ตอนที่ 211 การซื้อครั้งใหญ่
………………..
ข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า หลิวจี้ที่กลับมาจากชายแดนนั้น นับว่าเป็นผู้ที่พอฝากความหวังไว้ได้
รุ่งเช้าวันถัดมา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลิวจี้ก็จัดแจงนำเงินสามสิบตำลึงที่ฉินเหยามอบให้สำหรับซื้อเสบียง สองตำลึงสำหรับค่าเดินทางและอีกสามตำลึงจากเรือนเก่า รวมกันทั้งสิ้นสามสิบห้าตำลึง ออกเดินทางพร้อมกับหลิวเฝย โดยแต่ละคนขับรถกันคนละคัน
แม้หลิวเฝยจะไม่พอใจที่ต้องร่วมเดินทางกับหลิวจี้ แต่เพราะเขาขาดประสบการณ์ในการเดินทางออกนอกเมืองจินสือ เมื่อออกจากตัวเมืองมาได้ไม่นานจึงจำต้องยอมเชื่อฟังหลิวจี้ไปโดยปริยาย
เพราะทันทีที่ออกจากตัวเมือง หลิวเฝยก็พบว่าตนเองไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้เลย
ทว่าหลิวจี้ผู้ที่สามารถเอาตัวรอดจากทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างได้ กลับมีความสามารถในการดูทิศทางเป็นอย่างดี
ทั้งสองเดินทางมาถึงอำเภอไคหยางก่อนเป็นที่แรก หลิวจี้จอดรถม้าไว้ที่นอกเมือง และให้หลิวเฝยดูแลอยู่ข้างนอก เช่นนี้เขาจึงสามารถประหยัดค่าผ่านเข้าเมืองไปได้หนึ่งเหวิน ต้องจ่ายเพียงค่าเข้าเมืองของตนเองเท่านั้น ส่วนค่าเข้าเมืองของหลิวเฝยและค่าจอดรถม้า ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าของหลิวจี้ไปอย่าง ‘สมเหตุสมผล’
ในตัวอำเภอมีร้านขายข้าวอยู่สามร้าน หลิวจี้เดินสำรวจครบทุกแห่ง แล้วต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าราคาข้าวที่ปกติไม่ได้แพงนักกลับพุ่งสูงขึ้นมาก
ข้าวหยาบที่เคยราคาเพียงสามเหวินต่อหนึ่งจิน ตอนนี้ขึ้นไปเป็นสี่เหวิน ส่วนข้าวขาวคุณภาพดี กลับพุ่งไปถึงสิบสามเหวินต่อหนึ่งจิน
กระนั้น แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น ผู้คนที่มาเข้าแถวซื้อข้าวก็ยังคงมีอยู่มาก
ถ้าเป็นคนที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ เพราะราคาข้าวไม่ได้พุ่งขึ้นในทันทีทันใด หากแต่ค่อยๆ ขยับขึ้นทีละน้อยในแต่ละวัน
หน้าที่ซื้อเสบียงของแต่ละบ้านส่วนใหญ่เป็นของเหล่าสตรี พวกนางต่างต่อแถวซื้อข้าวพลางบ่นพึมพำกันไม่ขาดปาก
แต่เมื่อเทียบกับข้าวแล้ว ราคาของแป้งกลับพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล ถึงกับเพิ่มเป็นสองเท่า
หลิวจี้เดินสำรวจทั้งสามร้าน และพบว่าราคาของทั้งสามร้านกลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดราวกับมีการตกลงกันไว้แล้ว ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง
ตอนนี้สินค้าที่ขาดแคลนยังเป็นเพียงข้าวและแป้งสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านขายข้าวทั้งสามแห่งจึงยังสามารถรับมือกับความต้องการของผู้คนได้อย่างไม่ลำบากนัก
หลิวจี้ลองสอบถามดูว่าร้านขายข้าวมีสินค้ากักตุนมากน้อยเพียงใด แต่เจ้าของร้านกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการค้าขายครั้งใหญ่
ก็ใช่สิ ราคาข้าวขึ้นทุกวัน วันนี้ขายให้เขาในราคานี้ก็เท่ากับขาดทุนน่ะสิ
