้วย ไอน้ำที่ระเหยจะช่วยคงความชื้นภายใน
ในเมื่อไร้เครื่องวัดอุณหภูมิสมัยใหม่มาช่วย ทุกสิ่งจึงอาศัยเพียงประสบการณ์ในการตัดสินใจ
ฉินเหยาจะวางกระดาษเหลืองหยาบๆ ไว้ข้างในเพื่อทดสอบความชื้น
อุณหภูมิค่อนข้างสัมผัสได้ง่าย เมื่อได้ลองสัมผัสหลายครั้งเข้า สมาชิกในหน่วยเพาะพันธุ์ก็พอจะประเมินได้คร่าวๆ
การเรียนรู้วิธีเพาะพันธุ์ชุดนี้ ทำให้หลิวกงและคนอื่นๆ ได้รับประโยชน์อย่างมาก ไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้วิธีการเพาะพันธุ์เท่านั้น หากแต่ยังได้เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติโดยบังเอิญอีกด้วย
อาทิเช่น การควบแน่นของไอน้ำ รวมถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะต่างๆ ของน้ำ ล้วนทำให้พวกเขาร้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
พวกเขานึกว่านี่คือความลับที่มิอาจแพร่งพรายได้ แต่ฉินเหยากลับกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตำราทั้งสิ้น”
เพียงแค่คำบรรยายในยุคปัจจุบันกับคำบรรยายในสมัยโบราณนั้นแตกต่างกันไปบ้าง ทว่าโดยเนื้อแท้แล้วล้วนกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน
เดิมทีนางชิวรู้สึกว่าการส่งจินฮวาบุตรสาวของตนไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษานั้นไม่เห็นจะมีประโยชน์อันใด แต่เมื่อฉินเหยากล่าวว่าดี เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางไปเถิด
ภายหลังเมื่อสอบไม่ผ่าน จินฮวาก็มิได้มีความยึดมั่นแรงกล้าที่จะให้ส่งนางไปสำนักศึกษาอีก
แต่หลังจากการเรียนรู้เรื่องการเพาะพันธุ์ในครั้งนี้ นางชิวก็พลันตระหนักได้ว่า การเล่าเรียนและการสอบเคอจวี่นั้น หาใช่สิ่งที่ต้องเกี่ยวพันกันเสมอไปไม่
สิ่งต่างๆ ในตำรา ขอเพียงแค่ได้ศึกษาเล่าเรียนก็สามารถทำประโยชน์ไปได้ตลอดชั่วชีวิต
ครั้นเพาะเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเสร็จแล้ว เมื่อนางชิวกลับถึงเรือนก็ กลับกลายเป็นว่าเริ่มใส่ใจการเรียนของจินฮวาอย่างจริงจัง
“ปีหน้าเจ้าต้องสอบเข้าสำนักศึกษาให้ได้ เข้าใจหรือไม่ เลิกออกไปเล่นกับพวกเด็กซนพวกนั้นทั้งวันเสีย อยู่บ้านตั้งใจฝึกเขียนอักษร ซื่อเหนียงและซานหลางสอนเจ้าไปตั้งมากแล้วมิใช่รึ มานี่ นั่งลง เขียนให้แม่ดูหน่อย”
นางชิวนำกระบะทรายที่หลิวจ้งทำมาวางลงบนโต๊ะ แล้ววางตะเกียบกับพู่กันที่ทำจากขนหมูลงบนกระบะทราย รอคอยให้บุตรสาวเขียนตัวอักษรให้ตนดู
จินฮวาถือ ‘ซาลาเปา’ กับ ‘เกี๊ยว’ ที่ทำจากดินโคลนอยู่ในมือ เบิกตากว้างมองมารดา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านโดนผีเข้าแล้วหรือ”
นางชิวสูดลมหายใจเข้าลึก แม้นางจะอ่อนโยนเพียงใด แต่ก็เกือบจะอดใจไม่ไหวยกมือขึ้นตบก้นเด็กหญิงตรงหน้าสักป้าบ
“พูดจาเพ้อเจ้ออันใด รีบเอาดินโคลนในมือนั่นทิ้งไปเดี๋ยวนี้!”
นางชิวอุ้มบุตรชายที่ส่งเสียงอ้อแอ้ในเปลไม้ขึ้นมา ขณะเปิดชายเสื้อให้นมลูกน้อย สายตากลับจับจ้องไปยังบุตรสาวคนโต เพื่ออนาคตของลูกๆ แล้ว พ่อแม่นั้นย่อมเหนื่อยใจไม่มีวันสิ้นสุด
จินฮวาปกป้อง ‘อาหาร’ ในมือของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ “นี่มิใช่ดินโคลนเสียหน่อย นี่คือซาลาเปาที่ข้าทำให้ซื่อเหนียง ซานหลางบอกว่าเขาอยากกินเกี๊ยว ข้าจึงทำเพิ่มให้เขาอีกสองสามชิ้น รอพวกเขาเลิกเรียนกลับมา ข้าจะทำอาหารให้พวกเขากิน”
คำกล่าวนี้ ฟังแล้วชวนให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
นางจางเดินผ่านหน้าประตูแล้วยื่นกระด้งให้แก่นาง “วางไว้ก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะตั้งหม้อต้มให้เจ้าทีหลัง”
จินฮวารับคำเสียงใส “อื้ม!”
นางวางของรักของนางลงในกระด้งด้วยความยินดี ให้ท่านย่าช่วยเก็บรักษาอย่างดี แล้วจึงนั่งลงเขียนหนังสือให้มารดาดูอย่างเรียบร้อย
จนเมื่อยามค่ำ ฉินเหยายืนอยู่หน้าประตูบ้านตะโกนเสียงดังว่า “หลิวต้าหลาง! กลับบ้านกินข้าวได้แล้ว!”
เสียงของนางทรงพลังยิ่งนัก ดังไปไกลแสนไกล
พวกต้าหลางสี่พี่น้องได้ยินเสียงเรียกก็รีบทิ้งจินเป่าและจินฮวาวิ่งกลับบ้านทันที
ซานหลางและซื่อเหนียงวิ่งตรงมาหาฉินเหยาด้วยความยินดียิ่ง ชวนให้นางลิ้มลองซาลาเปาและเกี๊ยวที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ
ฉินเหยาโน้มตัวลงมอง เห็นใบไม้อยู่ในมือเล็กๆ นั้น บนใบไม้มีดินเหนียวสีเทาอ่อนนุ่มเหลวอยู่สองสามก้อน
จะว่าอย่างไรดีเล่า…มันช่างดูคล้ายอุจจาระนัก
………………..
MANGA DISCUSSION