แต่ท่าทีมั่นใจของเจ้าของร้าน บ่งบอกว่าพวกเขามีแหล่งจัดซื้อราคาต่ำที่สามารถส่งข้าวมาให้พวกเขาได้อย่างต่อเนื่อง
หลิวจี้รออยู่ในเมืองตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ก่อนจะออกจากเมืองไป
ก่อนจากไป เขาแวะไปยังสำนักศึกษาอีกครั้งเพื่อขอลาหยุดเพิ่มอีกหลายวัน
เขาตัดสินใจจะเดินทางไปยังตอนใต้ของจังหวัดจื่อจิง เพราะพื้นที่ทางใต้นั้นผลิตข้าวได้มากกว่าทางเหนือ อีกทั้งสองพื้นที่ยังอยู่ห่างกันมาก อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากแมลงศัตรูพืช
การตัดสินใจครั้งนี้เสี่ยงไม่น้อย ประการแรกทุกอย่างยังไม่แน่นอน แม้แต่เส้นทางไปยังที่นั่นเขาก็ต้องคอยถามไถ่ระหว่างเดินทาง
ประการที่สอง หากสามารถซื้อข้าวได้ในราคาปกติ แต่เขากับหลิวเฝยมีรถเพียงสองคันย่อมไม่เพียงพอ แถมต้องเดินทางไปกลับซึ่งไกลมาก และยังต้องเสียค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอีก
แต่หลิวจี้มีวิธีของเขาเอง อย่างไรตาม เขาไม่มีทางยอมจ่ายเพิ่มแม้แต่เหวินเดียว
เขายื่นหมั่นโถวธัญพืชหยาบสองก้อนให้หลิวเฝยก่อนกระโดดขึ้นรถม้า “ไปกัน ไปดูที่อำเภอข้างเคียงสักหน่อย”
“อะไรนะ?” หลิวเฝยตกตะลึง ทว่ากลิ่นหอมของหมั่นโถวในมือกลับทำให้เขาต้องรีบกัดไปสองคำเพื่อดับความหิว ก่อนจะเร่งขับเกวียนวัวตามไปพร้อมกับถามด้วยความสงสัย
“ในอำเภอเราหาซื้อไม่ได้แล้วหรือ”
หลิวจี้เพียงตอบว่า “แพงเกินไป ซื้อไม่ไหว”
หลิวเฝยร้องอ้อ ไม่ได้ซักไซ้อีกต่อไป พลางเคี้ยวหมั่นโถวหอมกรุ่นในปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าภายนอกจะเป็นเช่นไร
ยามโพล้เพล้ คนทั้งสองก็เดินทางมาถึงเขตเมืองใกล้เคียง ทว่าหลิวจี้กลับไม่ยอมเข้าเมือง พวกเขาใช้เงินห้าเหวินเพื่อจ่ายค่าน้ำร้อนที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราวห้าลี้ ล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเติมน้ำร้อนอีกสองกา ก่อนจะกินหมั่นโถวผสมธัญพืชที่หลิวจี้ซื้อติดมือมาเมื่อช่วงกลางวัน แล้วผ่านค่ำคืนไปอย่างเรียบง่าย
ยามค่ำคืน พวกเขานอนในรถม้า น้องพี่มองหน้ากัน ตาเบิกกว้างไม่กะพริบอยู่เนิ่นนาน กว่าทั้งสองจะผลอยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นอนแล้วลงไปรับประทานอาหารในห้องโถงของโรงเตี๊ยม
หลิวเฝยค่อยๆ ลิ้มรสบะหมี่ราดน้ำปรุงเนื้ออย่างระมัดระวัง กินจนไม่เหลือแม้แต่หยดน้ำแกง
ได้ยินหลิวจี้คุยโวโอ้อวดกับพ่อค้าคนอื่นๆ เสียจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า หลิวเฝยก็แค่นเสียงในลำคอพลางคิดในใจสุนัขอย่างไรก็เลิกกินขี้ไม่ได้จริงๆ
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น คำพูดของเขากลับตบหน้าตัวเขาเองฉาดใหญ่
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยม หลิวจี้ยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วกล่าวว่า “มีช่องทางแล้ว หากเดินทางลงใต้ไปอีกสองร้อยลี้ จะพบไร่ขนาดใหญ่สองแห่งที่ไม่ถูกแมลงกินเจ้าของเพิ่งเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จ กำลังจะขายพอดี”
หลิวเฝยมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เจ้าไปสืบรู้มาได้แล้วหรือ!?
ไม่เพียงแต่รู้ข่าว พวกเขายังสามารถซื้อข้าวสาลีได้ในราคาปกติอีกด้วย
เพราะเป็นการซื้อจำนวนมากจึงได้ราคาสามเหวินต่อหนึ่งจินสำหรับข้าวสาลีที่ยังมีเปลือกติดอยู่
หลิวจี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ คิดถึงคนที่บ้านซึ่งชอบกินข้าวขาวขัดสีผู้นั้น
ทว่าเมื่อคิดอีกที โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยนักจึงตัดสินใจซื้อทันที การเดินทางออกมาข้างนอกนั้นลำบากไม่น้อย เขาอยากกลับบ้านไปกินเนื้อแล้วนอนหลับให้เต็มอิ่มเสียที
ใช้เงินไปสามสิบสามตำลึงก็ได้ข้าวสาลีมาถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันจิน
ระยะทางขากลับสองร้อยแปดสิบลี้ รถของพวกเขาสองคนสามารถบรรทุกได้มากที่สุดเพียงสองพันจินเท่านั้น ที่เหลือยังต้องหาเกวียนอีกสิบเล่มมาช่วยขนส่ง
แต่แม้จะรวมค่าขนส่งไปด้วยแล้ว ราคาก็ยังถูกกว่าข้าวในร้านขายข้าวของอำเภอไคหยางกว่าครึ่ง
จริงสิ ยังต้องซื้อกระสอบข้าวมาใช้บรรจุ นี่ก็เป็นค่าใช้จ่ายอีกก้อนหนึ่ง
หลิวจี้เหลือบมองถุงเงินของตนเอง ด้านในเหลือเศษเงินแทบไม่ถึงหนึ่งตำลึง
หากนำเงินนี้ไปเช่าเกวียน ‘ค่าแรง’ นี้ก็คงตกมาไม่ถึงมือของเขา
ดังนั้น หลิวจี้จึงใช้ห้าสิบเหวินเพื่อซื้อขนมสองห่อจากตัวเมืองที่ใกล้ที่สุด แล้วนำไปขายให้กับเจ้าของที่ดินที่พวกเขาขายข้าวให้ ในที่สุดปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว
“นายท่านอวี๋ยังยินดีช่วยพวกเราหาเกวียนวัวมาขนข้าวที่เหลือด้วยหรือ” หลิวเฝยตกตะลึงอีกครั้ง
“เหตุใดไม่ส่งตรงไปถึงหมู่บ้านของพวกเราเลยล่ะ” หลิวเฝยถามอย่างไม่เข้าใจ
หลิวจี้ยกมือเคาะศีรษะของเขา “เจ้าบื้อหรือไร? หากเพิ่มเส้นทางเดินรถอีกช่วงหนึ่ง ค่าขนส่งก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกไม่ใช่หรือ”
จากตัวเมืองนี้ไปถึงอำเภอไคหยาง ตลอดเส้นทางเป็นถนนหลวงกว้างขวาง อีกทั้งพื้นที่นี้ยังได้รับผลกระทบจากแมลงศัตรูพืชไม่มาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องโจรปล้นระหว่างทาง ค่าขนส่งย่อมคุ้มค่า
แต่หากเลยจากอำเภอไคหยางไปแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น?
ให้หญิงดุร้ายที่บ้านคนนั้นถือดาบมารับของเสียยังจะดีกว่า อย่างไรเสียองครักษ์คุ้มกันที่ไม่ต้องเสียเงินแบบนี้ ไม่ใช้ก็น่าเสียดาย
หลิวเฝยลูบท้ายทอยของตนเอง ไม่โวยวายใส่หลิวจี้อย่างหาได้ยาก เพียงแค่ถามอย่างร้อนตัวเล็กน้อยว่า “พี่สะใภ้สามจะไม่โกรธใช่หรือไม่”
“โกรธอะไร? ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เหวินเดียว สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว”
หลิวจี้โบกมืออย่างรังเกียจ “เจ้าหลีกไป ข้าจะเขียนจดหมายฝากคนให้เอากลับไปก่อน”
หลิวเฝยเหลือบมองของในอกเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะขยับตัวหลีกทางให้เขาเขียนจดหมาย
เพราะจินเป่าที่บ้านไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา บางครั้งซื่อเหนียงก็มาสอนจินฮวาเขียนตัวอักษร หลิวเฝยซึ่งคอยตามพวกเด็กๆ กลุ่มนี้ต้อยๆ จึงพอรู้จักตัวอักษรง่ายๆ อยู่บ้าง
แต่สิ่งที่เขารู้ พอเอามาเทียบกับลายมือของหลิวจี้ที่เขียนได้อย่างลื่นไหลก็แทบไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลย
หัวจดหมายเริ่มต้นด้วยตัวอักษรสองตัวซึ่งเขาไม่รู้จัก เขาเดาว่าน่าจะเป็นชื่อของพี่สะใภ้สาม จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “พี่สาม นี่เป็นชื่อของพี่สะใภ้สามหรือ”
หลิวจี้ทำราวกับไม่ได้ยินคำเรียก “พี่สาม” ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือบางทีเขาอาจได้ยินแล้วแต่ไม่ใส่ใจ เดิมทีเจ้าหนูนี่ก็ควรจะเรียกเขาเช่นนี้อยู่แล้ว ถือเป็นเรื่องที่สมควร
เขาวางพู่กันลง ก่อนจะพยักหน้า “ฉินเหยา ฉินจากฉินกวน เหยาจากตัวอักษรเหยาซึ่งมีข้างเป็นตัวหวัง จำได้หรือไม่”
หลิวเฝยเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน จ้องมองตัวอักษรสองสามครั้ง บางที…อาจจะ…จำได้กระมัง
………………..
MANGA DISCUSSION